ตอนที่ 287 ไข่พะโล้ที่น่าดูที่สุดที่นางเคยเห็นมา

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ท่านอาจารย์เคยบอกว่า เดิมทีเสินฟางก็เคยมีเส้นผม

 

 

แต่เพราะดูดกลืนจิตวิญญาณเข้าไปมากเกิน จึงทำให้เกิดผลกระทบ เส้นผมร่วงลงจนหมด

 

 

แม้จะได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง เส้นผมของเขาก็ไม่ได้งอกเงยขึ้นมา

 

 

แต่กระนั้นถึงบัดนี้ ใบหน้านั้นก็ยังคงงดงาม

 

 

หัวไข่พะโล้นั่น ดูแล้วก็เป็นไข่พะโล้ที่สวยงามที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา

 

 

เสินฟางค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากในโลงศพใบนั้น บนร่างของเขายังมีเศษผ้าบางๆ สีฟ้าอ่อนพันอยู่

 

 

เศษผ้านั้นปิดบังส่วนที่สมควรจะบิดบังเอาไว้ องค์เอวที่บอบบางเปิดเผยออกมาบางส่วน

 

 

รูปร่างของเสินฟางดีอย่างยิ่ง ไม่ได้ด้อยไปกว่ายอดนายแบบทั้งหลายเลย

 

 

รูปร่างเช่นนี้ต่อให้ใช้ผ้ากระสอบมาสวมใส่ ก็ยังคงน่าดูอย่างที่สุดอยู่ดี

 

 

ตู๋กูซิงหลันและเหยียนเฉียวหลัวต่างก็มองดูอย่างไม่กระพริบตา เพียงแต่ความในใจของคนทั้งสองแตกต่างกันโดนสิ้นเชิง

 

 

มีแต่ตู๋กูซิงหลันที่รู้ว่า บุรุษผู้นี้ยากจะตอแยเพียงใด อีกทั้งนางก็ยังไม้รู้ว่าพลังของเขาฟื้นฟูขึ้นมาถึงกี่ส่วนแล้ว

 

 

ในโลกก่อน ยามอยู่บนพื้นดิน พลังของนางยังแข็งแกร่งกว่าเสินฟางเล็กน้อย

 

 

แต่เมื่ออยู่ในน้ำ….. นางไม่อาจข่มใจระงับความหวาดกลัว หากว่าต้องต่อสู้กับเสินฟาง ก็คงไม่มีทางเป็นไปได้

 

 

อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงหนึ่งในสิบยมราช ปกครองฝูงผีมากมาย เรื่องความแข็งแกร่งเพียงไรนั้นไม่ต้องพูดถึง

 

 

หัวใจของเหยียนเฉียวหลัวแทบจะกระโดดออกมา นางต้องใช้ฝ่ามือกุมหัวใจเอาไว้ เมื่อได้เห็นภาพที่แปลกประหลาดด้านหน้า นางก็ไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตา

 

 

ใครจะไปคิดว่า ในโลงทองแดงจะมีบุรุษที่ทั้งงดงามและลึกลับซ่อนอยู่?

 

 

เขาคือ…..ฮ่องเต้ของแคว้นเซอปี่ซือ?

 

 

แต่นางเคยได้ยินมาว่า ตอนที่ฮ่องเต้องค์นี้เสด็จสวรรคตก็มีพระชนม์เกือบหกร้อยปีไปแล้ว

 

 

คนที่อายุหกร้อยปี อย่างไรเสียก็สมควรจะเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งสิ?

