ถูกขโมยอีกครั้ง

ได้มีข่าวข่าวหนึ่งพาดหัวไว้ว่า “พิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นได้ทำการจัดการแสดงภาพเขียนจีน “เทพธิดาจีน”” ถูกเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตไปทั่วประเทศจีน ซึ่งในตอนที่มีข่าวว่าภาพเขียนจีนถูกขโมยไปนั้นไม่ได้เป็นที่สนใจขนาดนี้ แต่เมื่อทุกคนได้ยินมาว่าภาพเขียนที่ถูกขโมยไปถูกขายให้กับประเทศญี่ปุ่น รวมถึงการกระทำอันไร้ยางอายของญี่ปุ่นที่กล้านำมาออกจัดแสดงประหนึ่งดังเป็นของๆตัวเอง เรื่องนี้ได้กระตุ้นให้ชาวจีนรู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก มันไม่ได้จบแค่การขโมยศิลปะแห่งชาติอีกต่อไป

 

“ฉันโกรธมากจนแทบจะแยกแผ่นดินเลย(โกรธแต่ทำอะไรไม่ได้)”

 

“ญี่ปุ่นนี่หน้าหนาดีจริงๆ”

 

“ไอ้พวกสารเลวที่ขโมยภาพเขียนไปจะต้องถูกสับเป็นหมื่นๆชิ้น”

 

“ไม่มีทางเอาภาพเขียนเทพธิดากลับมาเลยรึไงกัน”

 

เหล่าชาวเน็ตทั้งหลายต่างๆ พิมพ์ด่าทอออกมาต่างๆ นานา บางคนถึงขนาดพิมพ์บอกว่าจะไล่ฆ่าล้างคนญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามสิ่งที่พิมพ์ช่างง่ายดายแต่เมื่อเทียบกับในชีวิตจริงช่างยากเย็นนัก การกระทำแต่ละอย่างจะต้องคำนึงถึงผลกระทบหลายๆ ด้าน แม้กระทั่งหลี่เทียนเฮอ หวังซวนจี้ และคนอื่นๆ ยังจนใจทำอะไรไม่ได้

ตอนที่ข่าวนี้ออกมาเมื่อเช้าไม่มีใครคิดว่าจะเป็นเรื่องที่ร้อนแรงจนกลายเป็นประเด็นร้อนแทบจะทันทีโดยเวลายังไม่เข้าช่วงสายเลยด้วยซ้ำ

 

ในวันที่ญี่ปุ่นจัดแสดงภาพเขียนจีนนั้น ในคืนวันนั้นเองวัตถุโบราณหลายๆชิ้น ซึ่งรวมถึงภาพเขียนจีน ได้ถูกขโมยออกจากพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่น ในตอนแรกนั้นชาวจีนไม่มีใครเชื่อข่าวนี้เลยจนกระทั่งข่าวได้รับการยืนยัน ชาวเน็ตต่างแสดงความเห็นออกมาอย่างหน้าชื่นตาบาน

 

“ฮ่าฮ่า ช่างเป็นการแก้แค้นที่ดีจริงๆ”

 

“ฉันไม่คิดเลยว่าจะแก้แค้นได้เร็วขนาดนี้ น่าสะใจซะจริงๆ”

 

“สิ่งเดียวฉันกังวลตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่า ภาพเขียนเทพธิดาจะไม่เสียหายอะไรนะ”

 

“ฉันก็คิดเหมือนกัน ก็ไม่รู้ว่าใครขโมยหรอกนะ แต่ก็ได้แค่หวังว่าเขาจะนำภาพเขียนกลับมาให้ประเทศจีน”

 

เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ชาวเน็ตแทบจะเรียกได้ว่าปรับตัวไม่ทัน

 

