ระหว่างทางที่ขับรถออกจากสนามบินนานาชาติจิงฉูไปยังหมู่บ้านในอ่าวจิงฉูนั้นฉินฉางชิงก็นั่งจับมือหนิงหลิงยู่มาตลอดทาง ทั้งคู่พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันมาตลอดทาง ต่างก็ถ่ายทอดความรักตลอดสิบแปดปีที่อยู่ในใจให้กันและกัน..
  ส่วนหลิงหยุนนั้นทำหน้าที่ขับรถในขณะที่โม่วู๋เต้านั้น ตั้งแต่ขึ้นมาบนรถเขาก็เอาแต่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งได้มาใหม่ โดยไม่สนใจผู้ใด หรือสิ่งใดรอบตัวเลยแม้แต่น้อย..
  สี่สิบนาทีผ่านไป..รถของหลิงหยุนก็มาจอดอยู่หน้าบ้านเลขที่-9 แต่ประตูรั้วถูกล็อคไว้ หลิงหยุนจึงเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูภายในบ้าน และพบว่าฉินตงเฉี่วยไม่ได้อยู่ภายในบ้าน..
  ‘หรือน้าหญิงจะรู้ว่าท่านปู่ฉินจะมาหานางที่บ้านก็เลยรีบหลบหน้าไปก่อน!’
  แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็แสร้งทำเป็นเปิดกระจกรถลงและร้องตะโกนออกไป”” “น้าหญิง.. พวกเรากลับมาแล้ว เปิดประตูให้พวกเราด้วย!”
  แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฉินฉางชิงซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังกับหนิงหลิงยู่จะหัวเราะออกมา และพูดขึ้นว่า
  “หลิงหยุน..เจ้าไม่จำเป็นต้องแสดงละครหลอกข้า เจ้าฝึกมาถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่รู้เชียวรึว่าในบ้านไม่มีผู้ใดอยู่”
  “เอ่อ..”
  หลิงหยุนถึงกับอ้ำอึ้งและได้แต่หน้าแดงด้วยความอับอายที่ถูกฉินฉางชิงจับได้..
  ฉินฉางชิงอยู่ในขั้นเซียงเทียน-7แน่นอนว่าย่อมสามารถได้ยินไปไกลเป็นร้อยเมตร เหตุใดจึงจะไม่ได้ยินว่าภายในบ้านนั้นไม่มีคนอยู่เล่า
  หนิงหลิงยู่ก็เช่นกัน..นับวันจิตหยั่งรู้ของเธอก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น จึงรู้ว่าฉินตงเฉี่วยไม่ได้อยู่ในบ้าน แต่โชคดีที่หนิงหลิงยู่มีกุญแจบ้านจึงรีบร้องบอกว่า
  “ท่านปู่คะ..หลานมีกุญแจ เดี๋ยวหลานจะไปเปิดประตูให้เอง!”
  ฉินฉางชิงปล่อยมือหนิงหลิงยู่พร้อมกับพูดขึ้นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู“ได้สิ.. จะได้เข้าไปนั่งคุยกันในบ้านสบายๆ!”
  ดูเหมือนฉินตงเฉี่วยจะตั้งใจให้ฉินฉางชิงมาเก้อ..
  หลังจากหนิงหลิงยู่เปิดประตูรั้วแล้วหลิงหยุนก็ค่อยๆขับรถเข้าไปจอดภายในบ้าน และทันทีที่ลงจากรถ โม่วู๋เตาก็พูดขึ้นว่า
  “หลิงหยุน..บรรยากาศที่นี่ดีมากทีเดียว ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย!”
  โม่วู๋เตานั้นรู้ว่าทั้งผู้เป็นตาหลานสาว และหลานชาย ต่างก็ไม่ได้พบหน้าคร่าตากันมานาน เขาจึงต้องการให้ทุกคนได้นั่งพูดคุยกันในบ้านได้อย่างสะดวกโดยไม่มีคนนอก..
  และเพียงแค่พริบตาเดียวร่างของหนิงหลิงยู่ก็ไปปรากฏอยู่หน้าฉินฉางชิงแต่ฉิงฉางชิงกลับไม่รู้สึกแปลกใจนัก เพราะเรื่องของหนิงหลิงยู่กับหลิงหยุนนั้น เขาได้รู้มาจากปากของป้าเม่ยก่อนแล้ว..
