บทที่ 634 บ้านแตกสาแหรกขาด

บัลลังก์พญาหงส์

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินมองเฉินฮูหยินแวบหนึ่ง แต่ก็ทำเป็นไม่ได้ยินคำเตือนของเฉินฮูหยิน พูดยิ้มแย้มว่า “องค์หญิงเก้าหายไประหว่างทางกลับบ้าน! พวกท่านว่าน่าขันหรือไม่เล่า?”  

 

 

ถาวซินหลันได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไป แล้วก็ลุกพรวดพราด นางลุกขึ้นอย่างเร่งร้อนเช่นนี้ทำให้เฉินฟู่ตกใจจนเอื้อมมือไปประคองถาวซินหลันทันที กลัวว่านางจะเป็นอะไรไป  

 

 

“ท่านพูดอีกครั้งสิ!” ถาวซินหลันสะบัดมือของเฉินฟู่ออกไป ก้าวเท้ายาวเดินไปตรงหน้าสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉิน พูดเสียงเย็น อย่าเห็นว่านางตั้งครรภ์แล้วต้องเชื่อช้า ท้องที่ค่อนข้างใหญ่คล้ายไม่ได้ส่งผลต่อการวางท่าเลยแม้แต่น้อย 

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินหวาดกลัวตัวหดไปเพราะสายตาเอาเรื่องของถาวซินหลัน รอยยิ้มบนใบหน้าหายวับไปทันที แต่หลังจากนั้นนางก็คิดได้ว่าตนเองเป็นคนที่มีสิทธิต่อรอง จึงยิ้มปลอมๆ พูดว่า “น้องสะใภ้กำลังขอร้องข้าอย่างนั้นหรือ ทำไมไม่เห็นท่าทีเหมือนร้องขอคนเลยแม้แต่น้อย?” 

 

 

ความคิดของสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินนั้นชัดเจนมาก 

 

 

เฉินฮูหยินรู้สึกคล้ายปอดกำลังระเบิด แต่นางก็ยังรีบไปดึงถาวซินหลันเอาไว้ ตอนนี้ให้ถาวซินหลันใช้อารมณ์ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโมโห แล้วทำท่าทางฉุนเฉียวเลย 

 

 

เฉินฮูหยินลอบคิดเรื่องเย็นชาอยู่ในใจ ดูท่าทางจะต้องแยกบ้านแล้ว 

 

 

ใต้เท้าเฉินก็ไม่ยินดีเช่นกัน พูดเสียงโกรธกริ้ว “สะใภ้ เจ้ากำลังทำอะไร?!” 

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินถูกตำหนิ ย่อมไม่พอใจ นางไม่พอใจก็ยิ่งอยากให้ถาวซินหลันไม่พอใจมากกว่า ดังนั้นนางจึงยิ้มและพูดกับถาวซินหลันว่า “น้องสะใภ้คงไม่รู้กระมัง? เรื่องนี้กระจายไปทั่วแล้ว มีแต่เจ้าที่ไม่รู้ คนในจวนเขารู้กันหมดแล้ว” พอพูดจบก็หัวเราะเย้ยหยัน “ข้าหวังดีบอกเจ้า ข้าดีกับเจ้าหรือไม่เล่า” 

 

 

ถาวซินหลันเองก็หัวเราะเย้ย แต่สายตาและรอยยิ้มนั้นเย็นเฉียบ “พี่สะใภ้ใหญ่ช่างใจดีกับข้าเหลือเกินเจ้าค่ะ แต่ข้าขอถามพี่สะใภ้ใหญ่ ในเมื่อทุกคนรู้ว่าต้องปิดบังข้า ก็ด้วยกังวลว่าจะส่งผลเสียต่อเด็ก แต่พี่สะใภ้ใหญ่มาบอกข้าอย่างยินดียินร้ายเช่นนี้ ตั้งใจทำอะไรกันแน่เจ้าคะ” 

