บทที่ 709 มู่เหมียนป่วยหนัก

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 709 มู่เหมียนป่วยหนัก

หลังจากที่หนานกงเย่โมโห เขาก็หายตัวไปคนเดียวทั้งวันโดยไม่พบเจอใคร ฉีเฟยอวิ๋นเห็นหนานกงเย่เข้าก็เป็นเวลาค่ำเมื่อหนานกงเย่กลับมา เขากลับเข้ามาพร้อมกับกลิ่นเหล็กโลหะบนเรือนร่าง

ฉีเฟยอวิ๋นเคยต่อสู้ในสนามรบและใช้ชีวิตท่ามกลางป่าเขา เธอจึงมีการรับรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกลิ่นโลหะเหล็ก

หนานกงเย่ปลดเสื้อผ้าออกและเดินเข้ามาใกล้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้กลิ่น

“กลิ่นอะไรหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นออกปากถามและได้แนบตัวเข้าไปใกล้

และเมื่อแน่ชัดว่าเป็นกลิ่นโลหะ อีกทั้งยังเป็นโลหะเหล็กที่มีน้ำหนักมาก

หนานกงเย่ถาม “ทำไมอวิ๋นอวิ๋นถึงดมออกว่าเป็นกลิ่นเหล็กล่ะ?”

“จะไปยากอะไรเพคะ ก็แค่เหล็ก เพียงแค่สัมผัสบ่อยๆ แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วเพคะ ท่านอ๋องไปทำอะไรกับเหล็กมาเพคะ เมืองต้าเหลียงของเรามีเหล็กด้วยหรือเพคะ?”

“มีสิ มีเยอะด้วย วันนี้ข้าได้จัดคนและเริ่มทำการหล่อเหล็กแล้ว ข้าจะทำอาวุธขึ้นมา”

“ท่านอ๋องจะทำอาวุธขึ้นมาทำไมหรือเพคะ?”

“เพื่อต่อสู้ในสงคราม และเพื่อทำการค้าอาวุธ” หนานกงเย่พูดจบก็จูงฉีเฟยอวิ๋นมาถึงสระน้ำกำมะถัน ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามไปอย่างเหม่อลอยเป็นเวลานานก่อนจะมีสติขึ้น

เมื่อลงไปในน้ำ ฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกอุ้มขึ้นมาและวางลงที่บนโขดหิน หนานกงเย่ขยับเข้าไปใกล้และกล่าวว่า “อวิ๋นอวิ๋นขายยาสมุนไพร ส่วนข้าค้าขายอาวุธ นี่เป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้วไม่ใช่หรือ?”

“แต่ตัวยานั้นสามารถทำขึ้นมาได้ใหม่ มีให้เก็บไม่รู้จบ แต่เหล็กโลหะนั้นไม่ได้ หากนำอาวุธทั้งหมดให้คนอื่นไปหมดแล้ว ถึงตอนนั้นหากเมืองต้าเหลียงของเราต้องทำการสงครามต่อสู้ขึ้นมาก็จะไม่มีอาวุธแล้วนะเพคะ?”

“……ข้าคิดไว้นานแล้ว ฉะนั้นข้าจึงจะสร้างปืนใหญ่ขึ้นจำนวนหนึ่งและทำการศึกษาเกี่ยวกับกระสุนปืน”

“ท่านอ๋อง”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากทำลายบรรยากาศ เดิมทีเธอไม่ควรมาที่นี่ การช่วยเหลือเมืองต้าเหลียงก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่วันนี้หากต้องสร้างปืนใหญ่ขึ้นมา และปืนใหญ่ถูกสร้างขึ้นก่อนราชวงศ์หมิง มันจะกลายเป็นหายนะสำหรับคนรุ่นหลัง และเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์

หากเมืองต้าเหลียงเป็นราชวงศ์คู่ขนานในโลกใบอื่นและไม่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ก็คงจะดี แต่หากมันเข้ามาแทรกแซงและมีผลต่อประวัติศาสตร์ล่ะ?

