สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ

“อาจิ้ง เรื่องที่ภาพเขียนเทพธิดาถูกส่งคืนไปพิพิธภัณฑ์เป็นนายรึเปล่า” หวังซวนจิ้เรียกซูจิ้งมาหาพร้อมทั้งยิงคำถามอย่างตรงประเด็น

 

“ได้ภาพเขียนเทพธิดากลับมาแล้วหรือครับ” ซูจิ้งทำท่าทางตกใจ

 

“นายไม่รู้เรื่องงั้นรึ”

 

“ผมไม่รู้เรื่องครับ เพิ่งรู้จากลุงนี่หล่ะ”

ซูจิ้งทำท่าโง่งม

 

หลังจากนั้นเขาก็ต้องไปหาหวังจ้าวและหวังซือหยาเพื่อตอบคำถามเดียวกัน เหล่าผู้คนกว่าค่อนตระกูลต่างก็คิดว่าต้องเป็นฝีมือของซูจิ้ง พวกเขาต่างก็คิดว่าอย่างน้อยๆ ซูจิ้งก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ที่น่าสงสัยก็เพราะว่าอยู่ๆ ทำไมมัตซึโมโตะถึงกลับไปญี่ปุ่นเพื่อไปดูภาพเขียนเทพธิดา นั่นแสดงว่าซูจิ้งต้องทำอะไรบางอย่างแน่ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้ถูกจับถึงแม้จะถูกจับไปสอบสวนก็ตาม

ถ้าไม่ใช่ซูจิ้งหล่ะก็จะไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่จะทำให้ภาพเขียนเทพธิดาจะถูกขโมยไปได้ แถมยังการส่งคืนพิพิธภัณฑ์ราชวงศ์เหลียวแบบไม่ประสงค์จะออกนามอีก จะมีคนอื่นที่ยอมทำเรื่องดีๆอยู่ในโลกนี้นอกจากซูจิ้งได้ยังไง แต่ซูจิ้งเองก็อยู่ที่บ้านทั้งวัน เขาไม่ได้ออกจากบ้านเลยซักก้าว ต่อให้มีบางช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวบ้างก็ตาม ในทางทฤษฎีแล้วไม่มีทางเป็นไปได้เลย

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วเรื่องก็จบลงอย่างมีความสุข

 

สำหรับทางด้านญี่ปุ่นชาวญี่ปุ่นได้ถามหาวัตถุโบราณ ที่ได้หายไปพร้อมกับพร้อมเขียนจีน พวกเขาต่างพยายามกล่าวหาว่าชาวจีนเป็นคนขโมยไปเพียงเพราะ ภาพเขียนเทพธิดาได้กลับไปอยู่ที่จีนแล้ว แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจเรื่องที่ญี่ปุ่นพยายามกล่าวหาเลยซักนิด

 

ไม่กี่วันต่อมานอกจากซูจิ้งจะใช้เวลาจัดการกับขยะของเขาแล้ว เขาก็ยังคงศึกษาสิ่งต่างๆอยู่ในเมืองชิงหยุนบ้านของเขา เขาแบ่งเวลาในการฝึกฝนพลัง ตอนนี้พลังจิตของเขาทำให้พลังหมัดของเขามีน้ำหนักหมัด 430 กิโลกรัม เขายังฝึกฝนร่างกายด้วยเพลงหมัด18อรหันต์ขั้นต้นที่ได้ร่ำเรียนมา เมื่อนำมาผนวกกับพลังจิตของเขาทำให้ตอนนี้น้ำหนักหมัดของเขาอยู่ที่ 1,600 กิโลกรัม

 

นอกจากนั้นด้วยการฝึกฝนจากม้วนเวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ที่เขาได้มาจากการจัดการขยะที่ได้จากห้วงเวลาและกาลอวกาศ จากเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีนในที่สุดก็เกิดผลซักที เจ้าม้วนเวทย์

“สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ” นี้คือเวทย์มนต์ ที่ใช้ในการรักษาโดยใช้พลังภายใน ซึ่งต่อให้ไม่มีพลังภายในก็ยังพอที่จะใช้ได้ถึงจะใช้ได้ไม่ดีนักก็ตาม ในตอนแรกซูจิ้งคิดว่าการฝึกฝนนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่ว่าฝึกฝนยังไงก็ไม่เกิดผลซักที ในตอนหลังเขาถึงนึกได้ว่าเวทมนต์ที่ชนชาติมู่มีนั้น จริงๆแล้วพวกเขาได้มันมาเพราะเกิดจากความใกล้ชิด กับพลังแห่งธรรมชาติ เมื่อนึกได้ดังนั้นเขาจึงได้นั่งใต้ต้นหลิวในสวน และได้ทำการฝึกฝนในการสัมผัสธรรมชาติเป็นเวลาสามวัน มันช่วยได้จริงๆ ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังในธรรมชาติ สิ่งที่แตกต่างที่สุดก็คือในตอนนี้เขาสัมผัสถึงพลังชีวิตได้ ต่อให้สิ่งมีชีวิตนั้นไม่มีจิตวิญญาณ ซึ่งตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตจากต้นหลิว

ซึ่งที่ผ่านมานั้นเขาได้ใช้เพียงพลังจิตและการสะกดจิตเป็นหลัก โดยปกติแล้วมันเป็นพลังที่ช่วยในการสัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณและสติปัญญาอย่างพวกสัตว์หรือแมลงเท่านั้น ซึ่งมันแทบใช้ไม่ได้ผลเลยกับพวกพืช ถึงแม้จะใช้ได้กับพืชบางชนิดแต่นั่นก็เพราะพวกมันมีจิตวิญญาณและสติปัญญาเท่านั้น เมื่อเขาวางมือทาบลงไปบนต้นหลิว เขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหัวใจของต้นหลิว มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีอากาศกำลังไหลเวียนอยู่ในลำต้น เขารู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของต้นไม้ทั้งหมดตั้งแต่รากไปจนถึงกิ่งก้านใบทุกสัดส่วน

 

ในห้วงเวลาและกาลอวกาศจากเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีน เหล่าผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลไม้นั้น สามารถสร้างเสื้อผ้าได้จากใบหญ้าหรือต้นไม้เพียงใช้การทักสาน และควบคุมต้นไม้ให้ช่วยโจมตีศัตรูได้ด้วยการใช้เถาวัลย์ พลังเวทมนต์ที่ตระกูลไม้ใช้นั้นสามารถแบ่งแยกได้สองสายก็คือ สายควบคุมพืชกับสายที่ใช้พลังงานธรรมชาติจากพืช

 

“ฉันฝึกฝนร่างกายด้วยเพลงหมัดขั้นต้น บ่มเพาะร่างกาย ถ้าจะให้พูดในอีกความหมายนึงคือเป็นการฝึกฝนด้วยพลังภายนอก นั่นหมายถึงยังขาดวิธีการฝึกฝนพลังภายใน มีเพียงต้องฝึกให้ครบทั้งสามอย่างถึงจะทำให้ แก่นร่างกายและจิตวิญญาณสมบูรณ์อย่างแท้จริง น่าจะดีน้า…ถ้าได้วิธีฝึกฝนพลังภายในจากม้วนคัมภีร์ “สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ”” ซูจิ้งนึกถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขี้นได้ถ้ายอมถูกครอบงำจากปีศาจและได้ฝึกฝนทักษะทั้งสามด้าน(การขายวิญญาณให้ปีศาจ)

 

เขาคิดมาเสมอว่าวิธีการฝึกระหว่างการฝึกเองกับยอมให้ปีศาจครอบงำแล้วฝึกฝนนั้นไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย แต่ก็อีกหล่ะนะ มันไม่ทางเป็นไปได้เลยที่จะถูกปีศาจครอบงำได้ ต่อให้เขารู้จักผู้เฝ้าประตูยมบาล ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นก็แค่ไล่มันออกไปแค่นั้น