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินคิดเอาไว้ว่า แม้ถาวซินหลันจะโมโห แต่ก็ไม่อาจมาลงที่นางได้ เพียงแค่คิดโกรธที่ทุกคนปิดบังนาง แต่คิดไม่ถึงว่าถาวซินหลันจะย้อนถามนางเช่นนี้อย่างใจเย็น นางได้ยินก็นิ่งไปทันที…หวังอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ ย่อมอยากเห็นถาวซินหลันโมโหสติกระเจิง วิ่งออกไปหาคนอย่างรีบร้อน จนส่งผลถึงเด็หในท้องอย่างไรล่ะ 

 

 

พี่ใหญ่ของเฉินฟู่ทนไม่ไหวอีกต่อไป ยื่นมือออกไปลากสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินด้วยความโมโห ตะเบ็งถามเสียงดังว่า “เจ้าทำอะไร!” แต่เดิมเฉินจิ่งกับพี่สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินก็ไม่ได้ญาติดีกันนัก แม้จะบอกว่าตอนที่เพิ่งแต่งงานเคยมีวันเวลาหวานซึ้ง แต่จากจำนวนครั้งที่สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินและเฉินฮูหยินมีปากเสียงกันมากขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากนิสัยแท้จริงของสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาจึงจืดจางไป 

 

 

เฉินจิ่งไม่ค่อยอยากพูดคุยกับสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินอยู่แล้ว ย่อมไม่สนใจเรื่องของสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉิน ด้วยเพราะอย่างไรก็ห้ามไม่ได้ หลังจากพูดจบผ่านไปไม่พ้นสองวัน เดี๋ยวสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินก็จะต้องสร้างเรื่องขึ้นมาอีก 

 

 

เมื่อครู่นี้เฉินฮูหยินเอ่ยติเตียน เฉินจิ่งก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร แต่คิดไม่ถึงว่าสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินจะมองข้ามความหวังดีของผู้อื่นเช่นนี้ 

 

 

เฉินจิ่งรู้สึกเสียหน้ายิ่งกว่าอะไรดี โดยเฉพาะหลังจากที่มองน้องสะใภ้ทั้งสองคนแล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี ในบรรดาพี่น้องทั้งสามคน มีเพียงเขาที่ตบแต่งภรรยาไม่ถูกใจ และเป็นคนที่ไม่น่าวางใจที่สุด 

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินออกแรงสะบัดมือของเฉินจิ่ง หัวเราะเสียงเย็น “ทำไม หญิงตั้งครรภ์ช่างล้ำค่าเสียจริง พูดนิดพูดหน่อยก็กลัวว่าจะตกใจอย่างนั้นหรือ ใครไม่เคยคลอดลูกบ้าง? พูดถึงเรื่องนี้ ข้าอยากถามท่านพ่อท่านแม่เสียเหลือเกิน เป็นลูกสะใภ้เหมือนกัน ทำไมถึงได้ลำเอียงขนาดนี้เจ้าคะ ทำไมพวกเราต้องห้ามพูดเพราะนางเจ้าคะ” 

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินดื้อรั้นไม่มีเหตุผล เฉินฮูหยินโกรธจนไม่อยากจะโต้แย้งอะไรกับนางอีกแล้ว ทำได้เพียงตำหนิลูกชายตนเอง “เจ้าใหญ่ ดูแลภรรยาเจ้าให้ดี!” 

