บทที่ 633 หายไป

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันอึ้งไปเล็กน้อย “ไม่เพคะ” สิ้นเสียง ฉับพลันนางก็นึกได้ทันที ตามปกติแล้วองค์หญิงเก้าน่าจะถึงบ้านนานแล้วมิใช่หรือ ทำไมถึงยังไม่มีใครกลับมารายงานเล่า? 

 

 

นางจึงรีบเอ่ยปากถามหลี่เย่ว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ? เกิดเรื่องอะไรกับองค์หญิงเก้าหรือเพคะ?” สีหน้าของหลี่เย่ไม่น่ามองถึงเพียงนี้ อดทำให้นางคิดมากไม่ได้ แต่ในใจย่อมไม่คาดหวังให้เกิดเรื่องอะไรกับองค์หญิงเก้าแม้แต่น้อย ดังนั้นคำถามนี้จึงแฝงไว้ด้วยความหวาดหวั่น 

 

 

หลี่เย่สูดหายใจเข้าลึก ท่าทีเคร่งขรึมเอ่ยปาดพูดออกมาประโยคหนึ่ง “ระหว่างทางที่เจ้าเก้าออกจากวังหลวงกลับบ้าน ก็หายไปทั้งคนทั้งรถม้า! ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่คนที่ตามไปด้วยก็หายไปเช่นเดียวกัน!” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็แทบหัวใจหยุดเต้น ถามอย่างตกใจ “จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ?” ในใจนั้นเหมือนกับถังน้ำถูกพลิกคว่ำมีทั้งความกังวลและหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

อีกทั้งไม่ต้องพูดถึงองครักษ์และบ่าวข้างกายองค์หญิงเก้า แล้วยังมีนางกำนัลที่นางส่งไป พูดแค่เพียงว่ารถม้าขององค์หญิงเก้านั้นมีตราประทับของราชวงศ์ มองแค่เพียงปราดเดียวก็รู้แล้ว ภายในเมืองหลวงต่อให้มีคนไม่มีตาก็ไม่อาจไปแตะต้ององค์หญิงเก้าเป็นแน่ 

 

 

หากไม่ได้ถูกคนลักพาตัวไป แล้วคนทั้งคนจะหายไปเช่นนี้ได้อย่างไร? 

 

 

แต่หากถูกคนลักพาตัวไป คำอธิบายนี้ก็ไม่ถูกต้อง อีกทั้งยังมีคนเต็มท้องถนน นางไม่เชื่อว่าไม่มีใครเห็น! แต่หลี่เย่กลับพูดว่าองค์หญิงเก้าหายไป 

 

 

ซึ่งหมายความว่าตอนนั้นไม่มีใครตกใจเลยแม้แต่น้อย 

 

 

หลี่เย่เม้มปาก ไม่ตอบอะไร 

 

 

ถาวจวินหลันถามด้วยท่าทางไม่สู้ดี “เพราะระหว่างทางเจอโจรลักพาตัว หรือเกิดมีธุระกะทันหันต้องไปที่อื่นกันแน่เพคะ? ได้สืบชัดเจนหรือยังเพคะ?” 

 

 

หลี่เย่เพียงแค่ส่ายหน้า ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงหัวเราะขมขื่นออกมา “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่ร้อนใจเช่นนี้แล้ว” 

 

 

“องค์หญิงเก้าล้อเล่นหรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันลองตั้งข้อสงสัย แต่ก็เพียงเสียงแผ่วเบา ในใจนั้นไม่เชื่อแม้แต่น้อย แม้แต่ตนเองยังกล่อมให้เชื่อไม่ได้ ย่อมไม่ต้องพูดถึงหลี่เย่ 

 

 

หลี่เย่ถอนหายใจ พูดเกลี้ยกล่อม “เจ้าอย่ากังวลนักเลย ไม่ว่าอย่างไรก็อยู่ในเมือง ตอนนี้ข้าสั่งให้ปิดประตูเมืองแล้ว ค่อยๆ หาก็พบ” 

 

 

หลี่เย่พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเรื่องราวไม่เหลือที่ให้เปลี่ยนแปลงแล้ว เป็นเรื่องจริงเสียยิ่งกว่าจริง ถาวจวินหลันรู้สึกว่าในหัวส่งเสียงร้อง สับสนวุ่นวาย ความคิดต่างๆ ลอยขึ้นมา องค์หญิงเก้ากำลังตั้งครรภ์ แค่มองก็รู้ว่าท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว หายไปตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องประสบพบเรื่องอะไร หากตกใจจนคลอดก่อนกำหนดก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าบังเอิญพบเรื่องอันตรายอะไรยิ่งไม่ต้องพูดถึง แล้วยังถาวจิ้งผิงอีก ไม่รู้ว่าเขากังวลมากเพียงใด 