ณ ตระกูลหวัง หวังซวนจิ้ได้อ่านทุกคอมเม้นต์อย่างตั้งใจมากกว่าอ่านข่าวเสียอีก หลังจากอ่านเสร็จเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาว่า “พนักงานรักษาความปลอดภัยของพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นไม่ได้กระจอกเลยนะ แต่กลับเกิดเหตุการณ์ที่โบราณวัตถุหลายชิ้น ถูกขโมยไปแบบจับต้นชนปลายไม่ได้ โจรเดี๋ยวนี้นับวันช่างเก่งกาจกันเหลือเกิน เฮ้ออออ…ได้แต่หวังว่าภาพเขียนเทพธิดายังคงอยู่ดีนะ ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะส่งมอบกลับให้จีนในซักวันหนึ่ง”

 

“ในครั้งนี้ญี่ปุ่นได้สูญเสียโบราณวัตถุระดับชาติไปหลายชิ้น ช่างเป็นเวรกรรมจริงๆ” หวังจุนที่อยู่ข้างๆ พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

“มันเขียนไว้ว่ามีคนเห็นมัตซึโมโตะ ที่เป็นคนสนิทของผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่น ถูกพบใกล้ๆกับโบราณวัตถุที่ถูกขโมยไปเมื่อคืนนี้ และตอนนี้เขาถูกจับกุมตัวเพื่อไปสอบสวนเรียบร้อยแล้ว ทำไมฉันถึงคิดว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับอาจิ้งด้วยนะ” หวังซวนจี้พูดด้วยรอยยิ้ม

 

“ได้ยินมาจากเสี่ยวจ้าวว่าคืนนั้นอาจิ้งได้พูดคุยกับมัตซึโมโตะ มัตซึโมโตะก็ไม่ได้แสดงพิรุธอะไร ต่อให้ซูจิ้งเป็นคนสั่งมัตซึโมโตะเขาก็ไม่มีทางขโมยภาพเขียนได้เลย” หวังจุนกล่าวออกมา

 

“ฉันก็คิดเหมือนกัน” หวังซวนจี้แค่ลองคิดเล่นๆ ช่างเป็นความคิดที่น่าขันเป็นยิ่งนัก มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดไปได้ยังไง อาจเป็นเพราะซูจิ้งมีความสามารถท้าทายสวรรค์นั่นหล่ะมั้ง ทำให้เขาเผลอคิดไป

 

หลายวันต่อมายังไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับภาพเขียนจีน และวัตถุโบราณชิ้นอื่นที่ถูกขโมยไปจากพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นเลยซักนิด นั่นทำให้ซูจิ้งผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังเริ่มรู้สึกว้าวุ่นใจ หากว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นระหว่างทางหล่ะ หรือว่าจะเป็นที่ระยะทางกัน เขาเองก็รู้หล่ะนะว่ามันต้องใช้เวลาซักหน่อยแต่มันก็รู้สึกกังวลอยู่ดี รู้หยั่งงี้ใช้เลือดทั้งหมดบนภาพเขียนจีนซะยังดีกว่า ซูจิ้งได้แต่คิดอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง

 

เที่ยงวันนั้น ทันทีที่ซูจิ้งก็ได้ยินเสียงวาฬออก้าดังมาจากทะเล เขารีบเดินไปที่ทะเลแล้วพบปลาวาฬออก้าที่โผล่หัวยื่นเข้ามา และพ้นน้ำออกมาทางหัวใส่ซูจิ้ง ถ้าซูจิ้งไม่ได้ตั้งรับไว้ด้วยพลังจิตล่ะก็เขาต้องเปียกแน่นอน

 

วาฬออก้าตัวนั้นยาวประมาณเจ็ดไม่ก็แปดเมตร มันตัวใหญ่มากๆ มันไม่สามารถเข้ามาชายฝั่งได้นอกจากจะเป็นช่วงร่องทะเลน้ำลึกเท่านั้น

 

“เสี่ยวหู นายแกล้งฉันอีกแล้วนะ” ซูจิ้งยิ้มออกมาพลางลูบหัวออก้า

 

