ตอนที่ 288 เสินฟางใช้คำว่า ‘พวกเรา’

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เพราะบุญคุณความแค้นระหว่างข้าและเจ้าในโลกก่อนทำให้ทั้งสองฝ่ายดับสูญไปแล้ว วันนี้เหลือเพียงแต่คนคุ้นเคยเท่านั้น” เสินฟางกล่าวต่อไปด้วยมือที่สั่นไหวน้อยๆ

 

 

หมอกสีดำและดอกพลับพลึงแดงรายล้อมเข้ามา เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน

 

 

พวกมันทำให้อาณาเขตของตู๋กูซิงหลันสั่นสะเทือน ราวกับว่าขอเพียงเสินฟางใช้กำลังเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้อาณาเขตของนางแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ในทันที

 

 

“หากข้ายมราชต้องการให้เจ้าตายในยามเที่ยงคืน ก็จะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปจนถึงตีห้า เย่วซิงหลัน เจ้าเป็นคนแรกที่ยมราชอย่างข้าปล่อยไป” เสินฟางเคลื่อนเข้ามาใกล้นางดั่งเป็นดวงวิญญาณ ปลายนิ้วสีขาวที่เนียนละเอียดแทงผ่านอาณาเขตเข้ามาจะถึงบริเวณลำคอของตู๋กูซิงหลัน

 

 

“เหตุผลที่เก็บเจ้าเอาไว้ ก็เพื่อจะกลับไปยังโลกปัจจุบันโน้น หากว่าเจ้าทำไม่ได้ ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าทิ้งไว้อีกต่อไป”

 

 

เสินฟางเป็นหนึ่งในสิบยมราช นับเป็นพยามัจจุราชผู้หนึ่ง การที่เขามีความมั่นใจในตนเองเช่นนี้ ย่อมมิใช่เรื่องแปลก

 

 

“เจ้ามีเหตุผลอันใดที่ทำให้ต้องกลับไปให้ได้?” ตู๋กูซิงหลันจดจ้องไปยังเขา เสินฟางไม่ฆ่านาง แต่ต้องการเก็บนางเอาไว้เปิดเส้นทาง นี่ย่อมทำให้นางรู้สึกประหลาดใจพอสมควร

 

 

เมื่อมองดูดอกพลับพลึงสีแดงที่ผลิบานอยู่รอบๆ ตัวเขา ก็รู้สึกว่ามันบาดตาเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ตอนที่เสินฟางยังไม่ได้ถูกจิตมารครอบงำ ก็เป็นถึงราชาเมืองผีที่ยิ่งใหญ่และสง่างาม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้เดินเข้าสู่เส้นทางสายมาร

 

 

ด้วยพลังอำนาจที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความดีและความเลวของเขา หากจะสร้างดินแดนแห่งใหม่ขึ้นมาในโลกนี้ก็สามารถทำได้ แต่ว่าในโลกปัจจุบันมีสิ่งใดกันที่ทำให้เขาระลึกถึงอยู่อย่างไม่ลืมเลือน จำเป็นจะต้องกลับไปให้ได้?

 

 

“นั่นไม่ใช่เรื่องของเจ้า” น้ำเสียงของเสินฟางเย็นชาอย่างที่สุด แม้ว่าจะมีเพียงดวงตาสีขาว แต่ยามมองมาที่นางกลับทำให้รู้สึกลึกล้ำเป็นพิเศษ “เจ้าเพียงแค่ต้องทำในสิ่งที่เราต้องการเท่านั้น”

 

 

“เจ้าเป็นคนฉลาด เมื่ออยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย สมควรไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล ว่าสมควรจะเลือกเฟ้นเช่นไร”

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิได้ประหลาดใจ นางเอาแต่มองดูเสินฟางที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม ไม่รอให้นางได้ทันกล่าวอะไร ก็เห็นเสินฟางนำเศษหยกสรรพชีวิตอีกห้าชิ้นออกมา “ทั้งหมดหกชิ้น ถือว่าเป็นหนึ่งในสามของหยกสรรพชีวิตที่เคยสมบูรณ์แล้ว สิ่งนี้เป็นของวิเศษของโลกพิภพนี้ แม้ว่าจะมีเพียงแค่หนึ่งในสาม แต่ก็เพียงพอจะให้เจ้าเปิดเส้นทางขึ้นมาได้แล้ว”

 

 

เหยียนเฉียวหลัวที่คอยจับตาดูอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดต้องตกตะลึงไปแล้ว เดิมทีนางคิดว่าคนที่ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้เลือกสรรก็คือตนเอง แต่ตอนนี้ดูแล้ว ผู้ที่เขาเลือกน่าจะเป็นตู๋กูซิงหลันมากกว่า?

 

 

ไม่ใช่….เป็นวิญญาณร้ายที่เข้าสิงอยู่ในเปลือกนอกที่สวยงามนั่น

 

 

ชื่อของหยกสรรพชีวิต นางก็เคยได้ยินอาจารย์กล่าวถึงมาก่อน นั่นเป็นสิ่งวิเศษที่สามารถควบคุมพิภพได้ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีชิ้นส่วนของหยกมากมายถึงเพียงนี้

 

 

ชิ้นส่วนเหล่านั้น สมควรจะเป็นของนางต่างหาก!

