ตอนที่ 113-2 ไอ้โง่ บรรพบุรุษของเจ้ายังตายตาหลับอีกหรือ

จำนนรักชายาตัวร้าย

“นายท่าน ยังมีอีกไหม จวินจวินหิวจังเลย!”

 

 

เมื่อกลืนกินสิ่งมีชีวิตสีฟ้าระยิบระยับลงไปจนหมด เจ้าไฟบรรลัยกัลป์ก็กลายร่างเป็นโลลิต้าตัวน้อย ทำปากจู๋หน้าตาบ้องแบ๊ว จ้องมองอวี้เฟยเยียนตาเขม็ง

 

 

“จวินจวินยังจะกินอีกหรือ!”

 

 

อวี้เฟยเยียนนึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าไฟบรรลัยกัลป์จะสามารถขจัดเจ้าไวรัสนี้ได้จริงๆ เดิมทีแล้วนางมิได้คาดหวังเอาไว้มากเท่าไรนัก แต่ผลที่ออกมากลับเกินความคาดหมาย

 

 

นางได้เจ้าไฟบรรลัยกัลป์มาโดยมิได้ตั้งใจ ตั้งแต่แรกจนกระทั่งถึงตอนนี้อวี้เฟยเยียนก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าเจ้าเปลวไฟน้อยดวงนี้มีประโยชน์อย่างไร

 

 

ซึ่งถึงตอนนี้ ยังคงเป็นปริศนาอยู่เลย

 

 

แต่มันก็มักจะนำมาซึ่งความประหลาดใจให้แก่นางอยู่เสมอ!

 

 

“จวินจวิน เจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก!”

 

 

อวี้เฟเยียนออกปากชื่นชมเจ้าไฟบรรลัยกัลป์อย่างเต็มที่

 

 

เมื่อได้รับคำชื่นชมจากเจ้านาย เจ้าโลลิต้าน้อยก็ดีใจเป็นที่สุด

 

 

“นายท่าน ท่านต้องชมข้าให้มากๆ นะ เร็วเข้า ชมข้าอีกที!”

 

 

แสงระยับสีน้ำเงินที่แก้มทั้งสองข้างของเจ้าโลลิต้าน้อยวาวแสงมากยิ่งขึ้น แววตาเต็มไปด้วยคามคาดหวังรอคอย ราวกับกำลังบอกว่ารีบชื่นชมข้าอีกเร็ว เร็วเข้าสิ!

 

 

มาเจอกบเจ้าโลลิต้าน้อยที่ยังมีนิสัยราวกับเด็กๆ อวี้เฟยเยียนก็ยิ้มจนตาหนีแล้วกล่าวต่ออีกว่า

 

 

“จวินจวินของข้ายอดเยี่ยมที่สุดเลย! ถึงเจ้าจะอายุยังน้อย! แต่ก็ทำงานไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้ง และทุกครั้งสามารถทำภารกิจได้สำเร็จลุล่วง ยอดเยี่ยมที่สุดเลย!”

 

 

“อื้มๆ ! ข้ายอดเยี่ยมที่สุดเลย!”

 

 

มันตื่นเต้นดีใจจนถึงกระทั่งที่ว่า ‘พรึ่บ’ กลายร่างเป็นลูกไฟพุ่งเข้าสู่อ้อมอกของอวี้เฟยเยียน

 

 

“จวินจวินชอบนายท่านที่สุดเลย! ได้ทำงานรับใช้นายท่าน นับเป็นเกียรติของจวินจวิน! จวินจวินรักนายท่าน!”

 

 

เจ้าไฟบรรลัยกัลป์ตัวน้อยทำราวกับเป็นเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้นซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา

 

 

“จวินจวินจะอยู่กับนายท่านตลอดไป!”

 

 

เมื่อมีตัวอย่างที่สามารถกำจัดไวรัสจนสำเร็จแล้ว อวี้เฟยเยียนก็นำเจ้าไฟบรรลัยกัลป์เข้าสู่ร่างของคนอีกคน ส่วนหมอเทวดาฮั่วก็เริ่มจับตาดูวิธีการช่วยรักษาผู้ป่วยของอวี้เฟยเยียน

 

 

“เทพ! เป็นเทพไปแล้ว!”

 

 

หมอเทวดาฮั่วเพ้อขึ้นไม่หยุดเมื่อเห็น คนป่วยนอกจากร่างกายจะแข็งแรงขึ้นเนื่องจากอาการเจ็บป่วยก็ได้ถูกขจัดออกไป จนถึงกระทั่งที่ว่าร่างกายค่อยๆ รักษาตัวเองได้

 

 

นี่มันกาฬโรคนะ!

