เมื่อสังเกตเห็นว่าฉินซีกลั้นอารมณ์โกรธของเขาเอาไว้ได้อีกไม่นาน ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงรีบหยุดตอนที่เขายังนำอยู่ “เอาล่ะ อย่าเพิ่งคุยเรื่องนั้นกันเลย มาพูดกันถึงความเป็นไปได้ของการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กันอย่างจริงจังดีกว่า ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าฝึกวิชาหยางบริสุทธิ์ที่เจ้าได้มาจากเทพผู้อาวุโสคนนั้นจนถึงระดับสามแล้วใช่ไหม พลังวิญญาณหยางบริสุทธิ์ของเจ้าจะยิ่งงอกงามมากขึ้น ดังนั้นความแตกต่างระหว่างตัวเจ้าและคนที่มีร่างกายพลังหยางบริสุทธิ์ก็จะไม่ต่างกันมากนัก ศาสตร์แห่งสามวงจรเริ่มต้นของเจ้าเข้าถึงระยะหยางขั้นสุดแล้ว ดังนั้นเพื่อจะทำให้พลังวิญญาณทั้งสองเป็นกลาง เจ้าขาดเพียงแค่หยินขั้นสุด ข้าพูดถูกหรือไม่”
หลังจากเขาเห็นฉินซีพยักหน้าด้วยความลังเล ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดต่อ “อย่างแรกมาคุยกันเรื่อง ศาสตร์แห่งสามวงจรเริ่มต้นก่อน วิชาการฝึกตนนี้เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับอดีตอันไกลโพ้น ผู้ฝึกตนสมัยโบราณคิดว่าพลังวิญญาณเริ่มต้นทั้งสามคือต้นกำเนิดโลก ทั้งสามหน่วยคือสิ่งสมบูรณ์และสามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของเต๋าที่ยิ่งใหญ่ ตามสิ่งที่เจ้าพูดถึง วิชาการฝึกตนนี้เหมาะที่สุดในการบรรลุผ่านไปถึงดินแดนถัดไป แต่ข้อกำหนดที่ต้องใช้ฝึกมันนั้นเข้มงวดมาก หากไม่ได้รับพลังวิญญาณเริ่มต้นทั้งสามและหากทั้งสามหน่วยไม่สมบูรณ์ การบรรลุเต๋าที่ยิ่งใหญ่ก็จะเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้เจ้ามีหยางขั้นสุดอยู่แล้วเพื่อทำให้พลังวิญญาณทั้งสองเป็นกลางและต้องการเพียงแค่หยินขั้นสุดเท่านั้น ข้าคิดว่ามันยากจะเชื่อว่าเจ้าไม่รู้ว่าการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนหญิงที่มีร่างกายพลังหยินบริสุทธิ์คือวิธีการที่ง่ายที่สุดและปลอดภัยที่สุดเช่นกันเพื่อให้ได้รับพลังวิญญาณหยินขั้นสุด”
ฉินซียังคงเงียบ แต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ไม่ได้บังคับให้เขาต้องพูด เขาแค่พูดต่อไป “มาคุยกันถึงเรื่องวิชาหยางบริสุทธิ์อีกที ในอดีตตอนที่เจ้าบังเอิญได้รับลูกประคำวิญญาณพลังหยางมา ข้าบอกเจ้าแล้วว่าสมบัติพิเศษเช่นนี้จะทำให้พลังหยางของเจ้าเติบโตและอาจถึงขนาดเปลี่ยนสภาพร่างกายของเจ้า ตอนนี้ที่เจ้าได้รับวิชาหยางบริสุทธิ์มาอีก สิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ในที่สุดก็ได้เข้าใจเสียที สภาพร่างกายของเจ้ากำลังกลายเป็นร่างกายพลังหยางบริสุทธิ์ ดังนั้นหากเจ้าทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับใครสักคนที่มีร่างกายพลังหยินบริสุทธิ์ เจ้าจะได้รับผลประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลแน่นอน!”
