วัตถุสีเทาสกปรกคล้ายมนุษย์ตกลงสู่ยอดเขาห่างไกลที่ยอดเขาวสันต์กระจ่าง มันลอบมองไปรอบๆ หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น มันประกบมือเข้าหากันและเริ่มทำท่ามุทราเป็นชุด ตอนนี้พอกำแพงอาคมด้านนอกสุดเปิดออก ในที่สุดมันจึงเดินผ่านประตูหินเข้าไป
ทันทีที่มันเข้าประตูไป มันตะโกนเสียงดัง “ซีเอ๋อร์! เจ้าอยู่ไหน!”
มันยังคงเดินไปบนทางเดินหินไปสู่โถงหลักซึ่งมันเลือกประตูหินอีกบานอย่างคล่องแคล่วและทำมือท่ามุทราอีกรอบ ประตูหินบานนั้นเปิดออกและสิ่งที่โผล่มาทักทายคือใบหน้าสง่างามแต่เศร้าหมอง
ถึงอย่างนั้น ชั่วขณะที่ใบหน้านั้นเห็นมัน สีหน้าประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นทันที
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเช็ดหน้าเขาอย่างสบายๆ และทำให้มันยิ่งดำขึ้นและสกปรกขึ้น
ฉินซีอดไม่ไหวดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วและถามว่า “ท่านไปทำอะไรมา ทำไมถึงทำตัวเองให้เป็นเช่นนี้ได้”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอก้มลงมองสารรูปของตัวเอง แต่ไม่ช้าก็นั่งลงต่อหน้าฉินซีด้วยทัศนคติแบบไร้กังวลเหมือนเดิมขณะที่ชี้ไปที่จมูกของฉินซี “ข้าเป็นแบบนี้ก็เพื่อเจ้า!”
“เพื่อข้า?” ฉินซีเลิกคิ้วอย่างสงสัย เขาไม่เชื่อสิ่งที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอย่างแน่นอน เขาจะไม่รู้เลยหรือว่าอาจารย์คนนี้มีคุณสมบัติเช่นไร หลายปีมาแล้วตั้งแต่อาจารย์เรียกชื่อเขา เขามักจะเรียกเขาว่า ‘ไอ้เด็กเหลือขอ’ เสมอ การที่จู่ๆ เขาก็เรียกชื่อขึ้นมาอย่างอ่อนโยน มันต้องเป็นเพราะเขาไปทำอะไรให้คนรู้สึกไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีแน่นอน เขาน่าจะมาเพื่อโอ้อวด
แน่ล่ะ—
ประมุขเต๋าจิ้งเหอมองซ้ายมองขวา เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีคนอื่นอยู่ในถ้ำเซียนแห่งนี้ เขาโน้มตัวมาใกล้ฉินซีและพูดในน้ำเสียงลึกลับเกินจริง “เพื่อเจ้า! ข้าเพิ่งสู้กับตาเฒ่าเจิ้นหยางเพื่อเจ้า!”
“…”
“ไอ้เด็กเหลือขอ ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร?!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอถกแขนเสื้อ “ข้าเพิ่งสู้กับเขาก็เพื่อประโยชน์ของเจ้า เจ้าไม่รู้สึกซาบซึ้งสักนิดเลยหรือ”
“ท่านควรบอกข้ามาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น” ฉินซีพูดอย่างใจเย็น
ประมุขเต๋าจิ้งเหอที่ถูกบีบให้ต้องกลับเข้าประเด็นจ้องเขาถมึงทึงอยู่พักหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้และรายงานความสำเร็จของเขาอย่างภูมิใจ “ศิษย์ของตาเฒ่าเจิ้นหยางต้องการจะขโมยเมียเจ้า ดังนั้นข้าจึงต้องสู้กับตาเฒ่านั่น”
“… เมียข้า?” ฉินซีถามช้าๆ “ข้ามีเมียตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไอ้หยา เจ้ายังไม่อยากยอมรับอีกรึ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่า “เจ้าไม่ต้องอาย” “เทียนเกอไง! ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่อยากคุยเรื่องนี้ แต่ไม่สำคัญหรอก ข้าจะไม่บอกใคร ใช้เวลาตามสบาย…”
เขาหยุดโดยอัตโนมัติก่อนที่เขาจะพูดจบเนื่องจากสีหน้าของฉินซีดูหม่นหมองมากราวกับถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำหนาทึบ “ท่านอาจารย์!”