 

 

กลับเป็นถาวซินหลันที่เอ่ยปาก พูดอย่างยุติธรรม “พี่สะใภ้ใหญ่พูดไม่ถูกนะเจ้าคะ ใช่แล้วเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองเคยตั้งครรภ์และคลอดลูกมาก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะถูกปฏิบัติดีกว่าเสียหน่อย แต่พี่สะใภ้ใหญ่ควรจะถามใจตัวเองดูนะเจ้าคะ ตอนที่ท่านตั้งครรภ์ท่านแม่เคยปฏิบัติกับท่านอย่างไร! ท่านพูดว่าแม่สามีลำเอียง แต่ท่านแม่เคยให้ของท่านน้อยกว่า หรือปฏิบัติไม่ดีกับท่านหรือ? นางจะเป็นห่วงข้าบ้าง ก็เป็นเพราะว่าสงสารที่ข้าไม่มีแม่ ก่อนหน้านี้สามีก็ไม่อยู่ข้างกายเท่านั้นเอง แม้แต่เรื่องนี้พี่สะใภ้ใหญ่ก็ยังรับไม่ได้หรือเจ้าคะ?” 

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวซินหลันก็หัวเราะเสียงเย็น “แต่อย่างไรข้าก็ยังต้องขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่บอกเรื่องนี้กับข้า! แต่พี่สะใภ้จะดีใจเพราะความทุกข์ของคนอื่นเช่นนี้ไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือไม่ องค์หญิงเก้าคนดีฟ้าคุ้มครอง ต้องไม่เกิดเรื่องอันตรายเป็นแน่ ท่านคงต้องผิดหวังเสียแล้ว!” 

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินเห็นถาวซินหลันมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้ ก็มองนางด้วยสีหน้าเย็นชาดูถูก เหมือนว่ามองมดตัวจ้อยอยู่เท่านั้น ท่าทีที่ไม่สนใจแม้แต่น้อยและคำพูดต่อว่าย้อนถามแต่ละประโยคเป็นการกระตุ้นให้สะใภ้ใหญ่โมโหอย่างถึงที่สุด 

 

 

สะใภ้ใหญ่เอื้อมมือไปผลักถาวซินหลันอย่างแรงด้วยระงับโทสะไม่ได้ พูดเสียงดังว่า “เจ้าจะรู้อะไร? เจ้าจะรู้ความน้อยเนื้อต่ำใจของข้าได้อย่างไร!” 

 

 

ทุกคนคิดไม่ถึงว่าสะใภ้ใหญ่จะลงมือผลักกะทันหันเช่นนี้ แม้แต่ถาวซินหลันก็คิดไม่ถึง ดังนั้นร่างกายงุ่มง่ามของนางจึงหลบไม่พ้นแรงผลักของสะใภ้ใหญ่ 

 

 

แม้ว่าเฉินฟู่จะประคองถาวซินหลันอยู่ข้างๆ แต่ก็ประคองไว้ไม่ได้ ถาวซินหลันถูกผลักจนเซไปข้างหลัง 

 

 

เฉินฮูหยินกรีดร้อง รีบตะโกน “เร็ว!” 

 

 

เฉินฟู่รีบเข้าไปกอดถาวซินหลันเอาไว้แน่นตามสัญชาตญาณ แล้วล้มลงไปข้างหลังพร้อมกับนาง แต่เขาปกป้องถาวซินหลันเอาไว้ในอ้อมกอด ส่วนตนเองกลายเป็นเบาะรองอยู่ข้างล่าง 

 

 

แต่เดิมภายในห้องก็มีคนอยู่มาก เครื่องเรือนก็ไม่น้อย ทั้งสองคนล้มลงไปเช่นนี้ข้อศอกของเฉินฟู่ก็ไปประแทกเข้ากับขาเก้าอี้ ถาวซินหลันแต่เดิมไม่ได้เป็นอะไร แต่ก็มึนงงไปชั่วครู่เหมือนกัน แม้ว่าคิดจะปกป้องท้อง แต่ท้องใหญ่เช่นนั้นจะปกป้องอย่างไรไหว? 