พอถึงเวลาที่คำพูดของเขาสิ้นสุดลง ทั้งห้องอยู่ในความเงียบสงัด
ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องมองฉินซี เห็นได้ชัดว่ากำลังรอให้เขาตัดสินใจ แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของฉินซีก็แข็งทื่อและเขาไม่ได้พูดอะไร
หลังจากผ่านไปนาน สุดท้ายฉินซีก็พูดขึ้น “ข้าไม่อยากฝึกตนร่วมสัมพันธ์แค่เพื่อให้ได้ประโยชน์อะไรสักอย่าง แม้แต่เพื่อการฝึกตนของข้าหรือเพื่อหลีกเลี่ยงมารภายในใจ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะ ไม่ประหลาดใจกับคำตอบของเขาสักนิด จากนั้นเขาตบบ่าฉินซี รู้สึกค่อนข้างหมดหนทาง “ไอ้เด็กเหลือขอ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไง ความภาคภูมิใจที่มากเกินไปจะทำให้เจ้าต้องตายแต่เจ้าก็ยัง…”
“แล้วทำไม หวังพึ่งผู้หญิงเพื่อสร้างจิตวิญญาณใหม่ของข้าแล้วมันจะสนุกตรงไหน”
“… เอ๊ย~!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่ายหน้า อย่างไรก็ตาม จู่ๆ เขาถามอีกคำถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ถ้าไม่ใช่เพื่อการฝึกตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงมารภายในใจ แล้วเจ้าไม่ต้องการนางจริงๆ หรือ”
ครั้งนี้แทนที่จะรอคำตอบของฉินซี เขาจัดระเบียบตัวเองให้เรียบร้อยและกลับไปที่ตำหนักซ่างชิงด้วยอารมณ์สดชื่น ดูสดใสและเรียบร้อยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขาที่ดูดีมาตลอดชีวิตจะปล่อยให้ศิษย์ของเขาและศิษย์หลานๆ เห็นรูปลักษณ์ที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกได้อย่างไร โชคดีที่ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้ยังไม่ได้รับศิษย์คนไหนเข้ามาและยังอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอยู่ ณ ตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครอยู่ในบริเวณใกล้เคียงถ้ำเซียนของเขา
เป็นเวลานานหลังจากประมุขเต๋าจิ้งเหอออกไป เสียงพึมพำเบาๆ ดังอยู่ภายในถ้ำเซียน “อย่างน้อย… ไม่จนกว่าข้าจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของข้าได้…”
—
ฉินโส่วจิ้ง!
ไป๋เยี่ยนเฟยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและเสกคาถาด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้าเบื้องหน้าเขาแตกออกด้วยเสียงดังแล้วโค่นลงใส่พุ่มไม้เตี้ยด้านล่าง ตอนนี้พออารมณ์ของเขาดีขึ้นเล็กน้อย ไป๋เยี่ยนเฟยหาที่ว่างและหมอบลงเพื่อนั่งพัก
เขาเป็นคนหยิ่งยโสมาโดยตลอด ท้ายที่สุดแล้วเขาก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลแล้วที่เขาจะมีความหยิ่งผยองมากสักหน่อย
เขาเกิดในครอบครัวราชวงศ์ในโลกมนุษย์ ในฐานะองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหยียน เขามีชีวิตหรูหรามาตั้งแต่เขายังเด็ก เมื่อเขาอายุได้สิบปี อาจารย์เซียนท่านหนึ่งได้มาที่พระราชวัง เขานำวิชาของเซียนติดตัวมาด้วยและใช้กฎที่พิเศษและมีอำนาจหลากหลาย แสดงให้เขาเห็นว่าเซียนมีอยู่จริงในโลกใบนี้
เขารู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงรบเร้าอาจารย์เซียนท่านนั้น ต้องการจะนับถือเขาในฐานะท่านอาจารย์ เมื่อไม่สามารถจูงใจให้เขาเลิกได้และเพราะเขาเป็นองค์รัชทายาท อาจารย์เซียนจึงตรวจสอบรากวิญญาณของเขาอย่างไม่เต็มใจนัก และท่านอาจารย์เซียนก็ต้องแปลกใจที่เขามีรากวิญญาณเดี่ยวที่แทบจะไม่ได้ปรากฏให้เห็นมาในรอบหนึ่งศตวรรษ