“อะไร” ประมุขเต๋าจิ้งเหอจงใจลูบหนวดของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่คว้าขี้เถ้าออกมาหนึ่งกำ เขาตบมือกับชุดเสื้อผ้าของตัวเองทำให้ขี้เถ้าดำและดินกระจายไปทั่วห้อง
ฉินซีจ้องเขาอย่างโกรธๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร นานนับชั่วนิรันดร์ ในที่สุดสีหน้าของเขาก็ค่อยผ่อนคลายลง “ท่านอาจารย์ แทนที่จะเกียจคร้านและไม่ทำอะไร ท่านควรจะออกเดินทางและท่องเที่ยวไป ตอนนี้ระดับการฝึกตนของท่านก็สูงมากพอแล้ว ดังนั้นท่านควรมองหาชะตาลิขิตสักอย่างและคิดว่าจะผ่านเข้าไปสู่ขั้นสุดท้ายได้อย่างไร”
เสียงของเขาฟังดูสงบนิ่งมาก เจตนาเบื้องหลังคำพูดก็ฟังดูเหมือนเขาเห็นแก่ประโยชน์ของท่านอาจารย์ แต่ถึงอย่างนั้น พายุที่ก่อตัวอยู่ภายในคำพูดเหล่านั้นก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน การได้ยินฉินซีใช้น้ำเสียงเช่นนี้ ประมุขเต๋าจิ้งเหออดไม่ได้ที่จะหดตัวลง แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็เถียงอย่างมั่นใจอีกครั้งราวกับว่าความยุติธรรมอยู่ข้างเขา “ไอ้เด็กโสโครก! นั่นมันทัศนคติแบบไหนกัน ข้าต่อสู้เสี่ยงตายเพื่อเจ้าและถึงขนาดเสียชื่อเสียง แต่เจ้ากลับพูดกับข้าเช่นนี้จริงๆ น่ะรึ!”
ฉินซีรู้สึกเขายั้งตัวเองพอแล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคเหล่านั้น ไฟในใจเขาก็ไม่สามารถควบคุมได้และลุกโชนอย่างคลุ้มคลั่ง สีหน้าเขายิ่งแข็งกร้าวโดยไม่รู้ตัว “ท่านอาจารย์ ต่อให้ท่านอยากจะยุ่งวุ่นวาย แต่ท่านก็ควรรู้ขีดจำกัดบ้าง!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินซีพูด ประมุขเต๋าจิ้งเหอผู้ที่ยังไม่รู้ว่าขีดจำกัดอยู่ตรงไหน กระทืบเท้าด้วยความโกรธอีกครั้ง “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้ายุ่งวุ่นวาย!? จ-จ-เจ้า… ไอ้เด็กโสโครก ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้างุ่มง่าม จะมีหรือที่ข้าต้องคอยเฝ้าเมียให้เจ้า ข้าบอกเลย…”
“ใครบอกท่านว่านางเป็นเมียข้า” ฉินซีอดไม่ได้ที่ต้องตะโกนออกมา “ท่านเอาจริงเอาจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง! ท่านมีชีวิตอยู่มามากกว่าแปดร้อยปีแล้วนะ เกิดอะไรขึ้นกับสมองท่านกัน!”
แม้จะใช้ชีวิตอยู่มามากกว่าแปดร้อยปีแต่ยังโดนศิษย์ผู้น้อยของเขาดูหมิ่น ประมุขเต๋าจิ้งเหออาจไม่รู้ว่าสมองของเขาหายไปไหน แต่เขารู้แน่นอนว่าความภาคภูมิใจในตนเองของเขาถูกทำร้ายอย่างรุนแรง เขาใช้ความพยายามปรับสีหน้าให้ดูดุดันจากนั้นจึงตะโกนว่า “ไอ้เด็กเหลือขอโสโครก! เจ้าคิดจริงๆ รึว่าข้าไม่รู้ว่าในหัวเจ้าคิดอะไรอยู่ ตั้งแต่เจ้าเป็นเด็ก อารมณ์ของเจ้าก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าต้องการบางสิ่งเป็นอย่างมากแต่เจ้าไม่เคยยอมรับมัน! ถ้าข้าไม่คอยดูสถานการณ์แทนเจ้า เจ้าก็ไปร้องไห้ในอนาคตได้เลย!”
เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอตะโกนอย่างนั้น เขาก็ดูเหมือนผู้อาวุโสขึ้นมาจริงๆ โชคร้ายที่ฉินซีไม่เชื่อเขา “เลิกคิดว่าท่านพูดถูกตลอดเสียที! ข้าไม่สนใจนางแม้แต่นิดเดียว!”
“ฮ่า!!!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเยาะเย้ย เขาจ้องฉินซีด้วยสายตาเฉียบคมและพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่สนใจนาง ทำไมเจ้าต้องปิดบังตัวตนกับนางด้วย ทำไมเจ้าไม่อยากเจอนางในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ทำไมเจ้าฝึกตนจนเหมือนชีวิตจะหาไม่ ข้าเป็นคนที่เลี้ยงเจ้ามา คนอื่นทุกคนอาจจะไม่รู้ความคิดซับซ้อนพวกนี้ของเจ้า แต่ข้ารู้ดี!”
“เจ้าไม่บอกนางว่าเจ้าเป็นใครเพราะเจ้าไม่อยากให้นางมองเจ้าในฐานะผู้อาวุโส! เจ้าไม่อยากเจอนางและเอาแต่ฝึกตนจนเหมือนบ้าเพราะศักดิ์ศรีของเจ้าถูกเทพบรรพบุรุษของนางทำให้เจ็บช้ำ! ในอดีตเจ้ารู้สึกว่ามีแต่ตัวเจ้าที่คอยดูแลนางเสมอ แต่ต่อหน้าบรรพบุรุษของนาง อยู่ๆ เจ้าก็กลายเป็นแค่มดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง เจ้าคิดว่าเจ้าอาจสูญเสียคุณสมบัติที่จะมีความรู้สึกใดๆ ต่อนางไปแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงเริ่มฝึกตนอย่างบ้าคลั่ง ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าคิดเสมอว่าอาจารย์นั้นไม่น่าเชื่อถือ แต่ข้าจะบอกเจ้าให้ ไม่ว่าดีหรือเลว ข้าก็อยู่มาแปดร้อยปี สำหรับข้า เจ้ายังไร้เดียงสานัก!”
ถึงแม้ว่าฉินซีจะไม่ได้พูดอะไรหลังจากประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดจบ แต่สีหน้าของเขาก็ยิ่งเศร้าหมองลง เขารู้ว่าอาจารย์ของเขาทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตอยู่เสมอแม้จะอายุมาก แต่สิ่งที่เขาพูดตอนนี้ทำให้ฉินซีรู้สึกราวกับว่าความลับในใจเขาถูกเปิดโปง ณ ช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุดและถูกเอาออกมาวางแผ่โดยไม่มีอะไรปิดบัง เขายังรู้สึกราวกับจุดอ่อนของเขาถูกเข็มทิ่มแทงอย่างไม่ปรานี มันเจ็บปวดแต่เขาไม่สามารถเอื้อมถึงแผลได้
ประมุขเต๋าจิ้งเหอสูดหายใจเข้าลึกก่อนพูดต่อ “ไอ้อารมณ์แบบนี้ของเจ้านี่นะ! เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นเจ้ามักจะเก็บงำไว้กับตัวเอง คิดเสมอว่าเจ้าสามารถจัดการเองได้ อย่างไรก็ตาม ข้ายังต้องบอกเจ้าเรื่อง เรื่องพวกนี้… ถ้าเจ้าพลาดไป โอกาสของเจ้าจะหายไปตลอดกาล ไม่เป็นไรถ้าเจ้ายังไม่อยากยอมรับตอนนี้ ข้าจะคอยดูเรื่องนี้ให้ แต่เจ้าต้องไม่เป็นคนปากว่าตาขยิบ อาจารย์ไม่อยากให้เจ้าต้องมาเสียใจภายหลัง!”
