บทที่ 373
ผิดศิลธรรมอย่างที่สุด
หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยเข้าไปข้างใน เธอก็สั่งไม่ให้ใครเข้ามารบกวนรวมทั้งองค์จักรพรรดิด้วย เหล่าสาวใช้และขันทีนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นตัวสั่นเทิ้มและไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา
มู่หรงไม่สนใจท่าทางของพวกเขา เธอไล่พวกเขาออกไปจากตำหนักและปิดประตูล็อกจากข้างใน
มู่หรงแวบเข้าไปในมิติลับทันที ในมิติลับผ่านไปหลายพันปีแล้ว ก่อนที่เธอจะทันยืนได้อย่างมั่นคง เธอก็ต้องล้มเข้าใส่อ้อมกอดที่คุ้นเคยซะก่อน
“ในที่สุดเจ้าก็เข้ามาแล้ว ข้าคิดถึงเจ้ามากเลยนะ” เฟิงจือหลิงพึมพำที่ข้างหูของเธอ
ความหงุดหงิดของมู่หรงค่อยๆสงบลง เธอตบไปที่หลังเขาเบาๆแล้วก็อยู่ในอ้อมกอดเขาเงียบๆ
เฟิงจือหลิงไม่อยากที่จะนึกเลยว่าตัวเองจะผ่านมาได้ยังไงเป็นพันปี ถึงแม้การฝึกตนจะผ่านไปราวกับกะพริบตาแต่ทุกครั้งที่เขาลืมตา เขาไม่เห็นร่างของเธอซึ่งทำให้เขารู้สึกว่างเปล่าเป็นเวลานาน
เขาอยากที่จะออกมาหาเธอข้างนอก เขากลัวว่าอยู่ดีๆเธอจะฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้ เขากลัวว่าอยู่ข้างนอกเธอจะได้รับอันตราย ไม่มีสักวินาทีที่เขาจะสบายใจได้เลย
แต่ตอนนี้ได้เห็นหน้าเธอ หัวใจที่แข็งแกร่งของเขาก็เบาลงไปได้หน่อย
เดิมทีเสี่ยวฉิงเองก็อยากที่จะเดินเข้ามาหาเธอด้วย แต่ก็ต้องเดินออกไปเงียบๆ เธอรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านหญิงและท่านเฟิงเป็นยังไง พวกเขาไม่ได้เจอกันมานานมาก เธอจึงไม่กล้าที่จะเข้าไปรบกวน
ถึงแม้เธอเองก็คิดถึงท่านหญิงด้วยเหมือนกัน เธอเองก็อยากที่จะเดินเข้าไปและบอกนางว่าเธอพัฒนาไปถึงไหนแล้วเหมือนกัน
เสี่ยวไป๋นั่งยองๆอยู่บนต้นไม้ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ กำลังเพลิดเพลินกับภาพระหว่างมู่หรงและเฟิงจือหลิง
“ออกไปข้างนอกกันเถอะ” หลังจากที่เงียบอยู่นาน เฟิงจือหลิงก็พูดออกมาเสียงเรียบ
มู่หรงลังเลอยู่สักพัก เธอเองก็อยากที่จะเจอเสี่ยวฉิงด้วยเหมือนกัน “เดี๋ยวก่อน ข้าอยากที่จะเจอเสี่ยวฉิง” มู่หรงผลักเขาออกเบาๆ
เฟิงจือหลิงเก็บกดความตื่นเต้นไว้ในหัวใจและพยักหน้าออกมาเบาๆ
ในตอนนี้เสี่ยวฉิงรีบวิ่งเข้ามาทันที “ท่านหญิง ข้าคิดถึงท่านมากจริงๆนะเจ้าคะ” ดวงตาของเสี่ยวฉิงเปียกชุ่ม