ท่านอาจารย์เซียนปลาบปลื้มมากกับเหตุการณ์ที่พลิกผันขึ้นมากะทันหันและรีบรายงานกลับไปที่โรงเรียนของเขาทันที ที่จริงแล้วอาจารย์เซียนท่านนี้เป็นเพียงศิษย์นอกเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเขาและต้องการกลับไปยังโลกมนุษย์เพื่อมีความสุขกับตำแหน่งสูงและความร่ำรวยมหาศาลสักพักหนึ่ง โดยไม่คาดคิด เขากลับได้พบเจออัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยวให้กับโรงเรียน! เพราะเหตุนี้เขาจึงได้รับผลประโยชน์มากมาย เขาได้รับเข้าเป็นศิษย์ทางการและถึงขนาดได้รับมอบยาสร้างฐานแห่งพลังอีกด้วย
หลังจากนั้น ผู้อาวุโสประจำฝ่ายของอาจารย์เซียนท่านนั้นก็ได้มาที่แคว้นเหยียนด้วยตัวเองและพาไป๋เยี่ยนเฟยกลับไปที่เขาไท่คัง หลังจากนั้นเขาถูกบอกให้เคารพประมุขผู้อาวุโสสูงสุดในฐานะท่านอาจารย์ของเขาและนับตั้งแต่บัดนั้นท่านจะสอนให้เป็นการส่วนตัว ตั้งแต่นั้นมา ความรุ่งเรือง ความงดงาม ความร่ำรวย และยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหลายจากโลกมนุษย์ก็ไม่เคยทำให้เขาสนใจอีกเลย เขาละทิ้งตัวตนองค์รัชทายาทของเขา เช่นเดียวกับเมินสายตาอิจฉาของพระบิดาและพระเชษฐาของเขา และกลายมาเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของประมุขผู้อาวุโสสูงสุดแห่งโรงเรียนเสวียนชิง
เมื่อเขายังเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา เขาเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้น เมื่อเขาเป็นผู้ฝึกตน เขาก็เป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยโชคชะตาเช่นนี้ มีเหตุผลอะไรหรือที่เขาจะไม่หยิ่งผยอง
เป็นตามคาด เนื่องจากต้นทุนที่ยอดเยี่ยมของเขา เขาสามารถก้าวหน้าบนเส้นทางการฝึกตนได้อย่างราบรื่น ทำการบรรลุผ่านดินแดน สร้างฐานแห่งพลัง… สิ่งเหล่านี้ยากและอันตรายมากสำหรับคนอื่น แต่เขาสามารถทำมันได้อย่างง่ายดายแทบจะไม่ต้องเปลืองแรง
แต่กระนั้น เขาก็ยังมีช่วงเวลาทุกข์ใจ ตัวอย่างเช่น ทุกครั้งที่ศิษย์ผู้หญิงในโรงเรียนพูดถึงศิษย์ผู้ชาย พวกเขาจะถามก่อนเป็นอย่างแรกเลยว่า “อาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นอย่างไรบ้าง” หรือ “ศิษย์พี่โส่วจิ้งเป็นอย่างไร”
เขาไม่พอใจมาก! ฉินโส่วจิ้งมีอะไรน่าทึ่งนักหรือไง สร้างฐานแห่งพลังของเขาตอนอายุยี่สิบ ก่อขุมพลังของเขาตอนอายุเจ็ดสิบแปด? เป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ? มีหน้าตาท่าทางสง่างาม?
พูดถึงเรื่องหน้าตา เขาเคยเห็นว่าศิษย์พี่โส่วจิ้งคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรและเขาก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ไป๋เยี่ยนเฟยเชื่อว่าตัวเขาก็มีเสน่ห์โดดเด่นเช่นกันและไม่แพ้ฉินโส่วจิ้งเลยแม้แต่นิดเดียว! สำหรับเรื่องสถานะ เขาเป็นศิษย์คนสุดท้ายของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง เพราะงั้นเขาเลยแย่กว่าฉินโส่วจิ้งงั้นหรือ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเป็นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายผู้ยิ่งใหญ่ ระดับการฝึกตนและตัวตนของเขายิ่งสูงกว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอเสียอีก! ยิ่งไปกว่านั้น ว่ากันด้วยเรื่องระดับการฝึกตน ฉินโส่วจิ้งอายุมากกว่าเขาไม่ใช่หรือ? ต้นทุนของฉินโส่วจิ้งไม่มีอะไรนอกจากรากวิญญาณคู่ แย่กว่าของเขาตั้งเยอะ!