 

 

แต่บุรุษผิวขาวตรงหน้านี้ ….ดูแล้วอย่างมากก็คงจะมีอายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ เท่านั้น

 

 

พอคิดๆ ดูอีกครั้ง เหล่าผู้ที่สามารถฝึกฝนบำเพ็ญจนถึงขั้นสูงส่งได้นั้น พอถึงระดับหนึ่งก็คงจะสามารถหยุดอายุขัยได้ละมั้ง

 

 

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม บุรุษผู้นั้นก็ได้เลือกนางแล้ว จุดนี้ทำให้นางภาคภูมิใจอยู่ดี

 

 

ในตอนนั้นเอง เสินฟางจดจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน ยามนี้เขาก้าวออกมายืนนอกโลงทองแดงเรียบร้อยแล้ว รูปร่างของเขาสูงโปร่งท่อนขาขาวๆ ยามเมื่อก้าวออกมาจากโลงศพนั้นก็เรียวยาวสมบูรณ์

 

 

บนขาทั้งสองข้างก็มีลวยลายของดอกพลับพลึงแดง งอกงามขึ้นมาจากปลายเท้าของเขาเช่นกัน

 

 

ราวกับว่าทุกครั้งที่เขาก้าวเดินก็จะมีดอกพลับพลึงที่แดงชาดปานโลหิตเหล่านี้ผลิบานออกมา

 

 

รอบกายของเขามีแต่หมอกดำเข้มข้น ราวกับหมึกที่กำจายออกมาจากตัวเขา ทำให้บรรยากาศโดยรอบทั้งลึกลับน่ากลัว และงดงามไปในคราวเดียวกัน

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ได้เคลื่อนไหว เพียงแต่จดจ้องไปยังเสินฟางเช่นกัน

 

 

 

 

ครู่ต่อมาก็เห็นว่าที่ด้านหลังขอเสินฟางมีศพแห้งที่ดูสูงส่งงดงามร่างหนึ่ง

 

 

ศพแห้งนั้นยังมิได้ถูกดูดจน ‘แห้ง’ สนิทดี ….ดูๆ ไปก็คล้ายกับรูปจำลองล้ำค่าของพระโพธิ์สัตว์

 

 

บนเศียรของ ‘ศพแห้ง’ ยังมีรัดเกล้าสีทองชิ้นหนึ่ง ในมือก็กำคฑาสีทองเอาไว้แนบแน่น

 

 

ดูท่าแล้ว ท่านผู้นี้ต่างหากที่เป็นเจ้าของขุมสมบัติที่แท้จริง ฮ่องเต้แคว้นเซอปี่ซือ

 

 

ระหว่างฮ่องเต้และเสินฟางมีหมอกดำสายหนึ่งเชื่อมโยงอยู่ ตู๋กูซิงหลันสามารถมองเห็นไอทิพย์จากในร่างของฮ่องเต้ไหลเข้าสู่ร่างของเสินฟางอย่างไม่ขาดตอน

 

 

เซินฟางไม่เพียงแต่เข้ายึดสุสานของฮ่องเต้องค์นี้ แต่ยังจะดึงดูดไอทิพย์ที่สะสมอยู่ในร่างของพระองค์มานานปีเข้าไปจนหมดสิ้นด้วย

 

 

ไอทิพย์ที่สะอาดบริสุทธิ์เช่นนี้แม้แต่ตู๋กูซิงหลันเห็นแล้วยังต้องหวั่นไหว

 

 

วิญญาณทมิฬนั้นถึงขนาดน้ำลายไหลไปแล้ว

 

 

ดูเอาเถอะ….ต่างก็เป็นเหล่าคนที่ดับดิ้นมาจากโลกโน้นเหมือนๆ กัน ทำไมพอถึงตอนนี้ถึงได้แตกต่างกันเช่นนี้

 

 

คนหนึ่งกลายเป็นไทเฮาน้อยในตำหนักเย็น ทุกวันต้องใช้ชีวิตอย่างอดๆ อยากๆ

 

 

คนหนึ่งเข้าไปในโลงศพ สูบเอาไอทิพย์ของฮ่องเต้และพสกนิกรทั้งหลายเสียจนเกลี้ยง เพียงแค่เวลาช่วงสั้นๆ ก็สามารถฟื้นฟูได้มากมายขนาดนี้ ช่างทำให้คนต้องริษยาเสียจริงๆ

