เพราะเหตุนั้น โม่เทียนเกอตระหนักว่าหลังจากนางร้องเรียนเช่นนั้นไปกับประมุขเต๋าจิ้งเหอ นางไม่รู้เลยว่าท่านอาจารย์ผู้มีเกียรติของนางไปทำอะไรไว้ ไม่เพียงแต่ศิษย์น้องไป๋จะไม่หยุด แต่การไล่ตามของเขายิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิมด้วย
เมื่อนางฝึกตนทุกวัน นางมักจะได้รับเครื่องรางเรียกขาน ใจความก็ไม่มากไม่น้อยไปกว่า “ศิษย์พี่ อากาศวันนี้ช่างยอดเยี่ยม เราน่าจะออกมาเจอกันสักหน่อย” และอื่นๆ อีกมากมาย ทุกครั้งที่นางออกไปข้างนอก ศิษย์น้องไป๋จะโผล่มาอยู่ข้างหน้านางทันที สุดท้าย แม้แต่เยี่ยเจินจีก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เขาบอกว่าอาจารย์ลุงไป๋มักจะพยายามประจบประแจงเขา ทำให้กลัวถึงขนาดเขาต้องหนีทุกครั้งที่เขาเจออาจารย์ลุงไป๋
โม่เทียนเกอที่โมโหจัดรีบเร่งเข้าไปที่โถงหลักของประมุขเต๋าจิ้งเหอและตะโกนด้วยเสียงดัง “ท่านอาจารย์!”
ความตกใจจากการปรากฏตัวกะทันหันของนางทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอสะดุ้งถึงขั้นโยนองุ่นสองลูกในมือเขาทิ้ง เมื่อเขาหายจากการตกใจ เขาถลึงตาอย่างโกรธๆ ใส่นาง “มีอะไร!? เจ้าตะโกนโวยวายโดยไม่นึกถึงความเหมาะสมเสียเลย!”
โม่เทียนเกอรู้มานานแล้วว่าอาจารย์ของนางที่จริงเป็นอย่างไร ดังนั้นนางจึงไม่กลัวเขา ไม่เพียงแต่นางจะไม่ใส่ใจกับความโกรธของเขาแต่นางยังบ่นอีก “ท่านจัดการกับเรื่องนั้นอย่างไร ตอนนี้ศิษย์น้องไป๋ผู้นั้นยิ่งเกาะติดข้าแน่นยิ่งกว่าเดิม เขาทำให้ข้ารำคาญแทบตาย!”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอแปลกใจ “เขาทำอะไร”
“เขาส่งเครื่องรางเรียกขานมาหาข้าทุกวัน เขาถึงขนาดเข้าหาเยี่ยเจินจีและสอพลอเขา เขาทำให้เยี่ยเจินจีกลัวแทบบ้า!”
“โอ้…” ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลืนองุ่นที่เขาเคี้ยวอยู่ในปากแล้วจึงพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ไอ้เด็กนั่นถือว่าค่อนข้างฉลาด เขาเข้าใจว่าเขาควรจะประจบประแจงคนรอบๆ ตัวเจ้า”
“ท่านอาจารย์!” พอเห็นการตอบสนองของเขา โม่เทียนเกอยิ่งรู้สึกรำคาญใจมากขึ้น “ท่านอยู่ข้างใครกันแน่”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอรีบแก้ตัว “ข้าหมายความว่าเขาโง่เกินไป! เขารบกวนคนรอบๆ ตัวเจ้า! ใช่ ครั้งนี้เขาทำให้เจ้าโกรธ มีอะไรอีกไหม”
“นั่นไม่ใช่ประเด็น เข้าใจไหม!?” โม่เทียนเกอนวดหน้าผากนาง ใครเป็นอาจารย์และใครเป็นศิษย์กันแน่นะตรงนี้ ทำไมเรื่องไร้สาระที่อาจารย์คนนี้พ่นออกมาถึงทำให้นางโกรธเกือบตายเสมอเลย
“ถ้าอย่างนั้นแล้วประเด็นคืออะไร?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอถามด้วยความงุนงงโดยสิ้นเชิง
“ประเด็นก็คือ ท่านจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรเมื่อคราวก่อน?”