“นี่นี่เจ้าอายุเท่าไรแล้วเนี่ย ยังจะร้องไห้อยู่อีก ไม่อายบ้างหรือไง?” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม
ไม่ว่ายังไงเธอก็คิดถึงท่านหญิงอย่างมาก เธอไม่เจอนางมาตั้งนาน มู่หรงเสวี่ยค่อยๆปล่อยมือจากเสี่ยวฉิงพร้อมทั้งตรวจสอบระดับความสำเร็จปัจจุบันของนาง แล้วเธอก็ต้องประหลาดใจจนหัวเราะออกมา นางก้าวหน้าไปได้เร็วมากจนขึ้นไปแตะที่ระดับสีเขียวได้แล้ว นึกภาพออกเลยว่าเสี่ยวฉิงต้องฝึกหนักแค่ไหน
“พัฒนาการฝึกตนได้ดีมาก! มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม
เสี่ยวฉิงก้มหัวลงเล็กน้อย ท่าทางไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร “ถ้าเทียบกับท่านหญิงยังห่างอีกไกลค่ะ” เธออยากที่จะตามท่านหญิงให้ทันเพื่อที่จะได้ปกป้องนางได้
มู่หรงเห็นท่าทางของเสี่ยวฉิงจึงลูบไปที่หัวนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าแข็งแกร่งมากแล้วนะ สำหรับข้าเจ้าทรงพลังมากขึ้นแล้ว ไม่ต้องรีบร้อน จิตใจเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”
“เจ้าค่ะท่านหญิง ข้าจะตั้งใจ” เสี่ยวฉิงได้ยินความกังวลของท่านหญิงจึงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
พวกเธอคุยกันอยู่นาน เมื่อมู่หรงเสวี่ยถามเสี่ยวฉิงว่านางอยากที่จะออกไปข้างนอกหรือเปล่า เสี่ยวฉิงกลับส่ายหน้าอย่างหนักแน่น นางอยากที่จะไล่ตามระดับการฝึกตนของท่านหญิงให้ทันโดยเร็วที่สุด นางไม่อยากที่จะเสียเวลา ไม่งั้นท่านหญิงก็จะขึ้นสูงไปแล้วแต่เธอกลับยังอยู่ที่เดิม จะยอมให้เป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน
เฟิงจือหลิงออกไปข้างนอกพร้อมกับมู่หรงเสวี่ย ยังไงซะก็ไม่มีอะไรเหลือให้เขาสอนเสี่ยวฉิงแล้ว นางสามารถเข้าใจได้ด้วยตัวเองแล้ว
เมื่อทั้งสองออกมานอกมิติลับ เฟิงจือหลิงก็อดไม่ได้ที่จะจูบมู่หรง เขาคิดถึงเธอมากจนเจ็บปวดไปหมดแล้ว
“โอ้ อย่านะ…” มู่หรงเสวี่ยร้องออกมาเสียงอ่อน
เสียงที่มีเสน่ห์นี้ทำให้เฟิงจือหลิงกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายทันที เขาฉีกเสื้อผ้าออกจากร่างของมู่หรงทันที เผยให้เห็นผิวขาวนวลดั่งหิมะ
มู่หรงเสวี่ยเซอยู่สักพักจนแทบจะล้มลงไปที่พื้น
เฟิงจือหลิงพาเธอตรงไปที่เตียงพร้อมทั้งถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกด้วย แล้วแทบจะในทันทีที่ความอ่อนโยนในตอนแรกทำให้เขาบ้าคลั่ง เขาคิดถึงเธออย่างมาก