สรุปคือฉินโส่วจิ้งก็แค่เกิดมาก่อนข้าประมาณร้อยปี ลองให้เวลาข้าสักร้อยปีดูสิและฉินโส่วจิ้งจะไม่มีค่าพอจะถือรองเท้าให้ข้าด้วยซ้ำ!
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดเล่นๆ ที่ไป๋เยี่ยนเฟยเคยมี ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงฉินโส่วจิ้ง เขาก็แค่รู้สึกไม่มีความสุข แต่ตอนนี้ อย่างไรก็ตาม เขาพลุ่งพล่านไปด้วยความโกรธแค้น คันไม้คันมืออยากจะระเบิดเขาให้แหลกเป็นจุณเหมือนอย่างที่เขาทำกับต้นไม้ต้นนั้น
ที่จริงแล้วเขาไม่ได้หลงใหลศิษย์พี่โม่มากมายนัก ไป๋เยี่ยนเฟยแค่คิดว่า ทำไมชายหนุ่มผู้กล้าหาญที่ยังอายุน้อยและมีอนาคตสดใสผู้ที่มีทั้งความสามารถและหน้าตาดีเช่นเขาถึงไม่มีสาวงามอยู่ข้างกายกันนะ ศิษย์พี่โม่คนนั้นมีสถานะสูงส่งมากพอ ระดับการฝึกตนของนางก็ค่อนข้างดี หน้าตาของนางก็ยอดเยี่ยม อายุของนางก็ยังใกล้เคียงกับเขา และที่สำคัญที่สุด นางยังนิสัยที่อ่อนโยน ไม่น่าเบื่อเท่าศิษย์พี่อู๋แห่งยอดเขาวิหคอัคคีเขียว และนางก็ไม่ดื้อรั้นเท่าศิษย์น้องเจียงแห่งยอดเขาล่องเมฆา ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการรับมือกับสิ่งต่างๆ ของนางก็ไม่แย่ ดังนั้นนางจึงไม่น่าจะมีปัญหาแน่นอนในการเป็นภรรยาที่ดีและดูแลเอาใจใส่สามีของนาง
อย่างไรก็ตาม ใครจะไปคิดว่าหลังจากพยายามอย่างหนักและในที่สุดก็หาใครสักคนที่ตรงกับความต้องการของเขา ฉินโส่วจิ้งจะเข้ามาสอดและกลายเป็นอุปสรรคของเขา! ?
ฉินโส่วจิ้งคือใคร ฉินโส่วจิ้งก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่อาจเทียบได้กับเขา! ระดับการฝึกตนของฉินโส่วจิ้งสูงกว่าเขาก็จริง แต่มันก็แค่เพราะฉินโส่วจิ้งได้เปรียบเกิดมาก่อนเขาประมาณร้อยปีก็เท่านั้น!
ไม่ได้การล่ะ! เขาต้องไม่พ่ายแพ้เพราะฉินโส่วจิ้ง! ศิษย์พี่โม่คือคนที่เขาเลือกให้มาเป็นคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์ของเขา เขาจะปล่อยให้ฉินโส่วจิ้งมาฉกฉวยนางไปได้อย่างไรกัน? หน้าไม่อาย!
ในเมื่อเขาวางแผนจีบศิษย์พี่โม่มาตั้งนาน เขาก็ต้องได้นางมาอย่างแน่นอนและให้ฉินโส่วจิ้งได้รู้ไว้ว่าเขา ไป๋เยี่ยนเฟย คือชายหนุ่มที่เก่งกาจที่สุดในโรงเรียน!
ด้วยความคิดเช่นนี้ในจิตใจ ไป๋เยี่ยนเฟยผู้ที่กำลังนั่งอยู่บนตอไม้เริ่มหัวเราะอย่างร้ายกาจ