“ฉันพบสมบัติหล่ะ” ออก้าพูดออกมาด้วยเสียงกังวัลเหมือนเจอขุมทรัพย์ก็ไม่ปาน มันดำน้ำลงไปแล้วก็ดึงถุงตาข่ายขึ้นมา

 

นอกจากวาฬเพชรฆาตตัวนี้แล้วยังมีหมึกจักพรรดิ์ และปลาบลูอาย(ตาฟ้า)​ที่ยังคงค้นหาสมบัติใต้ทะเลอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ซูจิ้งจะไม่ได้ต้องการให้พวกมันรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของพวกมัน เขาต้องการให้มันทำไปเล่นๆ มากกว่า แต่พวกมันก็ยังคงตั้งใจทำกันอย่างแข็งขันอยู่ดี โดยปลาบลูอายทำหน้าที่ค้นหา หมึกจักรพรรดิ์ทำหน้าที่เก็บรวบรวม และสุดท้ายมอบหมายให้ออก้าทำหน้าที่ในการขนส่ง โดยซักสองสามวันออก้าจะเอาสมบัติมาส่งให้เขาซักหนนึง

 

ซูจิ้งดึงเอาถุงตาข่ายที่เต็มไปด้วยสมบัติขึ้นมาจากทะเล มันมีน้ำหนักรวมอย่างน้อย 200 ชั่ง สมบัติส่วนใหญ่เป็นของทะเล มีทั้งปะการังแดง ไข่มุก ซึ่งส่วนใหญ่มีมูลค่าสูงถึงบางชิ้นจะดูไม่ค่อยมีค่าก็ตาม แต่ก็พูดได้ว่ามีค่าอยู่ดี

 

“ห้ะ” เขาส่งเสียงออกมาทันทีที่สังเกตุเห็นกล่องแก้ว มันดูไม่เหมือนของที่อยู่ในทะเลมาเป็นเวลานาน มันมีม้วนกระดาษอยู่ข้างในและถูกผนึกไว้อย่างดี ซูจิ้งค่อยๆ เปิดกล่องแก้วออกแล้วคลี่ม้วนกระดาษออกมาดู เมื่อเขาเห็นสิ่งที่ปรากฎในกระดาษถึงกับนิ่งจนแทบหยุดหายใจ

 

“นี่มันภาพเขียนเทพธิดา” ซูจิ้งตกใจพร้อมแสดงความปลาบปลื้มออกมา เขาหลับตาสบัดหัวแล้วตั้งใจมองดูอีกครั้ง

แน่นอนอย่างที่สุดว่าเป็นภาพเขียนเทพธิดา เพราะว่ามันมีรอยแต้มเลือดบริเวณไม้ที่ใช้ม้วนเก็บภาพทั้งสองด้าน มันต้องเป็นรอยเลือดแมลงปอที่มัตซึโมโตะป้ายเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย ซูจิ้งไม่คิดว่ามันจะกลับมาหาเขาโดยเป็นออก้าที่ส่งมาให้ สงสัยภาพจะถูกเหตุการณ์เพราะผลจากเลือดเข้าทำให้หล่นไปในทะเลแล้วปลาบลูอายไปเจอเข้า

 

เหตุการณ์ที่เกิดจากผลเลือดนี้ซูจิ้งไม่อาจคาดเดาได้เลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับที่ชิงเจิ้ง(ตัวละครในล่าลี้ลับตำนานจีน) ที่จะได้เงินคืนมาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้มายังไงและเมื่อไหร่

 

“ในเมื่อภาพเขียนเทพธิดากลับมาแล้ว นั่นก็หมายความว่า…. โบราณวัตถุอื่นๆก็ควรจะอยู่ในนี้สินะ” หัวใจของซูจิ้งเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เขารีบค้นของในตาข่าย เขาได้พบโบราณวัตถุของญี่ปุ่นสามชิ้น ได้แก่ ภาพเขียนหนึ่งม้วน พระพุทธรูปหนึ่งองค์ และมีดสั้นหนึ่งเล่ม ทุกชิ้นล้วนเป็นของจากพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นอย่างไม่ต้องสงสับเพราะทุกชิ้นมีรอยเลือดแมลงปออยู่