ในเมื่อพวกเขาคุยกันถึงเรื่องนี้ ในที่สุดประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงพูดว่า “ข้าพูด… เจ้าเด็กคนนี้นี่! อาจารย์ทะเลาะกับตาเฒ่าเจิ้นหยางเพื่อเจ้า ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่ซาบซึ้งแม้แต่นิดเดียว แต่เจ้ายังพูดกับข้าแบบนี้อีกรึ”
“ทะเลาะ?” โม่เทียนเกองุนงง “ท่านอาจารย์ ท่านทะเลาะกับอาจารย์ลุงเจิ้นหยางทำไม”
“เพราะตาเฒ่านั่นมันดูถูกเจ้า!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดเข้าข้างตัวเอง “เจ้าเป็นศิษย์ของข้า ดังนั้นการดูถูกเจ้าก็เหมือนกับดูถูกข้า ถ้าข้าไม่สู้กับเขาแล้วข้าควรจะไปสู้กับใครเล่า”
“…” โม่เทียนเกอรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องพูดอีก นางควรจะรู้อยู่แล้วว่าปัญหาที่ถึงมืออาจารย์ของนางท่านนี้สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นการต่อสู้อยู่ดี! งั้นพวกเขาก็สู้กันเรียบร้อยและบาดหมางกัน ไม่น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายถึงไม่ฟังสิ่งที่เขาพูด!
“ทำไมเจ้ามองข้าอย่างนั้น” ประมุขเต๋าจิ้งเหอผู้ที่เพิ่งกลายเป็นเป้าสายตาที่แสนโหดเ**้ยมของโม่เทียนเกอรู้สึกไม่พอใจ “เจ้าเด็กคนนี้! ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจว่าอาจารย์ต้องได้รับความเคารพจากศิษย์”
โม่เทียนเกอเมินคำพูดเขา นางเพียงแค่ลูบอก ฝืนตัวเองให้ยับยั้งอารมณ์โกรธไว้ ไม่นานหลังจากนั้นนางก็พูดอย่างนิ่งๆ “เอาล่ะ ท่านอาจารย์ เชิญท่านทานองุ่นต่อไป เชิญโอ้อวดต่อไปเถิด ข้า… จะไปจัดการเรื่องนี้เอง!”
นางหันกลับและเดินออกจากโถงหลักพร้อมกับเสียงตะโกนอย่างดังของประมุขเต๋าจิ้งเหอไล่หลังนาง “ไอ้เด็กคนนี้! เจ้าพูดกับอาจารย์ของเจ้าเช่นนั้นได้อย่างไร!? เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าโอ้อวด!? อย่าเพิ่งไป—”
ขณะที่โม่เทียนเกอออกจากตำหนักซ่างชิง นางได้ส่งเครื่องรางเรียกขานออกไป
เหตุผลที่นางไม่อยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองจนถึงตอนนี้ก็เพราะนางต้องการอยู่เงียบๆ ไม่โดดเด่นและไม่ต้องการก่อปัญหาเพิ่ม แต่ตอนนี้ เห็นได้ชัดแล้วว่านางไม่สามารถหวังพึ่งพาคนอื่นได้ ดังนั้นนางควรจะจัดการกับปัญหาด้วยมือของนางเองเสียเลย อีกอย่าง ถ้านางทำให้ศิษย์น้องไป๋ไม่พอใจแล้วจะทำไม อย่างมากที่สุดผลที่ตามมาก็เป็นการทำให้อาจารย์ลุงเจิ้นหยางขุ่นเคืองใจ แต่ท่านอาจารย์ของนางก็มีเรื่องมีราวกับเขาไปแล้วอยู่ดี
หลังจากรออยู่ด้านนอกตำหนักซ่างชิงมาครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็ได้ยินเสียงร่าเริง “ศิษย์พี่โม่!”