 

 

ถาวจวินหลันมือสั่นจับมือของหลี่เย่เอาไว้ พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านจะต้องตามหาองค์หญิงเก้าโดยเร็วนะเพคะ! นางตั้งครรภ์…” 

 

 

หลี่เย่พยักหน้าจริงจัง “ข้ารู้แล้ว เจ้าอย่ากังวลไป” ในใจนั้นกลับนึกเสียใจเล็กน้อย ถ้ารู้จะเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรเล่าเรื่องนี้ให้ถาวจวินหลันฟัง แม้จะปิดบังไม่ได้ แต่ปิดไปก่อนชั่วครู่ก็คงให้นางกังวลใจน้อยลง 

 

 

“หากหาไม่เจอจริงๆ ก็ตามหาทีละครัวเรือนเถิดเพคะ” ถาวจวินหลันสูดหายใจเข้าลึก ข่มให้ตนเองใจเย็นลง จากนั้นก็ฝืนยิ้มให้หลี่เย่ที่มองมาด้วยสายตาเป็นห่วง แสดงว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไร 

 

 

“แม้จะบอกว่าเมืองหลวงใหญ่ แต่หากส่งคนไปตามหาตามครัวเรือนก็ต้องพบเป็นแน่เพคะ คนทั้งคนไม่อาจซ่อนมิดเป็นแน่” 

 

 

หลี่เย่พยักหน้า “หากวันนี้หาไม่พบก็ต้องใช้วิธีนี้แล้ว” 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า ในใจหนักอึ้งคล้ายมีก้อนหินยักษ์ทับ ค้นหาตามบ้าน นี่เป็นวิธีโง่เง่าและวุ่นวายมากที่สุด แต่ตอนนี้ดูแล้วถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด อย่างไรในสถานการณ์ที่ยังไม่มีหลักฐานอะไร จะหาก็ยังไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากที่ไหน ก็ใช้ได้เพียงวิธีนี้เท่านั้น  

 

 

ตอนนี้นางทำได้แค่รอเท่านั้น แต่การรอกลับเป็นสิ่งที่ทรมานมากที่สุด 

 

 

นอกจากความกังวลแล้ว นางก็ยังรู้สึกผิดในใจ “หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าควรรั้งนางไว้ ไม่ควรให้นางรีบกลับไปเลยเพคะ แม้จะบอกว่าในวังหลวงอันตราย แต่ถ้าป้องกันให้ดีก็ไม่ต้องกลัว…” 

 

 

ได้ยินนางพูดเช่นนี้ หลี่เย่ก็ทำได้แค่ปลอบเสียงเบาเท่านั้น “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าจะคาดการณ์เรื่องนี้ได้อย่างไร อีกทั้งเจ้าก็หวังดีกับนาง เจ้าอย่าคิดเช่นนี้ โทษตนเองไปก็ไร้ประโยชน์” 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า ค่อยๆ สงบใจลง บีบบังคับให้ตนเองค่อยๆ วิเคราะห์เรื่องในวันนี้ 

 

 

“ท่านว่าเรื่องนี้วางแผนมานานแล้วหรือยังเพคะ?” ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่แล้วถึงเอ่ยปากถาม นี่เป็นไปได้มากที่สุดเท่าที่นางคิดออก ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นภายในเมืองหลวงจะมีคนหายไปทั้งรถม้าอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างนั้นหรือ? แล้วยังไม่ทำให้คนอื่นแตกตื่นอีกอย่างนั้นหรือ? 

 

 

หลี่เย่พยักหน้า พูดเสียงขรึม “ข้าก็คาดเดาเช่นนั้น” 

 

 

“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่ต้องกังวลมากเพคะ” ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ “หากเป็นเช่นนั้นจริง ฝ่ายตรงข้ามย่อมต้องมีจุดประสงค์ ไม่อาจทำร้ายองค์หญิงเก้าได้โดยง่ายเป็นแน่ และยิ่งไม่อาจปล่อยให้องค์หญิงเก้าเป็นอะไรไป” 

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง นางพลันก็นึกเรื่องหนึ่งได้ รีบจับแขนหลี่เย่พูดว่า “ท่านให้คนสืบหาอย่างระวัง อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้ฝ่ายตรงข้ามดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์! ไม่ หาไม่ได้!”  