 

 

“ท่านจอมมาร ข้าต่างหากคือผู้ที่ท่านเลือกสรร ท่านไม่อาจมอบชิ้นส่วนของหยกเหล่านั้นให้กับนาง!” เหยียนเฉียวหลัวตะโกนออกไป

 

 

“ท่านเพียงแต่ต้องการหาใครสักคนมาเปิดเส้นทางเพื่อกลับไปบ้านใช่หรือไม่ ข้าเคยฝึกฝนอยู่ที่ภูเขาฮว่าชิ่งซานอยู่หลายปี ต่อให้ต้องสูญสิ้นตบะที่บำเพ็ญเพียรมา ก็จะต้องช่วยท่านให้ได้”

 

 

“สตรีผู้นั้นจิตใจลึกซึ้งชั่วร้าย ท่านอย่าได้ไปหลงเชื่อนางโดยเด็ดขาด”

 

 

เสินฟางได้ยินเสียงตะโกนของนาง ก็เหลือบตามองมาแวบหนึ่ง สายตาเพียงชั่วแวบนั้น ทำให้เหยียนเฉียวหลัวรู้สึกเหมือนถูกกระฉากวิญญาณออกมาเฆี่ยนตีอย่างไรอย่างนั้น

 

 

นางสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว ในใจบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา

 

 

จอมมารผู้นี้….ยามที่มองดูนาง สายตาของเขาเหมือนกับกำลังมองคนที่ตายไปแล้ว

 

 

นางกุมหัวใจเอาไว้ เผยอปากขึ้นมา คิดจะกล่าวอะไรบ้าง แต่กลับถูกประโยคเดียวของเสินฟางกระแทกกลับไป “เจ้าไม่คู่ควร”

 

 

ในโลกหล้านี้…มีแต่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะถือครอง

 

 

นางคือผู้ที่ซื่อมั่วและหยกสรรพชีวิตเลือกสรรไว้ ว่าไม่ใช่คนธรรมดา

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในสิบยมราช แต่หยกสรรพชีวิตนี้เมื่ออยู่ในมือของเขาก็ไม่ได้มีประโยชน์สักเท่าใด

 

 

เหยียนเฉียวหลัวถึงกับโง่ไปเลย แต่นางไม่กล้าต่อต้าน ตอนนี้นางยังอยู่ใต้ก้นทะเลสาบ หากไม่ระวังตัวมีหวังต้องถูกป่นจนร่างแหลกเหลว นางไม่จำเป็นจะต้องเอาไข่ไปกระทบหิน

 

 

เสินฟางมิได้สนใจนางอีก เพียงแต่ส่งเศษหยกเหล่านั้นไปยังเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน “เจ้าก็รู้ดี ความอดทนของข้ามีจำกัด ทางที่ดีเจ้ารีบตัดสินใจมาเถอะ”

 

 

เศษหยกหกชิ้น กำจายกลิ่นอายลึกลับที่เข้มข้นออกมา ราวกับดอกฝิ่นที่ดึงดูดจิตใจของตู๋กูซิงหลันอย่างรุนแรง

 

 

เดิมที….จุดประสงค์ที่นางมายังที่นี่ก็เพื่อตามหาหยกสรรพชีวิตอยู่แล้ว

 

 

ที่ต้องการจะรวบรวมเศษหยกก็เพื่อจะได้สามารถกลับไปยังโลกปัจจุบันได้ในวันหนึ่ง

 

 

ไม่ว่าเสินฟางจะมีจุดประสงค์ใดอยู่เบื้องหลัง แต่ว่าโอกาสนั้น….ตอนนี้ก็ได้มารออยู่ตรงหน้าของนางแล้ว

 

 

เศษหยกพวกนี้ไม่มีทางเป็นของปลอมไปได้

 

 

“ขอเพียงเจ้ากระตุ้นพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในเศษเสี้ยวของหยกออกมา ข้าจะอยู่ด้านข้างช่วยเจ้าขยายช่องว่างของกาลเวลา” เสินฟางว่าต่อไป เพียงแค่ขยับมือก็ดึงตู๋กูซิงหลันพร้อมอาณาเขตของนางเข้าไปในโลงทองแดง

 

 

เหยียนเฉียวหลัวถูกทอดทิ้งโดยไม่มีผู้ใดสนใจ นางเองก็ได้แต่เบิกตามองดู

 

 

ในใจของนางยากที่จะระงับความโกรธเกรี้ยวนี้ลงไปได้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่านั้นเป็นโชคชะตาของนาง แต่กลับถูกวิญญาณร้ายที่หุ้มหนังแกะเอาไว้ตนหนึ่งแย่งชิงไป แล้วจะให้นางยินยอมเลิกราเช่นนี้ได้อย่างไร?