หนานกงเย่ขยับตัวเข้ามาใกล้ เธอตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบด้วยความที่ร่างกายของหนานกงเย่นั้นแข็งแกร่งกว่า จึงได้แต่ฝืนไว้ แต่เกี่ยวกับเรื่องปืนใหญ่นั้น ฉีเฟยอวิ๋นจะไม่ทำการช่วยเหลือใดๆ ทั้งนั้น

เมื่อทั้งสองขึ้นมาจากสระกำมะถัน ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบเอามือไปพิงไฟและทำการพันแผล จากนั้นจึงนั่งลง

หนานกงเย่ได้เปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้ว ทั้งสองนั่งลงและฉีเฟยอวิ๋นจึงพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง “ท่านอ๋องเพคะ ท่านอ๋องจะไม่ฟังหม่อมฉันหน่อยหรือเพคะ?”

“ข้าไม่ฟังเจ้าตั้งแต่เมื่อไร เมื่อกี้ที่อยู่ข้างใน อวิ๋นอวิ๋นก็บอกให้ข้ารีบ ข้าก็รีบให้เจ้าแล้วไง?”

ฉีเฟยอวิ๋นหน้าแดงเขินอายและมองหนานกงเย่ด้วยดวงตาที่ดุ “ไร้ยางอาย!”

“ข้าก็ไร้ยางอายเช่นนี้แหละ ต่อหน้าของอวิ๋นอวิ๋นทำไมข้าต้องมียางอายด้วย!”

ฉีเฟยอวิ๋นทำหน้าเศร้า “เรื่องปืนใหญ่นั้น หม่อมฉันบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ท่านอ๋องสร้างอาวุธจะดีกว่า เพื่ออนาคตข้างหน้าจะได้ใช้ในการศึกสงครามเพคะ”

“……”

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและต้องการจะเดินจากไป หนานกงเย่จึงเดินตามออกไป “ไปไหนหรือ?”

“ไปนอนกับเด็กๆ เพคะ”

“ข้าผิดไปแล้ว!” เมื่อได้ยินว่าฉ๊เฟยอวิ๋๋นจะจากไป หนานกงเย่จึงรีบยอมรับผิด จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงหันกลับไปหาหนานกงเย่

“ท่านแน่ใจหรือว่าสำนึกผิดแล้ว?” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปด้วยความไม่พอใจ

หนานกงเย่ก้มลงเพื่ออุ้มฉีเฟยอวิ๋น “ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ไปพักผ่อนเถอะ”

“ท่านอ๋องห้ามทำปืนใหญ่นั่น ไม่เช่นนั้นหม่อมฉันจะตายให้ท่านดู” ฉีเฟยอวิ๋นโกรธจนพูดข่มขู่ขึ้นมา เขาได้พูดแล้วว่าจะไม่ทำปืนใหญ่ เขาเป็นคนมีความกล้ามาก หากทำปืนใหญ่ขึ้นมาจริงก็จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น คนอื่นนั้นไม่ต้องพูดถึง ซูมู่หรงจะต้องรู้อย่างแน่นอน

ฉีเฟยอวิ๋นกังวลว่าซูมู่หรงจะมาข่มขู่คุกคามหนานกงเย่ได้ เธอจึงเป็นกังวลอย่างมาก

หนานกงเย่อุ้มเธอกลับไป โอกาสมีไม่มากฉะนั้นคืนนี้เธอยังต้องจ่ายค่าเบี้ยหวัดให้กับเขาอีก

เมื่อฟ้าสาง ฉีเฟยอวิ๋นได้ออกไปข้างนอกแล้วพร้อมกับอวิ๋นจิ่น เพื่อไปเดินดูที่ดินของหนานกงเย่