หลังจากนั้นสักพักในห้องก็เกิดเสียงการเคลื่อนไหวและเสียงลมหายใจของผู้ชาย เหล่าสาวใช้และขันที่ยืนเฝ้าประตูอยู่สีหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที ฟ้าจะต้องถล่มแล้วแน่ๆ
มีคนอยู่ในห้องของพระมเหสีงั้นเหรอ?! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ขาของเหล่าสาวใช้และขันทีก็อ่อนยวบลงทันที จบแล้ว พวกเธอจะต้องตายกันหมดแน่ๆ
จนกระทั่งเวลาผ่านไปนาน เสียงก็หยุดลงแต่ผู้คนที่อยู่ข้างนอกห้องต่างก็สีหน้าซีดเผือด ไร้ชีวิตกันหมดแล้ว หนึ่งในสาวใช้ก็หลบหน้า บนใบหน้าของนางไร้ซึ่งความกลัวใดๆ นางก้มหัวจึงไม่มีใครเห็น
หลังจากที่มู่หรงเดินออกมา เธอให้เฟิงจือหลิงกลับเข้าไปในมิติลับแล้ว ยังไงซะก่อนหน้านี้ในห้องก็ไม่มีใคร แล้วจู่ๆถ้ามีใครโผล่มาก็คงจะทำให้คนอื่นตกใจตายได้แน่ๆ
เฟิงจือหลิงไม่อยากที่จะกลับเข้าไปแต่ก็ไม่อยากที่จะทำให้มู่หรงเสวี่ยอึดอัดใจ
หลังจากที่เปิดประตู เหล่าสาวใช้และขันทีที่อยู่หน้าประตูต่างก็คุกเข่าลง
สายตาของมู่หรงเสวี่ยแวบประกายละอายใจและโกรธขึ้นมา เธอโทษเฟิงจือหลิงที่ทำให้เธออับอายแบบนี้
“พวกเจ้าคุกเข่ากันทำไม? ลุกขึ้น” มู่หรงพูด
“อภัยให้พวกเราด้วยพระมเหสี…”
ไม่เพียงแต่ไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นแต่ยังเอาแต่ร้องตะโกนขอความเมตตา มู่หรงเสวี่ยนวดไปที่หน้าผากที่รู้สึกปวด เธอเข้าใจเรื่องแบบแผนของยุคนี้ดี อีกอย่างเธอก็ยังอยู่ในฐานะของพระมเหสีด้วยแต่ครึ่งปีก็กำลังจะผ่านไปแล้ว และเธอก็อยากที่จะไปจากที่นี่เร็วๆแล้ว
“ไม่ต้องตะโกนแล้ว ลุกขึ้น รู้นะว่าพวกเจ้าควรจะทำอะไร ลุกขึ้นแล้วก็ไม่ต้องทำหน้าเหมือนว่าตัวเองจะตายด้วย” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างเย็นชา
เหล่าสาวใช้และขันทีต่างก็ยืนตัวสั่นและสีหน้าที่แสดงออกมาก็ยังดูซีดเผือด มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออก เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน
เธอคงจะเป็นพระมเหสีได้อีกไม่นาน
สองสาววันต่อมาในตำหนักของหลิวจือหลิง
ในห้องไม่มีใครอื่นนอกจากแม่นมเท่านั้น
“เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ?” เธอไม่อยากที่จะเชื่อเลย มันจะเป็นไปได้ยังไง นางเป็นพระมเหสีที่อยู่เหนือบัลลังก์เลยนะ อีกอย่างนางก็มีผู้ชายอย่างองค์จักรพรรดิอยู่ข้างกายแล้วทั้งคน นางจะยังไปมีอะไรกับผู้ชายอื่นได้ยังไงกัน นี่นางคู่ควรกับ องค์จักรพรรดิจริงเหรอเนี่ย?!