เมื่อนางเห็นเขา สิ่งเดียวที่แล่นเข้ามาในจิตใจโม่เทียนเกอก็คือศิษย์น้องไป๋มาได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร
“ศิษย์น้องไป๋” นางฝืนยิ้มด้วยความพยายามอย่างมาก
ไป๋เยี่ยนเฟยมีรอยยิ้มกว้างและสายตาสดใสอยู่บนใบหน้า ตั้งแต่เขาตัดสินใจไล่ตามศิษย์พี่โม่ เขาก็ถามศิษย์พี่ผู้ชายและผู้หญิงหลายคนที่เคยทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์เพื่อขอคำแนะนำ อย่างไรก็ตาม แต่ละคนก็มีความคิดเห็นของตัวเองและไม่มีความคิดเห็นที่เหมือนกัน ท้ายที่สุดก็มีเพียงสิ่งเดียวที่ทุกคนเห็นตรงกัน นั่นคือผู้หญิงที่ดีจะถูกชนะใจได้โดยคนตามที่ตื๊ออย่างไม่ลดละ ถ้าเป็นวิธีการอย่างอื่น ไป๋เยี่ยนเฟยไม่แน่ใจนักว่าเขาจะทำได้ แต่อย่างไรก็ตาม วิธีนี้นั้นง่ายดาย เขาแค่จำเป็นต้องเกาะติดนาง
ด้วยเหตุนั้นเขาส่งเครื่องรางเรียกขานให้นางทุกวันและแอบถามเกี่ยวกับความเป็นไปของนาง สุดท้าย ใครบางคนแนะนำว่าเขาควรเข้าทางหลานชายตัวน้อยของศิษย์พี่โม่ เขาคิดว่าในเมื่อศิษย์พี่โม่มีแต่เขาเป็นญาติ นางจะต้องเอาใจใส่เขาอย่างมากแน่ การประจบประแจงเขาไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน แน่ล่ะ ในที่สุดศิษย์พี่โม่ก็ตอบเครื่องรางเรียกขานของเขา นางยินดีจะพบเขาแล้ว!
“ศิษย์พี่โม่” ไป๋เยี่ยนเฟยพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข “ข้ารอมานาน ในที่สุดท่านก็มีเวลาว่างเสียที”
โม่เทียนเกอยังคงสีหน้าปกติของนางและมองไปรอบๆ “ศิษย์น้องไป๋ ข้ามีบางสิ่งที่อยากจะพูดกับเจ้า มากับข้าก่อนสิ”
ไป๋เยี่ยนเฟยรีบพยักหน้า แถวนั้นมีคนอยู่มาก คงจะแย่แน่ถ้าคนอื่นแอบได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน!
มันคงจะแย่จริงๆ ถ้าคนอื่นได้ยินพวกเขา ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะเตรียมใจมาเผื่อว่าต้องทำให้เขาไม่พอใจอยู่แล้ว แต่นางก็ไม่มีเจตนาจะทำให้เขาต้องอับอาย ถ้านางทำเช่นนั้น นางจะสร้างศัตรูให้ตัวเองโดยไม่มีเหตุผล
หลังจากท่องไปทั่วท้องฟ้าอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็เจอยอดเขาร้างไร้ผู้คนอย่างสิ้นเชิง โม่เทียนเกอนำหน้าไปและเริ่มร่อนลง
“ศิษย์พี่โม่ นี่…”
เดิมทีไป๋เยี่ยนเฟยคิดว่าพวกเขาจะหาสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงามซึ่งพวกเขาสามารถคุยกันได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม โดยไม่คาดคิด สถานที่ที่นางเลือกกลับเป็นแค่ยอดเขาร้างแห้งแล้งที่ไม่มีแม้แต่ที่ให้นั่งได้ ถึงอย่างนั้น ดวงตาของเขาก็เหลือบมองไปทั่วทันที ไม่มีใครอยู่ที่นี่ หรือว่านางอยากจะ…
ก่อนที่เขาจะคิดเสร็จ เขาได้ยินเสียงโม่เทียนเกอ “ศิษย์น้องไป๋ มีบางอย่างที่ข้าต้องจัดการให้ชัดเจนกับเจ้า”
เมื่อถูกดึงกลับมาจากฝันกลางวัน ไป๋เยี่ยนเฟยลูบจมูกและตอบในท่าทีสุภาพ “ศิษย์พี่ เชิญพูดเถิด”