 

 

นางพึ่งจะขยับตัว หมอกสีดำที่อยู่รอบตัวก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว น้ำที่เย็นเฉียบใต้ทะเลสาบไหลทะลักเข้าสู่จมูกและปาก ทำเอานางตกใจจนไม่กล้าวู่วาม

 

 

…………………

 

 

ภายในโลงทองแดง ตู๋กูซิงหลันมองเห็นสมบัติร่วมกลบฝังที่แวววาวระยิบระยับมากมาย ดวงตาดอกท้อของนางก็เป็นประกายขึ้นมา

 

 

เมื่อสามารถกีดกันน้ำด้านนอกออกไป นางก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น

 

 

ภายในโลงทองแดงหลังนี้มีพื้นที่ขนาดยี่สิบตารางเมตร นอกจากสิ่งของร่วมกลบฝังพร้อมกับร่างของฮ่องเต้แคว้นเซอปี่ซือแล้ว ภายในผนังโลงยังมีแผนที่ดวงดาราที่ลี้ลับอยู่ด้วย

 

 

แผนที่ดวงดาราที่เร้นลับนี้ทำให้ตู๋กูซิงหลันต้องตกตะลึงไปเนิ่นนาน ที่แท้แล้วโลงทองแดงหลังนี้……มีที่มาไม่ธรรมดา!

 

 

เสินฟางยืนมองดูนางอยู่ข้างๆ เงียบๆ ด้านหลังของเขา ยังคงมีหมอกสีดำที่เชื่อมโยงเขาและร่างของฮ่องเต้แคว้นเซอปี่ซือเอาไว้

 

 

ตอนนี้ หนึ่งราชามาร หนึ่งศพ และตัวนางอยู่ในโลงด้วยกัน หากว่าเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เกรงว่าคงต้องตระหนกจนฉี่ราดไปนานแล้ว

 

 

ตู๋กูซิงหลันเลือกที่จะละเลยทั้งสองทิ้งไปเสีย ในสายตาของนางมีแต่สิ่งของที่ร่วมกลบฝังและแผนที่ดวงดาราเท่านั้น

 

 

บนแผนที่ดวงดารา มีดวงดาวสีน้ำเงินที่สวยงามดวงหนึ่ง

 

 

“มันก็เหมือนกับทฤษฎีการเดินทางข้ามเวลาในโลกปัจจุบันใบนั้น เจ้าจะต้องใช้พลังของหยกเปิดอุโมงค์แห่งการเดินทางข้ามเวลาขึ้นมา เพียงแต่ว่าครั้งนี้จุดหมายออกจะอยู่ไกลสักหน่อย” เสินฟางกระซิบเบาๆ ที่ข้างกายนาง “โลงทองแดงหลังนี้ก็จะกลายเป็นพาหนะที่ใช้ในการเคลื่อนย้าย”

 

 

ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ในใจ เป็นอย่างที่นาง…..คาดเอาไว้จริงๆ

 

 

อุโมงค์การเดินทาง….คือการเชื่อมโยงสถานที่ที่แตกต่างกันสองแห่งเข้าด้วยกัน ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนสามารถไปปรากฏตัวขึ้นในอีกสถานที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว

 

 

ในโลกโน้น เมื่อเป็นถึงยอดปรมจารย์นักพรตนางก็เคยใช้อุโมงค์การเดินทางเช่นนี้อยู่หลายครั้ง

 

 

ถึงแม้ว่าโดยหลักการแล้วมันจะเหมือนๆ กัน แต่ว่าที่นี่คือโลกอีกมิติหนึ่งทั้งยุคสมัยและพื้นที่ก็ไม่เหมือนกัน หากว่ามีอะไรผิดเพี้ยนไป ใครก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร

 

 

บนผนังของโลงทองแดง นอกจากดวงดาวสีน้ำเงินที่สวยงามนั้นแล้ว ที่อยู่ใกล้กับพวกนางที่สุดก็คือดวงดาวสีน้ำเงินราวหยดน้ำอีกดวงหนึ่ง ดาวดวงนี้สมควรจะเป็นโลกที่พวกนางอยู่ในตอนนี้

 

 

“โลงทองแดงหลังนี้เป็นผู้ทรงอำนาจผู้หนึ่งจัดสร้างขึ้นมา เดิมทีก็สร้างขึ้นเพื่อใช้สำหรับข้ามอุโมงค์แห่งการเดินทางอยู่แล้ว ขอเพียงเป็นดวงดาวที่ถูกบันทึกเอาไว้ ล้วนสามารถไปถึงได้อย่างแน่นอน” เสินฟางอธิบายด้วยน้ำเสียงลึกลับ “เจ้าเป็นสุดยอดปรมาจารย์นักพรตแห่งโลกปัจจุบัน สมควรจะเข้าใจกับสิ่งนี้ได้”

 

 

“ขอเพียงเจ้ากระตุ้นพลังของหยกสรรพชีวิตออกมา กำหนดเส้นทางระหว่างสองดวงดาวให้สว่างไสวขึ้นมา โลงทองแดงหลังนี้ก็จะส่งพวกเรากลับตามเส้นทางสายนั้น”

 

 

เสินฟางใช้คำว่า ‘พวกเรา’