ตอนที่ 4 โดย ProjectZyphon
หลังจากที่มองตามหลังผู้เล่นที่จ้ำอ้าวพรวดๆ ออกไปอีกครั้งอย่างเร่งรีบ ผมก็หมุนตัวกลับไปช้าๆ
และไม่นานหลังจากนั้นผมก็สามารถหาสถานที่เปิดโล่งและสามารถนั่งได้จนเจอ เพราะที่นี่เป็นทุ่งหญ้าทอดยาวกว้างใหญ่ไพศาล การจะหาสถานที่ที่มนุษย์เป็นผู้สร้างจึงทำได้ยากยิ่งนัก แต่ในตอนนี้เป็นสถานการณ์ของสงครามที่กำลังเข้มข้น ถึงผมจะไม่จำเป็นต้องแยกตัวออกมาตอนพัก แต่การได้มาหยุดอยู่ในที่ที่เหมาะสมก็เป็นความคิดที่ดูเข้าท่าอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“เฮ้อ อยู่ตรงนี้สักพักแล้วกัน”
ผมบิดขี้เกียจแบบสุดแรงเกิดหลังทิ้งก้นลงบนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ทอดตัวอยู่บนทุ่งหญ้าเวิ้งว้างแห่งนี้
ในช่วงระหว่างเดินทัพผมรู้สึกอึดอัดอยู่หลายครั้งหลายหนเพราะเหล่าผู้เล่นจำนวนมากที่เรียงแถวกันอยู่โดยรอบ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังใช้ดวงตาที่สามอ่านข้อมูลของผู้เล่นคนอื่นๆ จนตอนนี้มันเจ็บไปหมดแล้ว
“โอ้ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่มาอยู่ตรงนี้เองนะครับ คนละมวนเร็วครับ”
“…บอกว่าไม่สูบไงครับ”
ทำไมจู่ๆ ความคิดที่ว่า ทุกอย่างดีหมดเลย แต่ถ้าไม่มีนายมันจะดีกว่านี้ ผุดขึ้นมาได้นะ
ผมหันไปทางอื่นด้วยใบหน้าบูดบึ้ง และแน่นอน ผมเห็นคิมด็อกพิลที่เข้ามาหาผมเมื่อกี้นี้กำลังยื่นมือมาให้ผมพร้อมรอยยิ้มแป้นแล้น
“ไม่มีครับ”
“ฮะ? จริงเหรอ”
“ไม่สิ แล้วทำไมคุณถึงเอาแต่เฝ้าถามคนที่ไม่สูบอยู่เรื่อยเลยล่ะครับ”
“ช่างเถอะน่า!”
คิมด็อกพิลหัวเราะคิกคัก ชัดเลยว่าเขาต้องเป็นบ้าแน่ๆ
“จริงสิ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ได้ยินข่าวนั้นหรือยัง ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้ในที่สุดทางเหนือกับทางใต้ก็เริ่มทำเคลื่อนไหวกันแล้วนะ”
“ครับ ได้ยินมาจากการประชุมเมื่อวานนี้แล้วครับ”
“อ้า จริงด้วยสินะ เมื่อวานเราประชุมกันนี่ บ้าเอ๊ย การประชุมอะไรกันวะ เรียกประชุมทีใช้เวลาไปเป็นวัน กับอีแค่ฝั่งตะวันตกกับพวกเร่ร่อน แค่นี้เอง”
คิมด็อกพิลถ่มน้ำลายลงกับพื้นพร้อมบ่นออกมาราวกับว่าเขากักเก็บความไม่พอใจกับการประชุมที่จัดขึ้นเป็นเวลานานติดต่อกันหลายวันไว้ไม่ไหวแล้ว จากนั้นจึงมองมาทางผมแล้วเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะหาพวก แต่ผมก็ทำเพียงยักไหล่กลับไป ผมแค่คิดว่าเขาคงคิดแบบนักฆ่าพวกเร่ร่อนตามชื่อของเขา แล้วก็ได้แต่ฝืนยิ้มอยู่ในใจ
“จิ๊ๆ เอ๊ะ? แล้วเด็กนั่นมาทำอะไรที่นี่กัน”
ในตอนนั้นเอง คิมด็อกพิลที่กำลังจิ๊ปากเพราะขัดใจกับปฏิกิริยาของผมอยู่นั้น จู่ๆ ก็เบิกตาโพลงและหันศีรษะไปมองอีกทาง และเมื่อผมมองตามสายตาของเขาไป ผมก็ต้องพบกับบุคคลที่ไม่คาดคิด ในทุ่งหญ้าที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า ผมเห็นนักดาบนัมดาอึนกำลังเดินผ่ากลางทุ่งหญ้าไป