แม่นมพยักหน้าอย่างระวัง
หนึ่งในสาวใช้ที่คอยรับใช้พระมเหสีบังเอิญเป็นหลานสาวของเธอ ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่นางจะเอาเรื่องไร้สาระมาพูด
“นางกล้าขนาดนี้ได้ยังไง?! นี่มันทรยศกันชัดๆ” หลิวจือหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกลียดผู้หญิงคนนั้น องค์จักรพรรดิดีกับนางขนาดนี้ ทำไมนางถึงอยากที่จะทำอะไรแบบนี้อีก! ไม่ได้ เธอจะปล่อยนางไปไม่ได้
ผู้หญิงแบบนั้นควรที่จะถูกสับเป็นชิ้นๆ
“คุณหนู ท่านจะไปไหนเพคะ?! คุณหนู รอเดี๋ยวค่ะ” แม่นมรีบจับหลิวจือหลิงไว้
หลิวจือหลิงสะบัดมือแม่นมออกและพูดออกมาว่า “ปล่อยข้านะ ข้าจะไปเปิดโปงนังผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้น”
“ชูว์ เบาเสียงหน่อยเพคะ” แม่นมรีบเอามือปิดปาก หลิวจือหลิงโดยไม่สนใจเรื่องกฎใดๆทั้งนั้น
“คุณหนู ระวังคนอื่นจะมาได้ยินด้วยนะเพคะ” แม่นมรีบมองไปรอบๆอย่างระวังแล้วก็ยังแง้มประตูเพื่อที่จะมองออกไปข้างนอกอย่างระวังด้วย และเมื่อมั่นใจแล้วว่าสาวใช้อยู่ห่างจนไม่ได้ยิน จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ได้ยินแล้วจะยังไง? การที่นางทำเรื่องแบบนั้นแล้วจะมากลัวคนอื่นรู้ทำไมกัน?” ยิ่งเธอคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกสงสารองค์จักรพรรดิมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าพระองค์รู้ก็คงจะเศร้ามาก ยังไงซะความอ่อนโยนเวลาที่พระองค์มองพระมเหสีก็ดูไม่ใช่การแกล้งทำ อีกอย่างนอกจากครั้งนั้น เธอก็ยังไม่ได้ขึ้นเตียงกับพระองค์อีกเลย จนเธออดไม่ได้ที่จะคิด
“พระสนมคิดดูดีๆนะเพคะ ถ้าท่านไปเปิดโปงพระมเหสีแบบนี้ แล้วถ้าองค์จักรพรรดิรู้สึกอับอายกับเรื่องนี้แล้วเอามาลงกับพระองค์จะทำยังไงล่ะเพคะ?” แม่นมพูดอย่างคิดไตร่ตรอง จะมีผู้ชายคนไหนที่อยากจะให้คนอื่นรู้เรื่องไม่ดีแบบนี้และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชมอะไรด้วย
หลิวจือหลิงหยุดและพูดออกมา “งั้นข้าควรที่จะทำยังไงดี? ข้าจะปล่อยให้ผู้หญิงแบบนั้นมาทำลายศักดิ์ศรีของ องค์จักรพรรดิแบบนี้ได้ยังไงกัน?” เธอไม่อยากที่จะหยุด เธออยากที่จะเปิดโปงนาง
ทำให้องค์จักรพรรดิได้เห็นธาตุแท้ของนางและดูว่านางจะยังชูคออยู่ได้อีกหรือเปล่า เธอจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับองค์จักรพรรดิ หัวใจของเธอ, ร่างกายของเธอ ทั้งหมดเป็นขององค์จักรพรรดิคนเดียวเท่านั้น
งั้นทำไมองค์จักรพรรดิถึงไม่มาหาเธอเลย
วันก่อนเธอถึงขนาดเอ่ยปากขอร้อง แต่องค์จักรพรรดิก็เมินเฉยมานานเกินไป เธอถึงขนาดไปที่ตำหนักของพระมเหสีทั้งๆที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
คนที่สายตาดีก็ต้องเห็นว่าองค์จักรพรรดิรักพระมเหสีมากแค่ไหน
แล้วนางทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลิวจือหลิงก็เริ่มที่จะร้องไห้ออกมา เธอรักองค์จักรพรรดิ!