 

 

ตอนที่รู้ว่าท้องกระแทกเข้ากับพื้น แม้จะบอกว่าไม่ได้แรงมาก แล้วยังมีพรมกั้น แต่ถาวซินหลันก็หน้าซีดเผือด เหงื่อเย็นไหลซึมออกมาทั้งร่าง แยกไม่ออกว่าท้องเจ็บหรือว่าตกใจกันแน่ 

 

 

เฉินฮูหยินรีบไปประคองถาวซินหลัน “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” พอมองท่าทีของถาวซินหลัน นางก็ร้อนใจขึ้นมา รีบตะโกนเสียงสูง “เร็ว ไปเชิญหมอมา!“ 

 

 

ตอนที่ตระกูลเฉินยุ่งเหยิงสับสนนั่นเอง ถาวจวินหลันก็กำลังตรงไปที่วังของฮองเฮา 

 

 

ฮองเฮาส่งคนมาเชิญนาง บอกว่าจะถามเรื่องงานเลี้ยงในวันนี้ ข้ออ้างนี้สมเหตุสมผล แม้ว่าถาวจวินหลันไม่อยากไป แต่ก็หาเหตุผลมาปฏิเสธไม่ได้ 

 

 

ถึงตัวไป แต่เห็นชัดว่าใจไม่อยู่กับรูปกับรอย จิตใจล่องลอย นั่งไม่ติดที่ นางเป็นกังวลเรื่ององค์หญิงเก้าจริงๆ  

 

 

ตอนที่นางไปถึง ฮองเฮากำลังสวดมนต์อยู่ในโถงพระ ด้วยเพราะมีนางกำนัลอยู่ไม่มาก ถาวจวินหลันจึงอดเยาะเย้ยฮองเฮาไม่ได้ “ฮองเฮาเหนียงเหนียงสวดมนต์ คำนับพระพุทธ ไม่ทราบว่าได้ผลบ้างหรือไม่เพคะ?” 

 

 

“หากฮองเฮาเหนียงเหนียงคิดว่า สวดมนต์ไม่กี่คำเช่นนี้จะลบล้างความผิดบาปทั้งหมดที่ทำได้ พระโพธิสัตว์ก็คงไม่ค่อยยุติธรรมสักเท่าไรนะเพคะ” ถาวจวินหลันหัวเราะหยันเสียงเบา “บางทีมีประโยชน์เพราะอย่างน้อยตกกลางคืนเวลาเหนียงเหนียงเข้าบรรทม พระองค์จะได้หลับสนิท ไม่มีเรื่องหวาดกลัวมากวนใจใช่หรือไม่เพคะ?” 

 

 

ฮองเฮาไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ตอบว่า “พระชายาองค์รัชทายาทใจกล้าขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าดูไม่ออกแม้แต่น้อย” 

 

 

“พระองค์ยังมองไม่ออกอีกเยอะเพคะ” ถาวจวินหลันยิ้ม “แต่เรื่องบนโลกใบนี้ ใครจะบอกได้ชัดเจนเล่าเพคะ?” 

 

 

“จริงสิ ใครจะบอกได้ชัดเจนเล่า” ฮองเฮาพูดรำพึงรำพันประโยคหนึ่ง จากนั้นก็เบนหน้าไปถามถาวจวินหลัน สีหน้าจริงจัง “ไม่รู้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทคิดจะทำอะไรกันแน่? หากพระชายาองค์รัชทายาทสงสารอาอู่ ก็ควรห้ามข้าถึงจะถูก หรือเจ้าคิดจะเหลือเบี้ยต่อรองเอาไว้อย่างนั้นหรือ? เบี้ยต่อรองที่เอามาใช้กับข้าได้?” 