  หนิงหลิงยู่ใช้วิชาตัวเบากระโดดไปยืนข้างฉินฉางชิงและจูงมือของเขาพาเข้าไปในบ้านทันที หนิงหลิงยู่พาฉินฉางชิงไปนั่งลงบนโซฟาด้วยกัน ส่วนหลิงหยุนนั้นยืนอยู่ข้างๆ
  ฉินฉางชิงดึงหนิงหลิงยู่เข้าไปใกล้ๆอีกครั้งเขาจ้องมองดวงตาของหนิงหลิงยู่ที่เวลานี้รื้นไปด้วยน้ำตามอีกครั้ง แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจ
  “หลายปีมานี้..ข้าคงทำให้พวกเจ้าต้องอยู่อย่างยากลำบากมากเลยสินะ!”
  หลิงหยุนรีบบอกหนิงหลิงยู่ผ่านกระแสจิต-หลิงยู่.. ทำการคาราวะท่านตาเร็วเข้า!–
  นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงหลิงยู่ได้พบกับคนในตระกูลฉินเป็นครั้งจึงยังไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติ หลังจากที่หลิงหยุนเอ่ยเตือน เธอจึงรีบลุกขึ้นยืนตรงหน้าฉินฉางชิง และคุกเข่าทำการคาราวะทันที..
  “หลิงยู่คาราวะท่านปู่..”
  จากนั้นหนิงหลิงยู่ก็ทำการโขกศรีษะลงกับพื้นสามครั้งฉินฉางชิงก็ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง..
  ฉินฉางชิงรีบเอื้อมมือไปดึงหนิงหลิงยู่ให้ลุกขึ้นและพูดขึ้นว่า “หลานตา.. เจ้าไม่จำเป็นต้องโขกศรีษะเลย แล้วนี่เจ้าเจ็บมากมั๊ย”
  “ท่านปู่..หลานไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย!”
  “หลิงหยุนคาราวะท่านปู่ฉิน..”
  หลังจากที่หนิงหลิงยู่คาราวะฉินฉางชิงแล้วหลิงหยุนก็ทำการคาราวะต่อ เพราะอย่างน้อยฉินจิวยื่อก็เลี้ยงดูเขามานานถึงสิบแปดปี จึงสมควรที่เขาจะต้องคุกเข่าคาราวะฉินฉางชิง
  แต่หลิงหยุนโขกศรีษะไปเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นฉินฉางชิงก็พูดขึ้นว่า “แค่คุกเข่าก็เพียงพอแล้ว.. ลุกขึ้นๆ”
  ฉินฉางชิงนั้นไม่อาศัยความอาวุโสของตนเองบีบคั้นให้หลิงหยุนต้องคุกเข่าอยู่นาน แต่กลับรีบก้มลงประคองหลิงหยุนขึ้นมาเช่นเดียวกันกับหนิงหลิงยู่ หลิงหยุนเองได้แต่คิดในใจว่า
  ‘ท่านปู่ฉินเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุมีผลน่านับถือยิ่งนักเหตุใดน้าหญิงยังต้องหลบหน้าหลบตาท่านปู่เช่นนี้!’
  จากนั้นหลิงหยุนจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า“ท่านปู่ฉิน.. ท่านกับหลิงยู่อยู่คุยกันไปก่อน ข้าจะออกไปตามน้าหญิง!”
  แต่ฉินฉางชิงกลับหัวเราะเสียงดังพร้อมกับโบกมือห้าม“ไม่จำเป็นหรอก! เพราะเรื่องของแม่เจ้า ทำให้น้าหญิงของพวกเจ้ายังคงขุ่นเคืองใจข้า เจ้าไม่ต้องออกไปตามหานางหรอก และต่อให้เจ้าหานางพบ นางก็ไม่กลับมากับเจ้าแน่..”
  ฉินฉางชิงนั้นรู้จักลูกสาวและเข้าใจความรู้สึกของนางเป็นอย่างดี.. และได้ร้องบอกหลิงหยุนว่า
  “หลิงหยุน..เจ้านั่งลงก่อน!”
  หลังจากที่หลิงหยุนนั่งลงฉินฉางชิงก็กระแอมเบาๆ แล้วจึงพูดขึ้นว่า..
  “หลิงหยุน..จิวยื่อเลี้ยงดูเจ้ามาสิบแปดปี เจ้าจึงนับว่าเป็นคนของตระกูลฉินเช่นกัน ข้าในฐานะผู้ที่อาวุโสที่สุดของตระกูลฉิน มีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้าสักหน่อย..”
  ฉินฉางชิงในฐานะผู้นำตระกูลที่มีสิทธิ์พูด และทำอะไรก็ได้ หลิงหยุนจึงตอบกลับไปยิ้มๆ
  “ท่านปู่ฉิน..เชิญท่านพูดออกมาได้เลย!”
  ฉินฉางชิงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดขึ้นว่า“หลิงหยุน.. เมื่อครั้งที่อยู่บนเขาหลงหู่นั้น เจ้าได้สู้กับศิษย์จากหลายสำนัก หลายคนถูกเจ้าสังหาร และหลายคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เรื่องนี้ได้ร่ำลือกันไปทั่วทั้งยุทธภพแล้ว..”
  เรื่องที่ฉินฉางชิงรู้นั้นหลิงหยุนไม่ได้นึกแปลกใจเพราะครั้งนั้นมีทั้งเส้าหลิน บู๊ตึ๊ง กระบี่คุนหลุน สำนักดาบเทวะ และสำนักอื่นๆอีกมากมายที่ล้วนแล้วแต่รอดชีวิต..
  “ท่านปู่ฉิน..ท่านกล่าวเกินไป ครั้งนั้นข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น!” novel-lucky
  ฉินฉางชิงพยักหนาแต่ดวงตาคมกริบนั้นกลับจับจ้องอยู่ที่หลิงหยุน พร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “หากเป็นข้า..ก็ยังยากนักที่จะอาชนะยอดฝีมือบนเขาหลงหู่ได้..”
  หลิงหยุนรู้ว่าฉินฉางชิงต้องการจะพูดเรื่องอะไร
  ครั้งนั้นสำนักดาบสวรรค์ได้พ่ายแพ้ให้กับเขาและกัวเสี่ยวเทียนก็ถูกเขาสังหาร อีกทั้งหลิงหยุนยังประกาศให้ฉินตงเฉี่วยตัดขาดจากสำนักดาบสวรรค์ต่อหน้าศิษย์คนอื่นๆด้วย..
  ตลอดเวลาสิบแปดปีนั้นตระกูลฉินได้พึ่งพาสำนักดาบสวรรค์มาตลอด ไม่เช่นนั้นแล้ว ตระกูลฉินก็คงจะไม่แตกต่างจากตระกูลหลิงนัก..
  “เอ่อ..หลิงหยุนได้สร้างปัญหาให้กับท่านปู่ฉิน ขอท่านปู่ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย..”
  แต่ฉินฉางชิงกลับยิ้มบางๆซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขาดีใจ หรือว่ากำลังโกรธกันแน่
  “เจ้าประกาศให้ตงเฉี่วยออกจากสำนักดาบสวรรค์เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าได้สร้างปัญหาให้กับตระกูลฉิน และข้ามากเพียงใด”
  น้ำเสียงของฉินฉางชิงนั้นบ่งบอกว่ากำลังหนักอกหนักใจอย่างมาก..
  นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของหลิงหยุนกับฉินฉางชิงเขาจึงได้แต่ยิ้มขื่น และรีบอธิบายออกไปว่า
  “ท่านปู่ฉิน..ท่านอาจจะยังไม่รู้รายละเอียดในเหตุการณ์ครั้งนั้น ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง..”
  ฉินฉางชิงรีบยกมือขึ้นห้ามและพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องเล่าเหรอก! รายละเอียดของเหตุการณ์ในครั้งนั้นข้าเองย่อมรู้ดี และวันนี้ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่ได้ต้องการมาตำหนิเจ้า เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร..”
  จากนั้นเขาก็หันหน้าไปทางหนิงหลิงยู่และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรักใคร่เอ็นดู “หลิงยู่.. ตาไม่ได้พบเจ้ามาถึงสิบแปดปี ใช่ว่าตาจะไม่สนใจใยดีเจ้า..
  “เฮ้อ..ที่ผ่านมาเจ้าคงนึกตำหนิตาอยู่ในใจสินะ!”
  ฉินฉางชิงพูดด้วยน้ำเสียงที่กระอักกระอ่วนใจ..
  หนิงหลิงยู่รีบส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ไม่เลยค่ะท่านตา.. หลานไม่เคยนึกตำหนิท่านตาเลย ตอนนั้นหลานยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีท่านตา..”
  หากไม่ใช่เพราะหลิงหยุนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนี้และหากไม่ใช่เพราะหลิงหยุนสังการศัตรูไปมากมาย เรื่องที่ฉินจิวยื่อเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน และเป็นคนของตระกูลฉินก็คงจะยังไม่มีใครล่วงรู้..
  ทันทีที่ฟังคำพูดของหนิงหลิงยู่ฉินฉางชิงก็ถึงกับน้ำตาคลออีกครั้งพร้อมกับพูดขึ้นว่า..
  “หลานตา..ตารู้สึกผิดต่อเจ้านัก..”
  “แต่..แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้ว! หากครั้งนั้นแม่ของเจ้าเชื่อฟังข้า ไม่ผลีผลามก้าวผิดพลาดไปเช่นนั้น ตระกูลฉินของเรา..”