 

“ความจริงแล้วในต้นไม้ล้วนแล้วแต่มีจิตวิญญาณสีเขียว(พลังงานธรรมชาติจากพืช) แม้กระทั้งต้นหลิวต้นนี้ที่มาจากห้วงเวลาและกาลอวกาศเรื่อง

“กลืนดารา” ถึงแม้มันจะไม่ได้มีโอกาสเติบโตเป็นต้นไม้วิญญาณก็ตาม แต่มันกันยังมีพลังธรรมชาติสูงกว่าต้นไม้ทั่วไป ถึงแม้ว่าต้นหลิวจะได้รับพลังจากเศษดินวิญญานก็ตาม แต่แค่นั้นก็ยังไม่เพียงพอ ถ้ามันไปอยู่ในห้วงเวลาของตัวเองป่านนี้คงกลายเป็นต้นไม้วิญญาณไปเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้เหมือนกันแหะว่าฉันจะดูดซับพลังงานธรรมชาติผ่านพวกมันได้รึเปล่า” ซูจิ้งพลันนึกวิธีการนี้ออกมาได้

 

ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ซูจิ้งต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ก็คือการที่ร่างกายของเขา ไม่มีพลังภายในที่แท้จริงภายในร่างกายเลยแม้แต่นิดเนียว ด้วยการที่เวทย์ “สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ” นี้ต้องใช้พลังภายในในการรักษาบาดแผลและเขาไม่มีวิธี ในการฝึกฝนบ่มเพาะพลังภายในขึ้นมาได้ ที่เขาต้องการจะเรียนเวทย์ “สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ” นั้น เป็นเพราะว่าพลังภายนอกของเขานั้นถือได้ว่าเข้มแข็งพอแล้ว พูดอีกอย่างคือเขาเข้าใจวิธีการใช้พลังภายนอกได้เป็นอย่างดี แต่ปัญหาคือร่างกายที่ไม่มีพลังภายในเลยซึ่งมันไม่สมดุล

 

“เอาล่ะ ลองดูแล้วกัน” ซูจิ้งทาบมือไปบนลำต้นของต้นหลิว เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจของต้นไม้ที่อยู่ภายในต้นไม้ มันช่างรู้สึกน่ามหัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง เขารู้สึกได้ วิธีนี้ช่วยเขาได้อย่างมาก ซูจิ้งค่อยๆ สงบจิตใจแล้วตั้งสมาธิและค่อยๆ เพิ่มจิตสัมผัสของเขา

อย่างไรก็ตามการสัมผัสพลังชีวิตของต้นหลิวนี้ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถใช้พลังจิตของเขาในการดูดซับพลังธรรมชาติ จากต้นหลิวมาได้ตรงๆ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เขายังปล่อยจิตใจให้จมดิ่งเข้าไปในต้นหลิว ลึกขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าสู่ภวังค์

เขาค่อยๆ รู้สึกได้ถึงทุกสิ่งของต้นไม้ รู้สึกได้แม้กระทั่งลมหายใจของใบต้นหลิว มันเหมือนกับการหายใจของมนุษย์

 

เมื่อเขาสัมผัสได้ดังนั้นเขาเริ่มปรับลมหายใจของตัวเอง ให้สอดคล้องกับต้นไม้ และนั่นทำให้ได้รับสัมผัสบางอย่างซึ่งเขาเองยังไม่สามารถอธิบายสัมผัสนี้ได้

 