นัมดาอึนหันมามองทางพวกเราราวกับรับรู้สายตาที่กำลังจ้องมองหล่อนอยู่ก่อนจะรีบเดินจนหายลับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
ความเงียบปกคลุมอยู่สักพักก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงทุ้มต่ำของคิมด็อกพิลดังขึ้นมา
“นิสัยยังเหมือนเดิมเลยสินะ”
“นิสัยหรือครับ”
“นายไม่รู้เหรอ นักดาบนัมดาอึนมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องรังเกียจผู้ชายน่ะสิ ไหนจะเบื้องหลังที่ดูชอบกลนั่นอีก”
เรื่องนิสัยผมพอจะรู้อยู่แล้วจึงถามเรื่องนี้ออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ แต่เรื่องที่หล่อนมีเบื้องลึกเบื้องหลังนี่ผมเองก็เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกจริงๆ
“ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อนเลยครับ”
“หืม อย่างนั้นเหรอ จริงสิ นายเพิ่งปีที่ศูนย์นี่นะ ฉันก็รู้แต่เรื่องของคนที่ฉันรู้จักเท่านั้นละนะแต่…”
คิมด็อกพิลเว้นวรรคไปสักพัก ก่อนจะเริ่มพูดต่อช้าๆ
“ตอนนี้ในฐานะผู้เล่น เธออาจจะสั่งสมชื่อเสียงในการเป็นนักดาบมา แต่มันก็ยังมีข่าวลือนะว่านัมดาอึนน่ะ พื้นเพเดิมแล้วเธอเป็นพวกเร่ร่อน”
นี่เป็นเรื่องราวที่ใหม่มากสำหรับผมที่ได้ทำกิจกรรมในรอบแรก ดังนั้นผมจึงตั้งใจฟังสิ่งที่คิมด็อกพิลกำลังจะพูดต่อไปให้มากยิ่งขึ้น
“ฉันเคยได้ยินเรื่องนิสัยเย็นชาและเกลียดผู้ชายเข้าไส้ของเธอมาเหมือนกัน แต่เหมือนเขาบอกกันว่าเมื่อก่อนเธอก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรือเปล่านะ เมื่อตอนที่เธอเข้ามายังฮอลล์เพลนเป็นครั้งแรก เธอเป็นคนนิสัยร่าเริงสดใส และยังเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์จนทำให้เธอได้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าในสถาบันผู้เล่นอีกด้วยนะ”
“แล้วทำไม…”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันเองก็สงสัย เผ่ารีเวิร์สของฉันเองก็ได้ส่งข้อเสนอไปให้เธอเช่นกัน แต่ว่าในวันสำเร็จการศึกษานั้น เธอกลับปฏิเสธทุกข้อเสนอแล้วก็ตามชายคนหนึ่งไป ทิ้งความเสียดายของทุกๆ คนเอาไว้เบื้องหลัง”
“ชายคนหนึ่งหรือครับ”
“อืม ชื่ออีคังซันน่ะ นายเคยได้ยินชื่อเขาบ้างหรือเปล่า”
คนทรยศ อีคังซัน
ผมรู้ได้ในทันทีว่าพวกเร่ร่อนที่คิมด็อกพิลเอ่ยชื่อออกมานั้นเป็นใคร เขาคือหนั่งในผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดและทำหน้าที่เป็นแกนนำอยู่ในกองพลสังหารนั่นเอง