 

 

เสินฟางเดินเข้ามาสองก้าวก็หยุดลง เขายืนอยู่บนดอกพลับพลึงแดง หมอกดำรายล้อมอยู่รอบตัว สายตาของเขาหยุดอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลัน “ข้าไม่เคยเห็นเจ้าอ่อนแอเช่นนี้มาก่อนเลย”

 

 

กล่าวเพียงวาจาเดียว เขาก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างลึกลับ “ลูกศิษย์ที่ซื่อมั่วแห่งหุบเขาภูติเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ก็มีวันที่จะตกต่ำได้เช่นกัน ไม่รู้ว่าหากซื่อมั่วได้มาเห็น จะรู้สึกเช่นไร?”

 

 

ในโลกใบนี้ นอกจากวิญญาณทมิฬแล้ว นี้เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึงชื่อของอาจารย์ นางหรี่ตาลง “เจ้าคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าจะมา แล้วยังจะมาพูดเรื่องไร้สาระเหล่านี้อีกทำไม? พวกเราล้วนเป็นคนที่รวบรัดชัดเจน จะพูดจาหรือกระทำเรื่องใดก็ตรงไปตรงมา นี่จึงจะสมกับที่เป็นการกระทำของจอมมารเสินฟางเช่นเจ้า”

 

 

เหยียนเฉียวหลัวที่แอบฟังอยู่ด้านข้างออกจะงุนงงไปหมดแล้ว ถ้อยคำที่ตู๋กูซิงหลันและเสินฟางกล่าวออกมานั้น เปิดเผยข่าวสารที่ยิ่งใหญ่ออกมาแล้ว

 

 

ซื่อมั่วแห่งหุบเขาภูติ? นั่นคืออะไรกัน? ขุมกำลังเล้นลับในดินแดนแห่งนี้หรือ?

 

 

จอมมารเสินฟาง….ก็คือท่านผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า? ตู๋กูซิงหลันกับเขารู้จักกันด้วย

 

 

เช่นนั้นตู๋กูซิงหลันคือใครกันแน่?

 

 

แถมเมื่อครู่ก็ยังเรียกนางว่าเป็นเย่วซิงหลัน…..

 

 

เมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องราวของ ‘ตู๋กูซิงหลัน’ ที่นางได้ยินมาก่อนหน้านี้ เพียงไม่นานเหยียนเฉียวหลัวก็คาดเดาบางสิ่งออกมา

 

 

สตรีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้…บางทีอาจจะไม่ใช่ไทเฮาของต้าโจวองค์เดิม

 

 

แม้ว่านางจะใช้ร่างของไทเฮาองค์เดิม แต่ว่าภายใต้ผิวหนังนี้ ก็อาจจะเป็นวิญญาณร้ายก็เป็นได้

 

 

ตัวนางเคยฝึกฝนอยู่ในสำนักฮว่าชิ่งซานมานานหลายปี วิชาลับอย่างเช่นการสลับร่างนี้ย่อมต้องเคยได้ยินมาบ้าง

 

 

หากอาศัยวิชาลับเช่นนี้ ก็สามารถแย่งชิงร่างกายของผู้อื่นมาได้ นักพรตที่ใกล้จะดับสิ้นอายุขัยยิ่งประสงค์จะใช้วิธีเช่นนี้

 

 

แต่เพราะต่อมาเห็นว่า….วิชานี้ชั่วช้ามากเกิน จึงได้ค่อยๆ สาบสูญไป

 

 

เช่นนี้แล้ว ย่อมต้องมีนักพรตบางคนที่ไม่ต้องการพ่ายแพ้ต่อความตาย คิดค้นวิธีการเช่นนี้ขึ้นมา

 

 

