ชายชรารูปร่างสง่างามที่กำลังเดินออกมาจากทางเดินนั้นก็คือหลินหงจวินนั่นเอง และหลินเมิ่งหานเห็นเขาเดินออกมา ก็รีบพุ่งเข้าไปหาอ้อมแขนของหลินหงจวินทันที..
  “หึ..เอาแต่เล่นสนุกอยู่ข้างนอกไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง นี่เจ้ายังต้องการปู่อีกงั้นรึ”
  หลินหงจวินนั้นแม้ว่าจะชราภาพแล้วแต่ก็ยังคงความสง่างาม และความมีพลังอำนาจเช่นเดิม เขาจ้องมองหลานสาวด้วยแววตารักใคร่ นั่นเพราะตระกูลหลินมีหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น!
  “ท่านปู่..หลานก็ต้องคิดถึงและต้องการท่านปู่มากอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องถามเลย!” หลินเมิ่งหานเงยหน้าขึ้นพร้อมกับพูดออดอ้อน
  “ท่านปู่หลิน!”
  หลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่เดินเข้าไปทักทายหลินหงจวินพร้อมๆกันหลินหงจวินเงยหน้าขึ้นมองสองพี่น้อง แต่สายตากลับมาหยุดอยู่ที่หลิงหยุน และสำรวจเขาอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า และแววตาดุดันนั้นก็ดูเหมือนจะนิ่งอึ้งไป..
  แต่ถึงแม้จะถูกสำรวจอย่างละเอียดเช่นนั้นหลิงหยุนกลับไม่มีแม้แต่อาการหวาดหวั่น เขายังคงยิ้มให้หลินหงจวินด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งเป็นปกติ..
  น่าขัน..หลิงหยุนในเวลานี้ มีหรือที่หลินหงจวินจะเทียบได้ เช่นนี้แล้วหลิงหยุนใยต้องเกรงกลัวด้วยเล่า
  “เจ้าคือหลิงหยุนสินะ!ข้าเคยเห็นรูปของเจ้าแล้ว เจ้าก็คือคนที่เอาตัวหลานสาวสุดที่รักของข้าไปครอบครองสินะ..”
  เมื่อหลินหงจวินเห็นหลิงหยุนยังคงสงบนิ่งไม่มีแม้แต่ท่าทีหวาดกลัวเขาก็เปลี่ยนกลับมาเป็นชายแก่ใจดีธรรมดาๆ พร้อมกับพูดยิ้มๆ
  “ท่านปู่หลิน..ข้ากับหลินเมิ่งหาน..”
  หลิงหยุนนั้นไม่ได้เกรงกลัวอำนาจบารมีของหลินหงจวินเลยแม้แต่น้อยแต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่กลัวหลินหงจวินในฐานะที่เป็นปู่ของหลินเมิ่งหาน และได้แต่รู้สึกผิดขึ้นมาทันที
  “ท่านปู่..”หลินเมิ่งหานเขินอาย และแสดงอาการไม่พอใจด้วยการกระทืบเท้าลงกับพื้น
  “เอาล่ะ..เอาล่ะ.. เขาจะส่งหลานสาวสุดที่รักของปู่ไปแคนาดาทั้งที แต่ปู่กลับไม่สามารถตำหนิอะไรเขาได้เลยสินะ..”
  และดูเหมือนว่าหลินเมิ่งหานคงจะบอกกับทุกคนที่บ้านหมดแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่เธอจะต้องเดินทางไปต่างประเทศในเร็วๆนี้
  “ท่านปู่..ถ้าท่านปู่ยังพูดเรื่องนี้อีก หนูจะไม่สนใจท่านปู่แล้ว และจะทิ้งท่านปู่ไว้ที่นี่คนเดียว!” หลินเมิ่งหานเขินอายจนต้องยื่นคำขาดกับหลินหงจวิน..
  “เฮ้อ..ก็ได้ๆ ปู่จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว!”