สองวันต่อมา สัมผัสที่เขารู้สึกได้นี้เขาเริ่มรู้สึกถึงมันมากขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเขาถอนฝ่ามือที่ทาบลำต้นออกแล้วใช้มือจับไปที่กิ่งต้นหลิว เขาจับแล้วค่อยๆดัดมันอย่างช้า จากกิ่งตรงไปเป็น 60 องศา 90 องศา 120 องศา 180 องศา จนกระทั่งปลายกิ่งแทบจะชนกับโคนกิ่งแต่กิ่งต้นหลิวก็ไม่ได้หักแต่อย่างใด ดูเหมือนมันไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ากิ่งของมันเองกำลังโดนดัดอยู่ ซูจิ้งปล่อยมือจากกิ่งที่ดัดพวกมันไม่ได้ดีดตัวเองกลับ แต่มันกลับโค้งงออยู่อย่างนั้นเหมือนมันเติบโตอย่างนั้นมาตั้งแต่ต้น หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้ดัดกิ่งต้นหลัวกิ่งนั้นกลับอย่างช้าๆ จนมันตั้งตรงเหมือนก่อนที่จะดัดมัน โดยที่กิ่งต้นหลิวไม่มีความเสียหายใดๆแม้แต่น้อย

ซูจิ้งจับไปที่โคนกิ่งแล้วหักมันออกมา ทั้นใดนั้นเขาค่อยๆวางมือทาบลงบนจุดที่หักอย่างนุ่มนวล แล้วกระตุ้นพลังธรรมชาติของต้นหลิว ซักพักจุดที่เกิดการแตกหักนั้นเริ่มซ่อมแซมตัวเองอย่างช้าๆ แต่ก็ยังเร็วพอที่จะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตาเปล่า ใบของต้นหลิวค่อยงอกออกมาและเติบโตเป็นกิ่งต้นหลิวดังเดิม

นี่คือผลจากการที่ซูจิ้งได้ใช้เวทสัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ในการกระตุ้นพลังธรรมชาติที่อยู่ในต้นหลิว

 

ตอนแรกเขาเองก็กลัวเหมือนกันว่าจะไม่สามารถใช้พลังเวทนี้ในโลกนี้ได้ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่ามนุษย์บนโลกนี้แค่ไม่คิดว่า จะมีพลังธรรมชาติอยู่และไม่เคยศึกษามันจนสามารถเขียนความรู้ออกมา  เป็นตำราได้เท่านั้น

 

“ตอนนี้ ฉันสามารถใช้เวทสัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ในการรักษาต้นไม้ได้แล้ว แสดงว่าฉันควรจะมีพลังธรรมชาติแห่งต้นไม้ในร่างกายแล้ว แล้วฉันควรจะส่งผ่านพลังนี้เพื่อจะรักษาสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นได้เหมือนกัน” ซูจิ้งได้จ้องไปที่กิ่งต้นหลิวที่งอกใหม่อย่างภูมิใจ

เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้คุ้นเคยกับพลังนี้ เขาได้เริ่มเปลี่ยนเป้าหมายเป็นต้นอื่น วางมือบนกิ่ง ดัดกิ่งให้โค้ง ดัดกิ่งให้เป็นไปตามที่ใจเขาต้องการ ปรับรูปร่างของต้นไม้ให้เป็นไปตามที่ใจเขานึก

 

ต้นไม้แต่ละต้นที่ผ่านมือเขาไปต่างสวยงามมากขี้น ดูดีขี้น ที่สำคัญคือต้นไม้ไม่เป็นอันตราย หรือส่งผลกระทบต่อพลังธรรมชาติของพวกมันแม้แต่น้อย

หลังจากนั้นสามวัน ต้นไม้ในสวนของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ไม่แค่สวนของเขาเปรียบเหมือนสวนสวรรค์ แต่ยังเหมือนกับประติมากรรมงานศิลป์ เหมือนกับเป็นการแต่งสวนจากนักแต่งสวนมืออาชีพ ที่คัดสรรและเลือกเฟ้นต้นไม้มาเป็นอย่างดี

 

ซูจิ้งได้ทำให้พลังธรรมชาติของต้นไม้ในสวนของเขา เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้อย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถดูดซับพลังธรรมชาติจากพวกมันได้ เขาได้แต่หวังเพียงว่าเขาคงไม่จำเป็นต้องเป็นต้นไม้ซะเอง ถึงจะสามารถดูดซับพลังธรรมชาติจากต้นไม้เหล่านี้ได้