พอคิดถึงว่าตู๋กูซิงหลันยังสามารถวาดยันต์และใช้วิชาอาคมที่แข็งแกร่งได้ เหยียนเฉียวหลัวก็ยิ่งเชื่อมั่นว่า ตู๋กูซิงหลันจะต้องเป็นพวกนักพรตมืดเป็นแน่ มิเช่นนั้นไยจึงเร้นลับถึงเพียงนี้

 

 

มิน่าเล่า….มิน่าเล่าจีเฉวียนถึงได้ถูกนางล่อลวงจนอยู่หมัด

 

 

ที่แท้เปลือกนอกที่สวยงามนั้นก็ถูกเปลี่ยนไส้ไปตั้งนานแล้ว แม้แต่เรื่องแย่งชิงร่างนางก็ยังกล้าทำ เช่นนั้นเรื่องการล่อลวงจีเฉวียนก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไร

 

 

พอเหยียนเฉียวหลัวคิดจนเข้าใจปรุโปร่งหมดแล้ว ก็พอจะปลอดโปร่งใจขึ้นมาบ้าง

 

 

นางหันไปมองดูตู๋กูซิงหลัน ในใจก็เกิดเพลิงสังหารขึ้นมาอีกอย่างเงียบๆ สตรีที่ชั่วร้ายเช่นนี้ สมควรจะต้องตายเท่านั้น

 

 

อีกด้านหนึ่ง เสินฟางก็มิได้รีบร้อน เขาพิงร่างเข้ากับโลงทองแดงทั้งตัว ดวงตาทั้งสองที่มีแต่เพียงสีขาวมองดูตู๋กูซิงหลัน เมื่อยื่นมือออกมา ก็ปรากฏหมอกดำสายหนึ่งพัดพาไปทางตู๋กูซิงหลัน

 

 

เมื่อไปถึงเบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลัน หมอกสีดำนั้นก็กลายเป็นมือสีดำข้างหนึ่ง

 

 

มือสีดำก่อร่างเป็นหมัดจากนั้นก็ค่อยๆ แบบออกมา ดวงตาของตู๋กูซิงหลันเปล่งประกาย เห็นบนใจกลางฝ่ามือของมือสีดำนั้น มีเศษหยกดำชิ้นหนึ่งวางอยู่อย่างสงบนิ่ง

 

 

แม้ว่าจะอยู่ในน้ำ แต่เศษหยกสีดำชิ้นนั้นกลับเปล่งประกาย รอบๆ มันมีไอสีดำกะจายออกมา เป็นกลิ่นอายที่ตู๋กูซิงหลันคุ้นเคยอย่างที่สุด

 

 

“ของสิ่งนี้ เดิมทีเป็นของเจ้า” เสินฟางกล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า “แต่น่าเสียดาย แตกสลายเสียแล้ว”

 

 

ว่าแล้วเสินฟางก็กล่าวอีกว่า “ข้าไม่ต้องการพูดจาอ้อมค้อมกับเจ้า พลังที่แท้จริงของสิ่งนี้มีแต่เจ้าที่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ ข้าต้องการให้เจ้าใช้มันเปิดเส้นทางกลับไปยังโลกปัจจุบัน”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “….” หากว่านางเปิดทางได้ ก็คงจะเปิดไปนานแล้ว จะมามัวเสียเวลาอยู่กับเขาที่นี่ทำไม?

 

 

ดังนั้นที่เสินฟางจับตัวนางมา ไม่ใช่เพื่อจะล้างแค้น แต่เป็นเพราะว่าต้องการกลับไปยังโลกปัจจุบัน?

 

 

 

 

——

 

 

คุยกันนิดนึง:

 

 

ไรท์: พี่เต้ทำไมมาหลบอยู่หลังไรท์ ไหนว่ากระโดดตามลงมาติดๆ

 

 

ฉวนฉวน: แว่นว่ายน้ำของเราหายไป สั่งไปหลายวันแล้วยังไม่มาส่งเลย

 

 

ตอนต่อไป “เสินฟางใช้คำว่า ‘พวกเรา’ ”