ฉินซียังคงไม่ได้พูดอะไรและเพียงแค่จ้องอย่างโกรธๆ ไปที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอ ถึงอย่างนั้นเมื่อเขาได้ยินส่วนหลังในคำพูดของประมุขเต๋าจิ้งเหอ สายตาเขาก็อ่อนลงโดยไม่รู้ตัว เขาหลุบตาลงต่ำแต่สีหน้าเขายังคงแข็งทื่อขณะที่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง หลังจากผ่านไปนาน เสียงที่ค่อนข้างแหบแห้งของเขาก็เล็ดลอดออกมา “หยุดคิดว่าตัวเองถูกได้แล้ว การขยันฝึกตนของข้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้!”
“ไม่เกี่ยว?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเขยิบเข้าไปหาเขาพร้อมรอยยิ้ม “ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้ามีอะไรรบกวนจิตใจอยู่ ต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องเมื่อครั้งก่อนที่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าและสิ่งนั้นทำลายความมั่นใจในตนเองของเจ้า”
ถึงแม้ว่าฉินซียังคงนิ่งเงียบ แต่สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากำหมัดแน่น
หน้าตาท่าทางของเขาตอนนี้ทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอถอยห่างและถอนหายใจแผ่วเบา จากนั้นเขาพูดด้วยเสียงนุ่มนวลที่เขาไม่เคยใช้มาก่อน “ซีเอ๋อร์ เจ้าโทษข้าได้ที่ไม่ได้สอนเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ดี ตั้งแต่เจ้าเป็นเด็ก เจ้าก็มีจิตใจเด็ดเดี่ยว นอกเหนือจากการฝึกตน เจ้าก็แทบไม่เคยคิดถึงอะไรอื่น เจ้ายังอายุน้อยมากแต่เจ้าก็สงบนิ่งราวกับชายแก่ ในตอนนั้นข้าคิดว่าเจ้าเกิดมาเพื่อฝึกตน มีเพียงแค่ตอนนี้ล่ะที่ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเลย”
“เจ้าไม่เคยเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับอะไรเพราะเจ้าไม่เคยสนใจ แต่เมื่อเจ้าสนใจอะไรขึ้นมา นั่นจะเป็นจุดตกต่ำของเจ้า การเดินทางบนเส้นทางการฝึกตนของเจ้ากำลังเป็นไปอย่างราบรื่นเกินไป อย่าถลึงตาใส่ข้า ถึงแม้เจ้าจะผ่านสถานการณ์อันตรายมามากแต่เจ้าไม่เคยเผชิญกับการทดสอบจิตใจ เจ้าไม่เคยลิ้มรสความล้มเหลว”
“ถึงแม้ว่าข้าจะดูแลเจ้ามาตลอดตั้งแต่ยังเล็ก แต่เจ้าก็ไม่เคยชอบที่ต้องพึ่งพาข้า ตลอดหลายปีมานี้ เจ้าฝึกตนจนถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังซึ่งเป็นผลของความพยายามอย่างหนักของเจ้าเองและไม่ได้เป็นเพราะข้า เพราะเหตุนี้เจ้าถึงมั่นใจในตัวเองและภาคภูมิใจมากเสมอ ความภาคภูมิใจของเจ้าทำให้เจ้ามักจะคาดหวังให้ตัวเองประสบความสำเร็จได้ดีที่สุดและไม่เคยปล่อยให้ใครหรืออะไรมามีผลกับเจ้า ทัศนคติเช่นนี้ในอดีตมักทำให้เจ้าประสบความสำเร็จมากกว่าใคร อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่เคยรู้ว่าความภาคภูมิใจที่มากเกินไปจะทำให้เจ้าต้องสูญเสียชีวิต!”