  “ตระกูลฉินของเรา..ก็คงจะไม่ต้องแบกรับความอัปยศมานานถึงสิบแปดปี..”
  “อ่อ..ไม่สิ! หากไม่มีก้าวนั้น ก็จะไม่มีหลิงยู่ในตอนนี้!”
  คำพูดที่ไหลพร่างพรูออกจากปากของฉินฉางชิงและอารมณ์ความรู้สึกที่แสดงออกมานั้น ทำให้หลิงหยุนสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ แต่หลังจากที่ได้พูดอะไรออกไปมากมาย อารมณ์ของฉินฉางชิงก็ดูเหมือนจะสงบนิ่งขึ้นมาก เขายกมือขึ้นปาดน้ำตา จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “หลิงหยุน..เจ้าไม่ต้องคาดเดาอะไร!”
  “ที่ข้ามาจิงฉูก็เพราะมีเรื่องสำคัญต้องมาจัดการหลายเรื่อง เรื่องราวในอดีตค่อนข้างยาว ข้าไม่ได้คิดที่จะปิดบังเจ้า และจะเล่าให้เจ้าฟังทั้งหมด..”
  “แต่ในวันพรุ่งนี้เป็นวันเปิดบริษัทของเจ้า..วันนี้เจ้าคงจะต้องยุ่งมาก รอให้พรุ่งนี้ผ่านพ้นไปก่อน หลังจากนั้นปู่กับหลานปู่ก็ค่อยมานั่งคุยกันอีกครั้ง..”
  หลิงหยุนได้แต่นึกชื่นชมอยู่ในใจที่ฉินฉางชิงรู้แม้กระทั่งว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
  “ครับท่านปู่ฉิน..ข้าจะเชื่อฟังท่าน!”
  ฉินฉางชิงโบกมือพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เอาล่ะ.. เจ้ากลับไปที่บ้านของเจ้าได้แล้ว ให้หลิงยู่อยู่เป็นเพื่อนข้าก็พอ!”
  “เอ่อ..ท่านปู่ฉิน! นี่ก็บ่ายสองโมงแล้ว พวกเราออกไปหาอะไรกินกันก่อนดีหรือไม่”
  หลิงหยุนออกไปรับแขกที่สนามบินมาทั้งวันและจนกระทั่งตอนนี้เขายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย จึงค่อนข้างหิวมากแล้ว
  “ไม่ล่ะ..เจ้ากับนักพรตน้อยเหมาซานนั่น ออกไปหากอะไรกินกันตามสบาย””
  จากนั้นจึงหันไปถามหนิงหลิงยู่“หลิงยู่.. เสี่ยวเม่ยบอกข้าว่าเจ้าเรียนทำอาหารจากแม่ของเจ้ามาไม่ใช่รึ”
  เสี่ยวเม่ยที่ฉินฉางชิงพูดถึงก็คือ..ป้าเม่ยนั่นเอง!
  หนิงหลิงยู่ยิ้มกว้างและรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องบอกฉินฉางชิง “ท่านปู่.. ข้าจะไปทำอาหารให้ท่านทานเดี๋ยวนี้!”
  “โอ้..วันนี้ตาโชคดีมากสินะที่จะได้กินอาหารฝีมือหลานสาว!”
  ฉินฉางชิงหัวเราะออกมาเสียงดังแต่เมื่อหันไปเห็นหลิงหยุนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ จึงได้แต่ร้องบอกไปว่า
  “อะไรกันนี่เจ้ายังยืนนิ่งอยู่อีกรึ? หรือเจ้าอยากจะกินอาหารที่นี่พร้อมกับข้า?”
  “ท่านปู่ข้ากำลังจะไปแล้ว..เพียงแต่.. ท่านช่วยบอกวันเดือนปีเกิดของท่านแม่ให้ข้ารู้จะได้หรือไม่”
  “เจ้าต้องการรู้ไปทำไมรึ”ฉินฉางชิงถามขึ้นด้วยความงุนงง
  หลิงหยุนจึงตอบไปตามตรง“ท่านปู่ฉิน.. ท่านแม่เดินทางไปที่สำนักกระบี่เทียนซันตั้งนานแล้ว จนป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย! ข้าจึงอยากจะให้โม่วู๋เตาช่วยทำนายดวงชะตาของท่านแม่ให้หน่อย..”
  หลังจากได้ฟังคำตอบของหลิงหยุนใบหน้าของฉีฉางชิงก็เปลี่ยนเป็นเศร้า และพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา
  “ไม่จำเป็นต้องทำนายดวงชะตาอะไรหรอก!จิวยื่อไปครั้งนี้ก็คงจะมีแต่ความขมขื่น และรู้สึกผิด..”