  จากนั้นหลินหงจวินก็หันไปมองหนิงหลิงยู่พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และเปี่ยมไปด้วยเมตตา
  “ส่วนสาวน้อยคนนี้..เธอคงจะเป็นหลิงยู่สินะใช่มั๊ย”
  หนิงหลิงยู่ยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้า“ใช่ค่ะท่านปู่หลิน.. หนูคือหนิงหลิงยู่!”
  หลินหงจวินพยักหน้าที่เปี่ยมไปด้วยเมตตานั้นพร้อมกับเอ่ยชมหนิงหลิงยู่“หลิงยู่.. เจ้างดงามมากจริงๆ งดงามยิ่งกว่าเมิ่งหานของฉันเสียอีก!”
  หนิงหลิงยู่รีบปฏิเสธทันที“ท่านปู่หลินคะ.. หนูเทียบพี่เมิ่งหานไม่ได้หรอกค่ะ”
  จากนั้นหนิงหลิงยู่กับหลินเมิ่งหานก็หัวเราะออกมาพร้อมกันระหว่างนั้นหลิงหยุนจึงพูดแทรกขึ้นมาว่า
  “ท่านปู่หลิน..รถจอดอยู่ที่ลานจอดรด้านนอก พวกเราไปกันเถอะครับ!”
  “ได้ๆ!”
  หลังจากตอบรับหลิงหยุนไปแล้วหลินหงจวินก็หันไปเรียกผู้ติดตามที่ยืนอยูด้านหลัง “เสี่ยวเฉิน..”
  เสี่ยวเฉินพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“ครับท่าน..”
  “วันนี้ข้าจะอยู่กับหลานสาวตามลำพังเจ้าหยุดพักหนึ่งวันก็แล้วกัน!”
  เสี่ยวเฉินถึงกับนิ่งอึ้งไปและรีบตอบกลับไปว่า “แต่ว่านายท่าน..”
  “อะไรกันนี่เจ้ากลัวว่าหลานสาวของข้าจะทำร้ายข้าหรือยังไง? วันนี้เจ้าหยุดพักหนึ่งวัน นี่คือคำสั่ง!”
  เสี่ยวเฉินได้แต่รับคำเสียงเบา“ครับนายท่าน!”
  ทั้งหลินเมิ่งหานและหนิงหลิงยู่ได้เห็นก็อดที่จะนึกขันไม่ได้จากนั้นหลินหงจวิน หลินเมิ่งหาน และหนิงหลิงยู่ก็เดินไปที่จอดรถ ส่วนหลิงหยุนทำหน้าที่ถือกระเป๋าเดินตามหลัง..
  หลิงหยุนส่งหลินหงจวินกับหลินเมิ่งหานขึ้นรถและหลังจากที่เก็บกระเป๋าทั้งหมดไว้ท้ายรถเรียบร้อยแล้ว ก็เดินไปพูดกับหลินหงจวินว่า
  “ท่านปู่หลิน..ข้ายังต้องอยู่รับคนที่สนามบินต่อ คงไม่ได้กลับไปพร้อมกับท่าน..”
  หลินหงจวินพยักหน้า“ไม่เป็นไร.. ตามสบาย ข้ารู้ว่าช่วงนี้เจ้าเองก็คงจะยุ่งมาก!”
  มีหรือที่ชายชราจะไม่รู้พิธีเปิดบรษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นทั้งที แม้แต่เขายังมาร่วมงาน มีหรือที่คนใหญ่คนโตอื่นๆจะไม่มาร่วมงานนี้ด้วย
  จากนั้นหลิงหยุนจึงพูดขึ้นยิ้มๆ“ท่านปู่หลิน.. ได้โปรดอนุญาตให้ข้าสัมผัสท้ายทอยของท่านจะได้หรือไม่”
  หลินหงจวินถามขึ้นด้วยความงุนงง“สัมผัสท้ายทอยของข้างั้นรึ”
  แต่หลิงหยุนกลับไม่รอคำตอบมือซ้ายของเขายื่นออกไปสัมผัสท้ายทอยของหลินหงจวินทันที พร้อมกับเรียกยันต์บำบัดระดับสี่ออกมา และทำการสั่งให้ยันต์ออกฤทธิ์..