เธอรู้สึกปวดใจแทนพระองค์ที่ต้องถูกทรยศแบบนี้ องค์จักรพรรดิควรที่จะได้สิ่งที่ดีที่สุด
“ไม่อยู่แล้วเพคะ เราจะทำให้คนอื่นพูดเรื่องนี้แทน” แม่นมกระซิบ
“แต่?” หลิวจือหลิงเงยหน้า อันที่จริงเธอไม่อยากที่จะให้คนอื่นรู้เรื่องแบบนี้เลย มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสำหรับองค์จักรพรรดิที่จะได้รู้ว่าตัวเองถูกสวมเขา เธอจึงไม่อยากที่จะให้คนอื่นได้รู้ แต่ก็เหมือนอย่างที่แม่นมพูด
ถ้าพระองค์โกรธเธอมันก็คงจะเป็นเรื่องที่แย่มาก ถึงแม้เธอจะไม่กลัวตาย แต่เธอกลัวว่าต่อไปจะไม่ได้เห็นหน้าพระองค์อีก
“ไม่มีแต่เพคะ เดี๋ยวข้าจะหาคนมาทำเรื่องนี้แทนเอง” สายตาของแม่นมแวบประกายเย็นชา
“แล้วใครที่เหมาะจะทำเรื่องนี้ละ?” หลิวจือหลิงพูด
“ในวังหลังก็มีผู้หญิงตั้งมากมายไม่ใช่เหรอเพคะ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกนางจะไม่สนใจ จะต้องมีสักคนหรือสองคนที่ทนเรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆ” แม่นมยิ้มแสยะและพูดออกมา เธอไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นหรือตาย ตราบใดที่คุณหนูของเธอปลอดภัย
“ท่านหมายถึงว่าจะบอกเรื่องนี้ให้คนในวังหลังรู้งั้นเหรอ? แล้วองค์จักรพรรดิจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ?” หลิวจือหลิงรู้สึกไม่เต็มใจอยู่นิดหน่อย
โดยเฉพาะเมื่อเธอรู้เรื่องนี้ เธอยิ่งไม่เต็มใจเท่าไร เธอจะปล่อยให้องค์จักรพรรดิต้องทรมานกับความไม่ยุติธรรมนี้ได้ยังไง
ถ้าองค์จักรพรรดิรู้ว่าเธอเป็นคนทำเรื่องนี้ พระองค์ก็คงจะเกลียดเธอแน่ๆ
“มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้องค์จักรพรรดิจัดการผู้หญิงคนนั้นได้” แม่นมพูดปลอบใจ
นังผู้หญิงโง่คนนั้นจะต้องถูกควักหัวใจ เพราะนี่เป็นยุคโบราณ องค์จักรพรรดิจึงไร้หัวใจและเธอก็หวังว่าคุณหนูของเธอจะได้เห็นในไม่ช้านี้ ไม่งั้นก็คงจะเป็นคุณหนูเองที่จะต้องปวดใจ
“ตกลง” หลิวจือหลิงทำได้เพียงพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจ แต่สีหน้าก็ยังดูเศร้าๆ
ความเกลียดชังแบบนี้ไม่เพียงแต่เป็นการดูถูกที่นั่งของพระมเหสีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความหึงหวงด้วย
แน่นอนว่าแม่นมรีบดำเนินการเรื่องนี้ทันที ไม่นานหัวหน้าของวังหลังทุกคนก็ได้ยินข่าวเรื่องนี้และทุกคนต่างก็ตกใจกับข่าวที่ได้ยิน
พวกเขาต่างก็ไม่อยากที่จะเชื่อ
จะมีผู้หญิงคนไหนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงขนาดนั้นแล้วอยากที่จะฆ่าตัวตายด้วยเรื่องแบบนี้ แถมยังเป็นที่รักของ องค์จักรพรรดิอีกด้วย
แต่ข่าวที่ได้ยินก็เป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะเมื่อช่วงนี้ตำหนักของพระมเหสีเงียบเชียบผิดปกติอย่างอธิบายไม่ได้ราวกับว่ากำลังปิดบังเรื่องบางอย่างกันอยู่