อวิ๋นจิ่นไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้นัก ฉีเฟยอวิ๋นจึงเรียกทังเหอมาด้วย เมื่อมีพวกเขาทั้งสองจึงทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกวางใจขึ้นมา

ทังเหอมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่ดินอยู่มาก ก่อนหน้านี้นานมาแล้วเขาก็ได้เคยจัดการเรื่องที่ดินมาบ้าง และตอนนี้เขาก็มีประโยชน์จึงพามาด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นบอกเรื่องเกี่ยวกับที่ดินให้ทังเหอรับรู้ ทังเหอครุ่นคิด “พระชายาขอรับ ต่อให้ที่ดินเหล่านี้สามารถปลูกยาสมุนไพรได้ ก็ไม่เสมอไปว่ามันจะสามารถขายออกไปได้ อีกทั้งอาณาจักรโดยรอบนั้น เมืองของพวกเรายากจนที่สุดนะขอรับ ต้องมียาสมุนไพรจำนวนมากที่จะขายไปยังเมืองอื่นได้และต้องมีเงื่อนไขมากมาย พวกเขามักพยายามหาข้อตำหนิติเตียน……”

“คุณชายทัง ท่านจัดการเพียงเรื่องเดียว รับสมัครประชาชนมาให้ได้ ข้าจะให้เงินพวกเขาคนละหนึ่งตำลึงในแต่ละเดือน และพวกเขาก็ยังสามารถกินข้าวที่นี่ได้สองมื้อ ส่วนเรื่องอื่นนั้นท่านไม่ต้องสนใจ ส่วนเรื่องบัญชีนั้น ข้าจะจัดส่งคนไปให้ท่านสองคน ถึงตอนนั้นท่านตรวจสอบบัญชีกับข้าก็พอแล้ว

ส่วนเรื่องอื่นนั้น อวิ๋นจิ่นจะเป็นคนจัดการให้เรียบร้อย”

ทังเหอรับคำสั่ง “รับทราบขอรับ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ ไม่ทราบว่าพระชายาจะเริ่มลงมือวันไหนหรือขอรับ”

“แน่นอนว่ายิ่งเร็วที่สุดยิ่งดี แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนถึงขั้นต้องทำตอนนี้ คุณชายทังเพียงแค่จัดการให้ข้าก็พอแล้ว ส่วนเรื่องเงินตำลึงนั้น ประเดี๋ยวอวิ๋นจิ่นจะเป็นคนนำไปมอบให้ท่าน เงินตำลึงของทุกคนนั้นจะได้รับตอนสิ้นเดือน แต่เรื่องกินข้าวนั้นต้องรบกวนให้คุณชายทังเป็นผู้จัดการด้วยตัวเอง”

“ข้าน้อยรับทราบขอรับ”

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบไปมองอวิ๋นจิ่น “อวิ๋นจิ่น เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”

“นายหญิงตัดสินใจได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ อวิ๋นจิ่นจะพยายามอย่างสุดความสามารถเลยเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นก็เริ่มกันเถอะ พรุ่งนี้เริ่มลงมือทำ ทำตามที่ข้าวางแผนไว้ อวิ๋นจิ่นเจ้าบันทึกไว้ด้วยว่าเป็นสถานที่ใดบ้าง หลังจากนี้ข้าจะสำรวจคุณภาพของดินในแต่ละพื้นที่ ฉะนั้นอาจจะต้องออกเดินทางทุกวัน เรื่องในบ้านนั้นเจ้าดูแลให้ดี ส่วนทางนี้ข้าจะเรียกอาอวี่มาสับเปลี่ยนและหาคนอื่นมาตามข้า ข้าไม่ค่อยชอบอาอวี่เท่าไร เขามักขี้หวาดกลัว”

ทังเหอรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง หากอาอวี่ได้ยินเข้า ไม่รู้ว่าอาอวี่จะรู้สึกอย่างไรบ้าง