  เมื่อครั้งที่หลินหงจวินไปร่วมรบกับทหารแนวหน้าเขาเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ครั้งหนึ่ง และครั้งนั้นศรีษะของเขาก็ไปกระแทกเข้ากับศิลากลั่นวิญญาณ และเพราะอานุภาพของศิลาก้อนนั้น หลินหงจวินจึงสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ แต่นับจากนั้นมาที่ท้ายทอยของเขาก็จะมีแผลเป็นขนาดใหญ่ปรากฏอยู่!
  แต่ตอนนี้หลิงหยุนได้จัดการใช้ยันต์บำบัดลบรอยแผลเป็นที่ท้ายทอยของชายชราจนไม่เหลือร่องรอยใดๆแล้ว!
  หลินหงจวินรู้สึกเย็นวาบและรู้สึกเบาสบายไปทั่วทั้งศรีษะ เขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าหลิงหยุนกกำลังทำอะไร
  สองนาทีต่อมา..หลิงหยุนจึงถอนฝ่ามือออกจากท้ายทอยของหลินหงจวิน หลินหงจวินยกมือขึ้นลูบไล้ท้ายทอยของตนเอง และพบว่าแผลเป็นขนาดใหญ่นั้นได้หายไปแล้ว..
  เขาถึงกับตกใจและพูดขึ้นว่า“พ่อหนุ่ม.. เมื่อครั้งที่พ่อของเมิ่งหานกลับไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่คลินิกครั้งนั้นให้ข้าฟัง บอกตามตรงว่าข้าเองยังไม่อยากเชื่อ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉายาหมออมตะของเจ้านั้น ช่างสามคำร่ำลือยิ่งนัก!”
  หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงตอบไปว่า “ท่านปู่หลิน.. ข้าเป็นศิษย์คนเดียวของสำนักหมอสวรรค์ นี่เป็นเพียงแค่การรักษาเล็กน้อยที่ข้ามอบให้กับท่านในการพบกันครั้งแรก!”
  จากนั้น..หลิงหยุนก็เรียกยันต์บำบัดออกมาปึกหนึ่งส่งให้หลินเมิ่งหานพร้อมกับสั่งว่า
  “เมิ่งหาน..ท่านปู่อยู่ในกองทัพมานานหลายปี ต้องได้รับบาดเจ็บมานับครั้งไม่ถ้วน หลังจากไปถึงบ้าน คุณก็ใช้ยันต์นี่รักษาแผลเป็นให้กับท่านปู่หลินด้วย..”
  จากนั้นหลิงหยุนก็ถามขึ้นว่า“ท่านปู่หลิน.. ต้องการให้คนขับรถพาวนดูรอบเมืองก่อนหรือไม่”
  หลินหงจวินตอบกลับมายิ้มๆพร้อมกับโบกไม้โบกมือ “ไม่ดีกว่า.. ข้ามีเวลาอยู่กับเมิ่งหานไม่มากนัก อีกไม่นานหลานสาวสุดที่รักของข้าก็จะต้องเดินทางไปต่างประเทศแล้ว ข้าอยากจะมีเวลาอยู่กับนางให้มากที่สุด!”
  “เมิ่งหาน..กลับกันได้แล้วล่ะ!”
  ……..
  หลังจากส่งหลินหงจวินแล้วหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ก็รีบกลับไปที่สนามบินต่อ และพบว่าเสี่ยวเฉินยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู
  เมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดเป็นกังวลของเสี่ยวเฉินหลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า “ท่านเฉิน.. อย่าได้กังวลใจไป ท่านปู่หลินจะไม่มีอันตรายใดๆแน่หากอยู่ในจิงฉู..”