 

“ฮ่า ฮ่า ถึงเวลาที่พวกแกได้ลิ้มรสความเจ็บปวดบ้างแล้วหล่ะ” ซูจิ้งมีความสุขอย่างมาก ความกังวลในใจของเขาได้หลุดออกไปแล้ว เขาได้จัดเก็บโบราณวัตถุทั้งสามเอาไว้และได้ส่งภาพเขียนเทพธิดาจีนส่งคือพิพิธภัณฑ์ที่ถูกขโมยแบบไม่ประสงค์ออกนาม

 

ณ พิพิธภัณฑ์ราชวงศ์เหลียว มีผู้หญิงคนหนึ่งทำหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์กำลังนั่งใช้คอมพิวเตอร์อยู่ ทันใดนั้นเธอก็เพิ่งสังเกตุเห็นกล่องพัสดุที่มีรูปร่างค่อนข้างยาว วางอยู่ข้างโต๊ะด้านขวามือ

 

น่าแปลกจังทำไมฉันนึกไม่ออกว่ามีของวางอยู่ข้างโต๊ะเลยนะ ใครเอามาวางไว้กัน

เธอได้แต่นึกและหยิบพัสดุขึ้นมาดู กล่องไม่มีอะไรติดอยู่ ไม่มีอะไรเขียนอยู่ ด้วยความสงสัย เธอทำได้แค่แกะกล่องออกมาดูและพบว่ามันคือม้วนกระดาษ เธอค่อยๆ บรรจงดึงกระดาษออกมาอย่างผู้ชานาญการ เธอค่อยๆ เปิดมันดูช้าๆ ถึงแม้ภาพเขียนนั้นจะมีขนาดค่อนข้างยาวแต่พอเธอเปิดม้วนกระดาษออกมาได้บางส่วน ดวงตาเธอก็เบิกกว้าง และตีไปที่ผู้หญิงอีกคนอย่างตื่นเต้นพร้อมพูดว่า

 

“เซี่ยวฟาง เซี่ยวฟาง ดูนี้ นี่มันภาพเขียนเทพธิดาไม่ใช่หรอ”

 

“เหลวไหลน่า เธอรู้ได้ยังไงว่าเป็นภาพเขียนเทพธิดา ภาพจะมาอยู่ในมือเธอได้ยัง” ผู้หญิงอีกคนตอบกลับมา

 

“แต่นี่มันเหมือนกับภาพจำลองเทพธิดานั่นเลยนะ”

 

“ไหนลองเอามาดูสิ ก็เหมือนจะเหมือนนะ เธอเอามาจากไหนกัน”

 

“แค่หยิบมาจากข้างๆ นี่เอง”

 

“ใครเลียนแบบขึ้นมากันนะ”

 

หลังจากที่พวกเธอลองประเมินดูแต่ไม่สามารถฟันธงได้ว่าใช่ภาพเขียนเทพธิดาของจริงหรือไม่ พวกเธอได้รายงานไปยังผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ เมื่อผู้จัดการมาเห็นเข้าก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาประหลาดใจและรีบให้ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คนช่วยกันตรวจสอบ ในที่สุดผลการประเมินก็ได้ลงความเห็นว่า นี่คือภาพเขียนเทพธิดาที่เคยอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

ข่าวการได้ภาพเขียนคืนมานั้นได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนมากมายต่างแสดงความปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก เรื่องที่น่าเหลือเชื่อนี้กลายเป็นประเด็นพูดคุยกันไปหลายวัน หวังซวนจี้นั้นเมื่อเห็นข่าวนี้เขาก็ยังได้แต่คิดเล่นๆ อยู่ดีว่าคนทำคือซูจิ้ง