“เป็นคนที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่พวกเร่ร่อนด้วยกันเองนั่นแหละ หลังจากที่ทรยศเหล่าผู้เล่นและเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นพวกเร่ร่อนแล้ว ฉันเองก็ได้สู้กับมันหลายครั้งและก็เอาชีวิตรอดมาได้ทุกครั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมนัมดาอึนยังมาอยู่ที่นี่…”
“หลังจากที่เธอหายไปโดยไม่มีใครคาดคิด…หนึ่งปีได้ไหมนะ ยังไงก็แล้วแต่ แต่จู่ๆ เธอก็มาปรากฏตัวที่บาร์บาร่าพร้อมกับคอของพวกเร่ร่อนจำนวนหนึ่ง โดยเธอได้ชี้แจงว่าเธอตามเขาไปโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมและบอกว่าอยากจะกลับมาทำกิจกรรมในฐานะผู้เล่นอีกครั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นผมว่ามันก็ดูจะไม่เป็นอะไรนะครับหากเธอจะเปลี่ยนความคิด ตอนนี้มีเผ่าที่ทำกิจกรรมแบบนั้นด้วย…”
ความเห็นของผมนั้นหากมองเผินๆ เหมือนจะถูก แต่คิมด็อกพิลกลับส่ายหน้าไปมาด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่สุด
“นั่นล่ะ มันดูเหมือนจะดีแต่ก็ยังมีบางอย่างที่ดูคลุมเครืออยู่ในนั้นด้วยเหมือนกัน และหากจะพูดถึงเผ่าช็อนดุนแล้ว นั่นก็เกือบจะพังเพราะการเดินทางไกลไปรบผ่านเทือกเขาเหล็กกล้าในครั้งนั้นด้วยเช่นกัน และนิสัยของเผ่านั้นเองก็…”
ในตอนนั้นเองจู่ๆ คิมด็อกพิลก็หยุดพูดไปเฉยๆ ก่อนจะทำหน้าตาบูดเบี้ยวและลุกยืนพรวดพราดขึ้นมา
“แย่ล่ะ ไม่มีเวลาให้ได้พักเลยสินะ”
แม้ในตอนแรกผมจะงุนงงว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว เพราะมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเร่งรีบวิ่งมาทางเราจากสถานที่ที่เหล่าผู้เล่นกำลังรวมตัวกันอยู่ไกลออกไป หล่อนก็คือคนส่งข่าวที่เคยแจ้งการเรียกประชุมให้ผมทราบและได้เจอกันมาหลายครั้งตั้งแต่ที่ออกเดินทางนั่นเอง
“คงต้องแจ้งให้เธอทราบด้วยว่าราชินีแห่งดาบไปทางโน้นนะ”
พร้อมๆ กันกับเสียงบ่นอย่างเหนื่อยหน่ายของคิมด็อกพิล ผมก็ลุกขึ้นช้าๆ
วันนี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับการเดินทัพและการประชุมดังเช่นเคย เวลาเลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ และกลางคืนดึกสงัดก็ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนเราแล้ว เราไม่สามารถเดินทัพกันในตอนกลางคืนได้จึงต้องนอนหลับพักผ่อนกัน เพราะแบบนั้นค่ายทหารสำหรับผู้เล่นจำนวนเกือบจะห้าพันคนจึงได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยรอบ
ผมมองไปรอบๆ ค่ายระหว่างที่กำลังทำหน้าที่ยืนเฝ้ายามในเวลากลางคืน
แสงสีเงินของดวงจันทร์ที่ส่องลงมาในยามวิกาลช่วยทำให้คนที่ทำหน้าที่เฝ้ายามมองเห็นจุดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ทุกครั้งที่ต้องออกรบผมมักจะใช้ถุงนอนอยู่เสมอ แต่เมื่อผมได้เห็นเต็นท์ที่ถูกกางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเรียงกันอยู่ ผมก็คิดว่านั่นเป็นภาพที่ดูงดงามไม่น้อยทีเดียว