  จากนั้นหลิงหยุนกับเสี่ยวเฉินก็พูดจากันอีกเพียงแค่สองสามคำแล้วหลิงหยุนก็หันไปสั่งอาปิงให้ไปส่งเสี่ยวเฉินที่โรงแรมไคเฉวียน พร้อมกับกำชับว่า
  “เปิดห้องเพรสซิดนท์สูทให้..” ไอลีนโนเวล
  เสี่ยวเฉินรีบปฏิเสธแต่หลิงหยุนไม่สนใจ และรีบส่งทั้งคู่ออกจากสนามบินทันที จากนั้นหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ก็เดินตรงเข้าไปในสนามบินอีกครั้ง และพบว่าโม่วู๋เตากำลังยืนอยู่กับคนสำคัญพอดี – เขาก็คือฉินฉางชิง!
  เครื่องของฉินฉางชิงถึงสนามบินตามเวลาและเพียงแค่สิบนาที.. ร่างของฉินฉางชิงก็ปรากฏขึ้นที่ทางออกผู้โดยสาร
  ฉินฉางชิงนั้นอายุราวเจ็ดสิบกว่าปีแล้วแต่ยังดูราวกับคนอายุน้อยกว่าหกสิบปี เขามีผมขาวบนศรีษะเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ใบหน้าผ่องใส สวมเสื้อคอจีน กางเกงขายาวสีขาว และสวมรองเท้าผ้า ท่วงท่าการเดินนั้นสง่างามแข็งแรงยิ่งนัก..
  และแทบไม่ต้องรอให้หนิงหลิงยู่แนะนำหลิงหยุนก็รู้ได้ทันทีว่าคนผู้นั้นก็คือฉินฉางชิง เขาเดินออกมาจากทางออกของผู้โดยสารระดับวีไอพี ซึ่งมีผู้คนเดินออกมาไม่มากนัก..
  และที่สำคัญ..หลิงหยุนมองเห็นว่าฉินฉางชิงนั้นอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7!
  สองพี่น้องต่างก็รีบเดินตรงเข้าไปหาท่านตาของตนเองทันทีแต่ปฏิกิริยาของทั้งคู่นั้นจะแตกต่างจากหลินเมิ่งหานที่เจอกับท่านปู่หลิน เพราะนี่คือครั้งแรกที่หนิงหลิงยู่ได้พบกับตาของเธอ แม้จะรู้ว่านี่คือท่านตาของตนเอง แต่ก็ไม่กล้าที่จะประพฤติเช่นเดียวกันกับหลินเมิ่งหาน..
  “หลิง..หลิงยู่ใช่มั๊ย”
  ฉินฉางชิงที่เพิ่งจะได้พบกับหลานสาวแท้ๆของตนเองเป็นครั้งแรกก็ถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมาทันที และภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเวลานี้ ก็ทำให้หลิงหยุนนึกถึงตอนที่ตนเองได้พบกับหลิงลี่เป็นครั้งแรกเช่นกัน..
  ตั้งแต่หนิงหลิงยู่ถือกำเนิดขึ้นมาจนกระทั่งเวลาผ่านไปนานถึงสิบแปดปี ทั้งหลานสาว และตาต่างก็ไม่เคยได้พบหน้าคร่าตากันเลยสักครั้ง..
  “ใช่จริงๆด้วย..หลานสาวของตา เจ้าขยับเข้ามาให้ตาดูหน้าเจ้าชัดๆอีกหน่อย!”
  ฉินฉางชิงเดินตรงเข้าไปหาหนิงหลิงยู่ทันทีพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นสองตาออก แล้วจึงจ้องมองใบหน้าของหนิงหลิงยู่อยู่เนิ่นนาน
  เวลานี้หนิงหลิงยู่เองก็น้ำตาอาบแก้มเช่นกัน..ส่วนฉินฉางชิงนั้นกลับไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังได้พบหน้าหลานสาว แต่กลับรู้สึกเหมือนกับได้พบหน้าฉินจิวยื่อลูกสาวของตนเองเสียมากกว่า..
  ‘หากท่านแม่กับน้าหญิงอยู่ด้วย..คงจะดีไม่น้อย!’ หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่ในใจเงียบๆ
  “หลิงยู่..เจ้าช่างเหมือนกับแม่ของเจ้านัก!”