 

 

“นี่เป็นวิธีที่ถึงคราวจวนตัวแล้วจริงๆ” หลี่เย่เห็นถาวจวินหลันมีท่าทีตื่นตระหนก ก็ตบหลังมือของนางเบาๆ เพื่อปลอบโยน “เจ้าอย่าห่วงเลย ข้ารู้ดี ต้องหาพบแน่นอน แล้วยังต้องตามหาอย่างเอิกเกริกด้วย ยิ่งพวกเราให้ความสำคัญกับเจ้าเก้า เช่นนั้นยิ่งต้องทำให้อีกฝ่ายรู้ถึงความสำคัญของเจ้าเก้า ฝ่ายนั้นต้องให้ความสำคัญกับเจ้าเก้ามากขึ้นเป็นแน่ นี่ยังทำให้เจ้าเก้าได้รับการดูแลดีขึ้นอีกด้วย” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินหลี่เย่พูดเช่นนี้ก็เข้าใจว่านี่เป็นเรื่องถูกต้อง จึงพยักหน้ารับ “เพคะ” 

 

 

ตอนนี้นางตื่นตระหนก จึงไม่อาจคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ได้ อีกทั้งนางยังอยู่ในส่วนลึกของวัง ไม่มีทางช่วยเหลือได้ เรื่องนี้ทำได้แค่พึ่งหลี่เย่เท่านั้น 

 

 

คิดไปมาถาวจวินหลันก็พูดเร่งหลี่เย่ “ท่านรีบไปหาองค์หญิงเก้าเถิดเพคะ หากพบจิ้งผิง ท่านช่วยกล่อมเขาแทนข้าที อย่าให้เขาร้อนใจไป” 

 

 

แต่พูดออกไปแล้ว ถาวจวินหลันยังคิดว่าเป็นไปไม่ได้ นั่นเป็นภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ของถาวจิ้งผิง แม้ว่าทั้งคู่มักจะทะเลาะกัน ขัดแย้งกันอยู่บ้าง แต่เขาจะไม่ร้อนใจหรือเก็บเอาไปคิดได้อย่างไร? 

 

 

เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คนที่ร้อนใจมากที่สุด เป็นกังวลมากที่สุดก็คือถาวจิ้งผิง 

 

 

จากนั้นถาวจวินหลันก็คิดถึงถาวซินหลันขึ้นมา “ให้ตระกูลเฉินปิดเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี ห้ามให้คนไปรายงานซินหลัน ตอนนี้นางตั้งครรภ์ ให้หวาดกลัวไม่ได้ ไม่ดีต่อเด็ก” 

 

 

ถาวซินหลันเป็นคนอารมณ์ร้อน รู้เรื่องนี้จะต้องหงุดหงิดมาก ฉะนั้นย่อมไม่อาจให้นางรู้ได้ 

 

 

หลี่เย่เห็นถาวจวินหลันค่อยๆ ใจเย็นลง ก็ถอนหายใจเบาๆ เริ่มวางใจลุกขึ้นไปข้างนอก “หากดึกแล้วข้ายังไม่กลับมา เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วง เข้านอนให้เร็ว ไม่ว่าอย่างไรช่วงนี้เจ้าเก้าคงไม่น่าเป็นอะไร ที่ข้ากังวลมากกว่าคือแผนการหลังจากนี้” 

 

 

กล้าวางแผนลงมือกับองค์หญิง และยังเป็นองค์หญิงเก้าที่เกี่ยวดองกับตระกูลถาว หลี่เย่แทบไม่ต้องคิดก็เดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้ ไม่ว่าอย่างไรหากฝ่ายตรงข้ามเสนอข้อต่อรอง เช่นนั้นก็ต้องพุ่งเป้ามาที่ถาวจิ้งผิงหรือไม่ก็ถาวจวินหลัน 

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งไป จากนั้นก็เข้าใจความหมายของหลี่เย่ พูดยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไรเพคะ หากพุ่งเป้ามาทางข้าก็ดี ข้าไม่มีทางปิดบังท่าน ถึงเวลานั้นจะต้องแจ้งท่านก่อนเป็นแน่เพคะ ท่านวางใจเถิด ข้ารู้ดี ไม่มีทางทำเสียแผนแน่นอนเพคะ” 

 

 

หลี่เย่มองนางนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ แล้วถึงพยักหน้าตอบรับ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อถาวจวินหลัน แต่เขากลัวว่าพอถึงเวลาถาวจวินหลันถูกข่มขู่จริง เขาจะไม่ทันสนใจเรื่องเหล่านี้ 

 

 

จากนิสัยของถาวจวินหลันแล้ว ไม่มีทางยืนดูองค์หญิงเก้าลำบากได้ นางย่อมยื่นมือไปช่วยเหลือ และไม่มีทางยอมทนได้ตลอดเป็นแน่ 