โม่เทียนเกอชำเลืองมองเขา จ้องมองไปที่เส้นขอบฟ้าและพูดอย่างเรียบเฉย “หัวใจข้าเข้าใจได้ดีถึงความรักลึกซึ้งที่ศิษย์น้องไป๋มีให้ข้า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้าเข้าสู่เส้นทางสู่ความเป็นเซียน ข้าต้องการจะจดจ่อกับหลักเต๋าให้เต็มที่และไม่มีความตั้งใจจะข้องเกี่ยวกับเรื่องความรัก ดังนั้นข้าคงมีแต่จะทำให้เจ้าผิดหวัง… ด้วยความสามารถของศิษย์น้อง ข้าเชื่อว่าอนาคตของเจ้าจะสดใส เมื่อใดที่เจ้าบรรลุถึงเต๋าอันยิ่งใหญ่ เจ้าจะต้องมีสาวงามมาอยู่ข้างกายอย่างแน่นอน ทำไมเจ้าถึงต้องฝืนตัวเองเพื่อยอมรับหญิงธรรมดาอย่างข้าด้วย ข้าหวังว่าศิษย์น้องจะหยุดรบกวนข้าในอนาคต ข้าไม่เหมือนกับศิษย์น้องที่มีความสามารถโดดเด่น ถ้าหัวใจแห่งเต๋าของข้าไม่มั่นคง ข้าเกรงว่าสิ่งที่รอข้าอยู่คือความล้มเหลว”
เมื่อนางพูดจบ โม่เทียนเกอเหลือบมองไป๋เยี่ยนเฟยอีกที พอเห็นว่าเขาดูงุนงงจนทำอะไรไม่ถูก นางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ศิษย์น้องไป๋?”
“หา?” ไป๋เยี่ยนเฟยตกใจและได้สติกลับมา
“ศิษย์น้องได้ยินที่ข้าเพิ่งพูดไปหรือไม่?”
ไป๋เยี่ยนเฟยกุมหัวเขาด้วยทั้งสองมือ เขาดูเหมือนยังไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของนาง
“ข้าพูดสิ่งที่ต้องการพูดไปแล้ว ดังนั้นข้าขอตัวก่อน”
ทันทีหลังจากที่นางหันกลับและกำลังจะหนีไป จู่ๆ ไป๋เยี่ยนเฟยก็เรียกออกมาอย่างดังข้างหลังนาง “ศิษย์พี่โม่!”
โดยไม่มีทางเลือกอื่น โม่เทียนเกอทำได้เพียงหยุดและหันกลับมาอีกครั้ง “ศิษย์น้องไป๋มีอะไรจะพูดหรือเปล่า”
หลังจากงุนงงอยู่ชั่วขณะ เขาพูดขึ้น “ศิษย์พี่ ท่านกำลังปฏิเสธข้าหรือ?”
โม่เทียนเกอว่าจะไม่พูดเช่นนั้นออกมาทื่อๆ ดังนั้นนางจึงแค่ยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่คู่ควรกับศิษย์น้องไป๋หรอก”
“แต่ข้าไม่ถือ!” ไป๋เยี่ยนเฟยตะโกน “ข้ารู้ว่าศิษย์พี่โม่ไม่ได้สวยจนไม่มีใครเทียบได้และมีต้นทุนแค่กลางๆ แต่ข้าคิดว่าท่านค่อนข้างเหมาะ ข้าจึงไม่เคยสนใจเรื่องพวกนั้น”
“…” อย่าบอกนะว่าเขายังไม่เข้าใจจริงๆ ว่าข้าแค่ทำไปตามมารยาท
“แต่ข้าถือ” การปฏิเสธใครสักคนที่นางไม่ชอบ เพียงเพื่อให้คนคนนั้นพูดอย่างหยาบคายกลับมาว่า “ข้าไม่ถือที่ท่านไม่คู่ควรกับข้า” ย่อมทำให้นางรู้สึกโกรธเป็นธรรมดา ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้น นางกล่าว “ข้าถือจริงๆ! “
ไป๋เยี่ยนเฟยมีสีหน้าไร้เดียงสา เขายังคงไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าทำไมนางถึงโกรธ “ข้าไม่ได้ไม่ชอบท่าน แล้วท่านถือเรื่องอะไร”
“ข้า…” โม่เทียนเกอพยายามอย่างหนักที่จะยั้งตัวเอง แต่ท้ายที่สุดนางก็ล้มเหลว “ศิษย์น้องไป๋ ต่อให้ระดับการฝึกตนของเจ้าสูงที่สุดในโลกนี้ ต่อให้เจ้าดูหล่อเหลาจนหาที่เปรียบไม่ได้ มันก็จะต้องยังมีคนที่ไม่ชอบเจ้าอยู่ดี”