  ฉินฉางชิงจ้องหน้าหนิงหลิงยู่เป็นเวลานานพร้อมกับจับไหล่ของเธอเขย่าไปมา หนิงหลิงยู่เองก็ได้แต่พยักหน้า จากนั้นจึงรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา และรีบหันไปทางหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยแนะนำทันที
  “ท่านตาคะ..นี่พี่ใหญ่ค่ะ พี่หลิงหยุน!”
  ฉินฉางชิงเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนในขณะที่หลิงหยุนเองก็ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้นอีกหนึ่งก้าว..
  “ท่านตา..”
  หลิงหยุนนั้นคิดมาตลอดว่าจะเรียกฉินฉางชิงว่าอะไรดีและในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเรียก ‘ท่านตา’ ตามหนิงหลิงยู่!
  แต่ฉินฉางชิงกลับโบกมือไปมากพร้อมกับพูดยิ้มๆ“เจ้าเป็นคนตระกูลหลิง.. เรียกข้าว่าท่านปู่จะดีกว่า!”
  หลิงหยุนถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกและคิดไม่ถึงว่าชายชราจะเป็นคนง่ายๆเช่นนี้ เขาจึงเปลี่ยนมาเรียกฉินฉางชิงใหม่ทันที..
  “ครับท่านปู่ฉิน!”
  ฉินฉางชิงหันไปมองรอบๆและเมื่อเห็นโม่วู๋เตายืนอยู่เพียงลำพัง จึงร้องถามขึ้นว่า “แล้วเจ้าล่ะ”
  โม่วู๋เตาก้าวขึ้นมาด้านหน้าสองก้าวพร้อมกับแนะนำตัวกับฉินฉางชิงด้วยเสียงที่ดังฟังชัด
  “ข้า– โม่วู๋เตา ศิษย์สำนักเหมาซาน คาราวะท่านอาวุโส..”
  ฉินฉางชิงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะถามเสียงเบา “สำนักเหมาซานงั้นรึ เดี๋ยวนี้สำนักเหมาซานส่งลูกศิษย์ลงเขามาฝึกวิชาด้วยงั้นรึ? ไม่เลวทีเดียว..”
  จากนั้นฉินฉางชิงก็เอื้อมมือไปจับมือหนิงหลิงยู่พร้อมกับหันไปพูดกับหลิงหยุนว่าว่า“หลิงหยุน.. ที่นี่ไม่เหมาะกับการพูดคุย พวกเรากลับกันดีกว่า!”
  หลิงหยุนจึงร้องถามขึ้นว่า“ท่านปู่ฉิน.. นี่ท่านมาคนเดียวงั้นรึ
  ฉินฉางชิงพยักหน้า“ข้ามาพบพวกเจ้า เหตุใดจึงต้องมีคนตามมากมายด้วยเล่า”
  ระหว่างที่ทั้งสี่คนเดินออกจากสนามบินนั้นหนิงหลิงยู่ก็ร้องถามขึ้นว่า “ท่านตาคะ.. พวกเรามีบ้านสองหลัง ที่ทะเลสาบหลังหนึ่ง แล้วก็ที่ทะเลหลังหนึ่ง! ท่านปู่อยากไปพักหลังใหนคะ”
  ฉินฉางชิงยิ้มให้หนิงหลิงยู่ก่อนจะถามกลับว่า “แล้วน้าหญิงของเจ้าอยู่หลังใหนล่ะ”
  “น้าหญิงอยู่ที่หมู่บ้านในอ่าวจิงฉูค่ะ..”
  “ถ้าเช่นนั้น..ข้าก็ไปพักที่บ้านหลังนั้น..”
  หลิงหยุนได้แต่งุนงงว่าสองพ่อลูกคู่นี้เป็นอะไรกันลูกสาวไม่มาหาพ่อ แต่พ่อกลับเป็นฝ่ายไปหาลูกสาว!