ฉินซีเพียงแค่มองต่ำและไม่ได้พูดอะไร
ท่านอาจารย์ที่ไร้วินัยของเขาคนนี้ไม่เคยพูดยาวขนาดนี้และไม่เคยใช้น้ำเสียงนุ่มนวลและเป็นห่วงขนาดนี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม เขาพูดถูกเผงเกินไป ถูกเสียจนเขาไม่สามารถพูดปฏิเสธอะไรได้เลย
“ซีเอ๋อร์ ถ้าเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เจ้าจะสร้างมารภายในใจด้วยตัวเจ้าเองนะ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดพร้อมกับถอนหายใจยาว
ฉินซีเม้มปาก “ข้าจะจัดการเอง”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่ายหัว “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากพึ่งพาข้า แต่สำหรับบางสิ่ง ตัวข้า ปีศาจแก่ๆ ที่มีชีวิตอยู่มามากกว่าแปดร้อยปีสามารถเห็นอะไรได้ชัดเจนมากกว่าเจ้า ข้าไม่รู้ว่าในใจเจ้าขัดแย้งเกี่ยวกับเรื่องใด แต่ข้ารู้ว่าเด็กสาวคนนั้นเป็นต้นเหตุ เพราะฉะนั้นข้าจึงอยากเตือนเจ้าอย่างจริงจังว่าถ้าเจ้าได้นางมา มารภายในจิตใจของเจ้าจะหายไปเอง”
“นางไม่ใช่สิ่งของ”
น้ำเสียงของฉินซียังคงฟังค่อนข้างดื้อรั้น แต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอแค่หัวเราะเมื่อได้ยิน เสียงหัวเราะของเขาไม่ใช่แบบเกเรหรือเจ้าเล่ห์ แต่มันฟังดูค่อนข้างเหมือนยอมอ่อนข้อให้และตามใจ “ข้าพูดมาตั้งมากแต่เจ้ากลับสนใจอยู่แค่ประเด็นนั้น ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้ามันเกินเยียวยาแล้ว!”
ฉินซีไม่ได้พูดอะไรและก้มหัวลงแต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าให้สะอาด ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็พูดช้าๆ “ที่จริงเด็กสาวคนนั้นก็ดีใช้ได้นะ นางผ่านชีวิตยากลำบากมา ดังนั้นนางจึงเข้าใจถึงการเคารพตัวเองและการพัฒนาตัวเอง ถึงแม้ว่านางยังไม่โตพอ แต่ตราบใดที่นางยังคงควบคุมตัวเองได้ เมื่อเวลาผ่านไปนางจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน อีกอย่างนางก็เหมาะกับเจ้าจริงๆ เจ้าไม่ชอบเอะอะโวยวาย นางก็สงบนิ่งมาก เจ้าชอบฝึกตนอย่างเดียว นางก็มีจิตใจแห่งเต๋าที่หนักแน่นเหมือนกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเจ้าชื่นชมนาง คนอย่างเจ้า… การที่จู่ๆ เจ้าจะตกหลุมรักกับผู้หญิงสักคนทันทีนั้นเป็นไปไม่ได้ เจ้าต้องเริ่มจากความชื่นชม ยิ่งเจ้าชื่นชมใครสักคนมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งใส่ใจนางมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเจ้าใส่ใจมากขึ้น จิตใจของเจ้าก็จะรู้สึกซาบซึ้งได้ง่ายขึ้น เมื่อก่อนเจ้ามักจะดูถูกผู้หญิงเสมอ แต่ตอนนี้เจ้ากลับเน้นย้ำว่านางไม่ใช่สิ่งของ ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้ายอมรับไม่ได้รึว่านางเป็นคนพิเศษในใจของเจ้า?”
เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดจบ ฉินซียังคงเงียบ อย่างไรก็ตาม ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้สึกมีความสุขมาก “มันนานหลายปีมาแล้วตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เห็นเจ้าอึดอัดขนาดนี้ พอเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ อาจารย์ก็รู้สึกถึงความสำเร็จขึ้นมาในทันที!”
คำพูดของเขาทำให้ฉินซีเงยหน้าขึ้นในที่สุด เขาตะโกนอย่างไม่พอใจ “ท่านอาจารย์!”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังสนุกกับตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเมินเฉยต่อสีหน้าของฉินซี “อย่าโกรธเลย เด็กของคนอื่นๆ มักจะมีปัญหาอารมณ์แปรปรวนเมื่อพวกเขาอยู่ในช่วงวัยรุ่นหรือวัยยี่สิบ อย่างไรก็ตาม เจ้าเพิ่งจะมีปัญหาอย่างนั้นเมื่ออายุมากกว่าร้อยปีแล้ว ช่างเป็นสิ่งที่พบเจอได้ยากเสียจริง!”
ความโกรธของฉินซียิ่งพลุ่งพล่านขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่เขากำหมัดแน่นยิ่งขึ้นราวกับเขาต้องการต่อยประมุขเต๋าจิ้งเหอให้ได้ แน่นอนว่าเขาไม่ทำสิ่งเนรคุณอย่างการทุบตีผู้อาวุโสของเขาหรอก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ถือสาอะไรถ้าจะไล่เขาออกไป!