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ฮองเฮาเหนียงเข้าใจผิดแล้วเพคะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีใจเ**้ยมโหดเหมือนพระองค์ เก็บองค์ชายเก้าเอาไว้ไม่ใช่เพราะหม่อมฉันอยากจะเหลือเบี้ยต่อรองเอาไว้ใช้กับพระองค์ แต่เป็นเพราะไม่อยากเห็นเด็กบริสุทธิ์คนหนึ่งต้องมาโดนพรากชีวิตไปทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเท่านั้นเองเพคะ เป็นแม่คนเหมือนกัน หม่อมฉันไม่ได้ใจเ**้ยมโหดเหมือนพระองค์หรอกเพคะ” 

 

 

“แม่คนอย่างนั้นหรือ?” ฮองเฮาหัวเราะเย้ยหยันออกมา “ลูกชายตายไปแล้ว ข้ายังถือว่าเป็นแม่คนอีกหรือ?” พูดไปก็อดกัดฟันแน่นไม่ได้ “ถ้าไม่ใช่เพราะคนต่ำช้าอย่างอี๋เฟย…“ 

 

 

“องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อไม่ใช่เด็กน้อย เขากล้าทำเรื่องเช่นนั้น ย่อมไม่ใช่เพราะถูกเล่ห์กลมนตราให้ลุ่มหลง” ด้วยเพราะที่นี่มีแต่คนสนิทของทั้งสองฝ่าย ดังนั้นจึงไม่กลัวว่าคำพูดในวันนี้จะแพร่กระจายออกไปจนคนอื่นสงสัย ถาวจวินหลันรู้ดีจึงพูดออกมาตรงๆ 

 

 

ฮองเฮาไม่ได้พูดอะไร พยายามจัดการกับอารมณ์ของตน “ในเมื่อไม่อยากให้เหลือเบี้ยต่อรอง เช่นนั้นพระชายาองค์รัชทายาทจะเลี้ยงองค์ชายเก้าทำไม?” 

 

 

“ฮองเฮาเหนียงเหนียงเรียกข้ามาเพราะอยากถามเรื่องเหล่านี้หรือเพคะ?” ถาวจวินหลันเริ่มหงุดหงิด ไม่คิดอยากจะพูดคุยกับฮองเฮามากมายนัก จึงพูดเสียงเย็น “ถ้าไม่มีเรื่องอื่น หม่อมฉันต้องขอตัวก่อนแล้วกันเพคะ” 

 

 

“ดูท่าทางข้าจะพูดถูก” ฮองเฮาเหนียงเหนียงหัวเราะ “ที่นี่ไม่มีคนอื่น พระชายาองค์รัชทายาทจะยอมรับเรื่องนี้อย่างเปิดเผยก็ย่อมได้ นี่เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรต้องเขินอาย” 

 

 

ถาวจวินหลันไม่อยากทน คำพูดที่พูดออกมาก็ไม่ได้น่าฟังเท่าไรนัก “ดูท่าทางฮองเฮาเหนียงเหนียงคงชราแล้ว แม้แต่คำพูดก็ยังเลอะเลือน ดูท่าทางหม่อมฉันคงต้องขอตัวแล้วเพคะ” 

 

 

พูดไปพลางถาวจวินหลันก็เดินออกไปข้างนอกจริงๆ คิดไม่เหมือนกัน พูดไปก็ไม่ถูกใจ หมายถึงความรู้สึกเช่นนี้ เผชิญหน้ากับฮองเฮา นางเองไม่คิดอยากจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ 

 

 

อีกทั้งพูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะเป็นการสีซอให้ควายฟังตั้งแต่แรก ฮองเฮาจะเข้าใจความคิดของนางอย่างนั้นหรือ? เห็นชัดว่าไม่ใช่ จิตใจของฮองเฮาคงเต็มไปด้วยแผนการเลวร้ายเน่าเฟะและความคิดดำมืดสกปรก 

 

 

ฮองเฮาคงไม่เคยเห็นใครดีในสายตาเป็นแน่แท้ 

 

 

ตอนที่ถาวจวินหลันเดินใกล้ถึงประตูแล้ว ฮองเฮากลับพูดขึ้นว่า “ไม่สู้ว่าพวกเรามาแลกเปลี่ยนกันดีหรือไม่”