ไม่แปลกที่วันนี้พระชายาไม่ได้พาอาอวี่มาด้วย เพราะต้องการจะปรับย้ายอาอวี่ออกไป

“รับทราบเจ้าค่ะ” อวิ๋นจิ่นตอบรับ

หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ฉีเฟยอวิ๋นกลับถึงบ้านก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว เมื่อกลับไปถึงก็ได้ยินข่าวเรื่องที่มู่เหมียนป่วยหนัก ฮองเฮามีรับสั่งให้ฉีเฟยอวิ๋นเข้าวังหลวงไปเพื่อทำการรักษาให้กับมู่เหมียน ฉีเฟยอวิ๋นรีบตรงไปที่วังหลวงโดยไม่สนใจสิ่งอื่น

มู่เหมียนอยู่ภายในตำหนักเย็นและนางก็ไม่ยอมออกมา

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นไปถึง หนานกงเย่และพระพันปีก็อยู่ที่นั่น พระพันปีนั่งอยู่อีกฝั่งและจับมือของมู่เหมียนไว้ ส่วนหนานกงเย่นั้นยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

ฉีเฟยอวิ๋นคารวะ พระพันปีจึงตรัสว่า “มัวยืนทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบเข้ามาอีก?”

ฉีเฟยอวิ๋นรีบเข้าไปข้างหน้า เมื่อเห็นรูปร่างที่แห้งเหี่ยวของและไร้เรี่ยวแรงของมู่เหมียน เธอจึงเก็บกลั้นอารมณ์ไว้ “พระสนมหรงเต๋อ”

ดวงตาของมู่เหมียนนั้นล่องลอยเหม่อไปมา เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นจึงมีสติขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้ามาแล้วหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นอดใจไม่ได้จึงร้องไห้ออกมา “หม่อมฉันอยากจะมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่รู้จะมาพบเข้าได้อย่างไร”

มู่เหมียนยิ้ม ใบหน้าที่ซีดเซียวนั้นเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามู่เหมียนอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น

“พระสนมหรงเต๋อ หม่อมฉันจะตรวจสอบชีพจรให้เพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นจับแขนของมู่เหมียนไว้เพื่อจะตรวจสอบชีพจร แต่ไม่ว่าจะตรวจจับอย่างไรก็ไม่สามารถตรวจจับชีพจรได้ เธอรู้สึกร้อนรนและร้องไห้ออกมาราวกับสายฝน

ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองหนานกงเย่ “ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันอาจจะพักผ่อนไม่ดีจึงไม่สามารถตรวจสอบได้เพคะ”

เดิมทีเธอไม่ค่อยถนัดด้านการรักษาแพทย์แผนจีนสักเท่าไร อย่างมากแค่ตรวจสอบได้ว่าอัตราการเต้นของลมหายใจปกติหรืออ่อนแอและหาจุดชีพจรเจอเท่านั้น อีกทั้งการแพทย์แผนจีนไม่สามารถทำการสแกนได้ เน้นเพียงการได้ยิน การฟัง และความเข้าใจ แต่สิ่งที่เธอรู้คือแค่ผิวเผินเท่านั้น

หนานกงเย่กล่าวว่า “ให้หมอหลวงลองดูดีไหม”

พระพันปีถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้หม่อมฉันได้รับบาดเจ็บและยังไม่หายดี ตอนนี้ร่างกายก็ไม่ดีเท่าไรนัก ฉะนั้นจึงไม่สามารถตรวจสอบอาการได้ตอนนี้เพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้ออกมาด้วยความตื่นตระหนก พระพันปีเห็นฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้ออกมาเช่นนี้ ชีวิตของคนก็ไม่เสมอไปที่จะช่วยให้รอดชีวิตได้ จากนั้นจึงเรียกหมอหลวงมา อันที่จริงหมอหลวงได้ตรวจสอบแล้ว แต่ก็ไม่มีทางรักษาแล้ว