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงสะเก็ดไฟดังมาจากที่ไหนสักที่ราวกับมีคนกำลังก่อกองไฟอยู่
“ถ้าง่วงก็ไปนอนเถอะค่ะ”
ในเวลาเดี๋ยวกันนั้น ผู้เล่นที่ยืนยามอยู่ข้างๆ กันก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงน่ารักน่าเอ็นดู เมื่อผมหันไปมองก็ได้เห็นผู้เล่นหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหน้าตาน่ารักอวบอิ่มที่อยู่บนใบหน้ากลมๆ ของหล่อน
ผมคิดว่าน้ำเสียงของหล่อนฟังดูเป็นเอกลักษณ์ดีก่อนจะตอบหล่อนออกไป
“ผมยังไม่ค่อยง่วงเท่าไรหรอกครับ”
“แหม แต่ฉันเห็นว่าตาของคุณมันดูง่วงเต็มทนแล้วนะคะ”
“…”
“คะ ความจริงแล้วเป็นเพราะฉันไม่ค่อยสบายใจก็เลยพูดออกไปแบบนั้นน่ะค่ะ”
เมื่อไม่คำตอบอะไรกลับไป หล่อนจึงเป็นฝ่ายตอบแบบอ้ำอึ้งแทน ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไปเลยแท้ๆ แต่หล่อนดูเหมือนจะรู้สึกจุกด้วยตัวหล่อนเอง
“มีอะไรไม่สบายใจหรือครับ”
“คือ…คุณคือแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“ฉันเข้าใจว่าลอร์ดของเผ่าอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ยืนยามกัน…ก็เลยรู้สึกตกใจนิดหน่อยน่ะค่ะ”
โกหกทั้งเพ
แม้ว่าหล่อนจะพูดแบบนั้น แต่ถ้าจะยืนเฝ้ายามกับผมก็ต้องยืนด้วยกัน นั่นจึงฟังดูคล้ายหล่อนจะไม่พอใจเสียมากกว่า ผมหัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะตอบกลับไป
“นั่นน่ะเป็นข้อมูลที่ผิดนะครับ ยกตัวอย่างก็เช่น แคลนลอร์ดโครยอเอง จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เคยมีสักครั้งที่คิดจะโดดการยืนยามนะครับ”
“ถะ ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะค่ะ แต่แคลนลอร์ดท่านอื่นๆ ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นกันหมดนี่คะ”
“นั่นขึ้นอยู่กับผู้เล่นคนอื่นๆ น่ะครับ แต่ผมไม่มีความคิดที่จะทำแบบนั้นหรอกครับ เพราะฉะนั้นเรามาตั้งใจกับการเฝ้ายามในตอนนี้กันจะดีกว่านะครับ”
“…ค่ะ”
หล่อนชื่อโนยูมีใช่หรือเปล่านะ หล่อนตอบผมอย่างบึ้งตึงและถอนหายใจออกมาจนพื้นดินเกือบจะแยกออกเป็นเสี่ยง
และหลังจากที่ผมหลับตาลงแล้ว ผมก็จมดิ่งลงไปในห้วงความคิดเกี่ยวกับการประชุมที่จัดขึ้นเป็นเวลาติดต่อกันหลายวันในช่วงที่ผ่านมานี้
การเดินทางข้ามดินแดนรกร้างอันลึกลับก็ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของพื้นที่นี้เข้าไปทุกทีแล้ว และในช่วงที่เรากำลังมาที่นี่ แม้ว่าจะมีการประชุมกันไปหลายรอบก็ตาม แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เรายังไม่สามารถลดช่องว่างของความเห็นต่างลงได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งนั้นก็คือ…
กร็อบ
หืม?
ตอนนั้นเอง
“มะ เมอร์เซนต์นารี่ลอร์ด”