 

 

หลังจากส่งหลี่เย่ไปแล้ว ถาวจวินหลันกลับค่อยๆ เก็บสีหน้าท่าทาง ทั้งใบหน้ามีแต่ความเคร่งเครียดจริงจัง 

 

 

ใครใจกล้าบ้าบิ่นลงมือกับองค์หญิงเก้า พอคิดถึงเด็กในท้องขององค์หญิงเก้า นางก็ไม่อาจใจเย็นได้ หากองค์หญิงเก้าเป็นอะไรไป นางต้องส่งคนที่เกี่ยวข้องไปลงหลุมด้วยแน่นอน! ไม่ ตายไปถือว่าง่ายกับพวกเขา นางจะต้องทำให้พวกเขาตายทั้งเป็น 

 

 

ถาวจวินหลันหน้าคร่ำเคร่งครุ่นคิดเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าท่าทีของตนเองเช่นนี้ทำให้บรรดานางกำนัลตกใจไม่กล้าแม้แต่เข้าใกล้ บรรยากาศในวังตวนเปิ่นยิ่งอึมครึม ทุกคนล้วนระแวดระวัง แม้แต่หายใจเสียงดังยังไม่กล้า 

 

 

ตกดึกเพราะกฎของตระกูลเฉินคือทุกคนต้องทานข้าวร่วมกัน ดังนั้นคนตระกูลเฉินจึงมารวมตัวกันที่เรือนเฉินฮูหยินเพื่อรอทานอาหารค่ำ 

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินมาช้าที่สุด แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พอเข้ามาแล้วก็เอ่ยขออภัย “ขออภัยที่มาช้า แต่ข้ามาช้าเพราะได้ยินข่าวมาเรื่องหนึ่งมา ท่านพ่อกับท่านแม่อย่าได้โกรธข้าเลย” 

 

 

เพราะเรื่ององค์หญิงเก้า เฉินฮูหยินจึงอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว เห็นสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินมีรอยยิ้มเต็มใบหน้าเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่ เพียงพูดเรียบๆ ว่า “เอาเถิด ทานข้าว อย่าให้มีครั้งต่อไปอีก มีที่ไหนให้คนอื่นมานั่งรอคนคนเดียว” 

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินถูกเฉินฮูหยินสั่งสอนเสียงเรียบเช่นนี้ ใบหน้าพลันไม่น่ามอง รอยยิ้มชะงักค้าง แต่ก็กลับมาร่าเริงได้เหมือนเดิมโดยเร็ว “เจ้าค่ะ แต่น้องสะใภ้อยากฟังข่าวล้ำค่านี้หรือไม่? เกี่ยวข้องกับครอบครัวของน้องสะใภ้” 

 

 

ถาวซินหลันเลิกคิ้ว รู้ดีแก่ใจว่าสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินพูดเช่นนี้เพียงเพื่อล่อให้นางเอ่ยปากพูดเท่านั้น แต่นางกลับตัดสินใจแล้วว่าจะเล่นตามสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉิน เพียงแค่ยิ้ม “พี่สะใภ้อยากพูดก็พูดเถิดเจ้าค่ะ ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด อีกอย่างตอนนี้จะทานข้าวแล้ว พี่สะใภ้ไม่หิวหรือเจ้าคะ?”  

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินสะอึกไปทันที 

 

 

ตอนที่เฉินฮูหยินได้ยินว่าเป็นข่าวเรื่ององค์หญิงเก้า หัวใจของนางก็เต้นอย่างแรง มองไปที่ใต้เท้าเฉินทันที จากนั้นก็ถลึงตามองสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉิน “สะใภ้คนโต เจ้าทำเช่นนี้ทำไม หากไม่หิวก็กลับไป อย่าขวางคนจะกินข้าว!” 

 

 

เฉินฮูหยินคิดว่าพูดมาถึงขั้นนี้แล้วสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินก็ควรจะเข้าใจ อย่างไรซะก่อนหน้านี้นางก็ให้คนออกไปเตือนเอาไว้ทุกที่แล้ว ไม่อนุญาตให้พูดเรื่ององค์หญิงเก้า สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินแม้จะไม่ดี แต่อย่างไรก็ยังมาจากตระกูลสูงส่ง น่าจะพอเข้าใจกฎเกณฑ์มารยาทบ้าง 

 

 

แต่เฉินฮูหยินกลับประเมินจิตใจแค้นของสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินคราวที่แล้วต่ำเกินไป