“แต่ข้าไม่เคยคาดหวังให้ทุกคนต้องชอบข้า…”
“ข้าเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นที่ไม่ชอบเจ้า” โม่เทียนเกอตัดบทเขาและพูดอย่างขวานผ่าซาก คนบางคนไม่อาจเข้าใจอะไรได้เมื่อพูดอย่างสุภาพ ดังนั้นครั้งนี้นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา
“หา?” ตอนนี้ที่นางพูดตรงๆ ไป๋เยี่ยนเฟยเงียบไปในที่สุด
พอเห็นใบหน้าของไป๋เยี่ยนเฟยเปลี่ยนจากเขียวซีดเหมือนป่วยไปเป็นซีดขาว โม่เทียนเกอก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลดน้ำเสียงให้อ่อนลงเพราะนางไม่อยากจะมีเรื่องมีราวกับเขา “ศิษย์น้องไป๋ ข้ากำลังจดจ่ออยู่กับหลักแห่งเต๋าอย่างเต็มที่ ดังนั้นข้าจึงไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องความรัก เจ้าดีมาก เจ้ามีลักษณะทุกอย่างที่ผู้หญิงชอบตัวในผู้ชาย แต่ข้าไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องเช่นนี้ เพราะฉะนั้น… ข้าหวังว่าเรื่องจะจบลงที่นี่”
ทันทีที่นางหันเพื่อจะเดินจากไป เสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง “ศิษย์พี่โม่!”
โม่เทียนเกอทำตัวไม่ถูก “มีอะไรอีกหรือศิษย์น้องไป๋”
ไป๋เยี่ยนเฟยอ้าปากแต่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ หลังจากพักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็พูดว่า “เป็นเพราะฉินโส่วจิ้งหรือ ท่านปฏิเสธข้าเพราะฉินโส่วจิ้งใช่ไหม”
โม่เทียนเกอพูดอย่างไร้สีหน้า “ใครพูดเช่นนั้น”
“อาจารย์ลุงจิ้งเหอบอกว่าฉินโส่วจิ้งพาท่านกลับมาเพราะเขาต้องการท่านเพื่อตัวเขาเอง!”
โม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของนางเผยให้เห็นความรู้สึก หลังจากครู่หนึ่งนางจึงพูดว่า “เจ้าคงเข้าใจผิด ใช่ไหม”
“ข้าไม่ได้เข้าใจอะไรผิด นั่นคือสิ่งที่อาจารย์ลุงจิ้งเหอพูด” ไป๋เยี่ยนเฟยเยาะเย้ย “มีอะไรน่าทึ่งเกี่ยวกับฉินโส่วจิ้ง ข้าจะแย่กว่าเขาได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนหรือสถานะ ตรงไหนของเขาหรือที่ดีกว่าของข้า เขาแค่เกิดมาก่อนข้าร้อยปีก็เท่านั้น ลองให้เวลาข้าสักร้อยปีดูสิและข้าจะเหยียบย่ำเขาจมตีนแน่นอน!”
โม่เทียนเกอเยาะเย้ยกลับ “ศิษย์น้องไป๋ เจ้าไม่รู้หรือว่าตอนนี้เจ้ายืนอยู่ในสถานที่แบบไหน? ข้าไม่สนว่าเจ้าจะทำตัวอย่างไรในยอดเขาอาทิตย์รุ่งอรุณ แต่ที่นี่คือยอดเขาวสันต์กระจ่าง มันไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาแสดงอารมณ์แบบคุณชายผู้ร่ำรวยได้!”
เมื่อได้ยินการต่อว่าตรงๆ ไป๋เยี่ยนเฟยค่อนข้างตกใจ “ศิ-ศิษย์พี่โม่…”
โม่เทียนเกอยังคงพูดเยาะเย้ยต่อ “พูดจาดูถูกศิษย์พี่ต่อหน้าข้าในยอดเขาวสันต์กระจ่าง… ศิษย์น้องไป๋ อาจารย์ลุงเจิ้นหยางไม่สอนมารยาทอะไรให้เจ้าเลยหรือ”