 

 

อาศัยเวลาในขณะที่เจ้าไฟบรรลัยกัลป์กำลังกลืนกลิ้นไวรัสตัวร้ายอยู่นั้น อวี้เฟยเยียนจึงถือโอกาสสั่งยา แล้วเชิญให้หมอเทวดาฮั่วไปจัดเตรียม

 

 

ถึงแม้ว่าไวรัสในร่างกายของผู้ป่วยจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่ลมปราณของเขาก็บอบช้ำอย่างหนัก หากจะฟื้นฟูร่างกายกลับมาเป็นปกติได้ จึงต้องการการดูแลรักษาร่างกายเป็นอย่างดีซึ่งพวกเขาจะนิ่งนอนใจไม่ได้เลย

 

 

ในขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังรักษาคนอยู่นั่นเอง ตี้อู่เฉินก็ถูกส่งมาที่หน้าหอคืนชีพ

 

 

เมื่อครู่เขาเดินสำรวจโดยรอบ พบว่าต้าโจวจัดการเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งนัก กองกำลังทหารได้เข้าปิดล้อมโดยรอบหอคืนชีพเอาไว้แล้ว มีทหารรักษาการณ์อยู่ด้านหน้า ไม่ให้ใครเข้าออกได้

 

 

ตี้อู่เฉินแอบสืบข่าว ถึงได้รู้ว่าที่นี่ถูกจัดให้เป็นพื้นที่กักกันโรคระบาด

 

 

อีกทั้ง นี่เป็นความคิดของอวี้หลัวช่า

 

 

ภายในเวลาอันสั้น อวี้หลัวช่าก็ทำการวินิจฉัยได้ถูกต้อง นางช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก!

 

 

แต่ว่า เพียงแค่แยกผู้ที่ได้รับเชื้อออกมายังไม่เพียงพอ ยังห่างไกลความสำเร็จอยู่อีกมากนัก!

 

 

จนกระทั่งตี้อู่เฉินได้เห็นทหารไล่แจกจ่ายวิธีการป้องกันและรักษาไปตามแต่ละบ้านนั่นเอง ตี้อู่เฉินก็ไม่มีท่าทีล้อเล่นอีกต่อไป สีหน้าท่าทางของเขาแปรเปลี่ยนไปทั้งตื่นเต้นและตื่นตระหนก

 

 

อวี้หลัวช่าไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ ด้วย!

 

 

สามารถหาวิธีการรับมือกาฬโรคหนูได้อย่างถูกต้องภายในระยะเวลาอันสั้น สมคำเล่าลือจริงๆ

 

 

นึกไม่ถึงเลยว่าบนแผ่นดินชั้นต่ำเช่นนี้ จะมีบัณฑิตดำรงอยู่!

 

 

เห็นที การมาแผ่นดินหลัวอวี่ในครั้งนี้ของเขาถูกต้องยิ่งนัก!

 

 

ตี้อู่เฉินทิ้งเรื่องแก้แค้นของตี้อู่หงเยี่ยเอาไว้เบื้องหลัง เพราะอวี้หลัวช่าดึงดูดความสนใจของเขาอย่างแรงกล้า

 

 

เขามั่นใจได้เลยว่า อวี้หลัวช่าต้องพบเจอกับสิ่งวิเศษ จึงได้เปลี่ยนเป็นเก่งกาจถึงเพียงนี้

 

 

เช่นนั้น เลือดของนางจะต้องหอมหวานยิ่งกว่าเลือดของตี้อู่เฮ่ออีเป็นไหนๆ…

 

 

หากต้องการจะเข้าไปในเขตโรคติดต่อ มีทางเดียวนั่นก็คือได้รับเชื้อโรคมา ดังนั้นตี้อู่เฉินจึงจงใจให้หนูกัดเสียหนึ่งแผล ถึงได้ผ่านเข้ามาถึงเขตโรคติดต่อ เข้ามาในหอคืนชีพได้

 

 

เงยหน้ามองดูป้ายชื่อหอคืนชีพ ตี้อู่เฉินก็ยิ้มร้าย

 

 

หอคืนชีพ!

 

 

วาจาสามหาวยิ่งนัก

 

 

คิดว่าตนเองคือเทพโอสถ สามารถยื้อชีวิตคนกลับมาจากเงื้อมมือมัจจุราชได้อย่างนั้นหรือ

 

 

จะหลงตัวเองไปหน่อยแล้วกระมัง!

 

 

อีกสักครู่ก็จะได้พบกับอวี้หลัวช่าแล้ว ดังนั้นเลือดลมในกายของตี้อู่เฉินจึงแล่นพล่าน

 

 

ได้ยินมาว่าอวี้หลัวช่างดงามหยาดฟ้ามาดิน ก็ไม่รู้สินะว่านางจะงามสักเพียงใด

 

 

สุ่ยเย่ว์เอ๋อร์คือสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองอู๋โยว คำเล่าลือเกี่ยวกับอวี้หลัวช่าสูงส่งเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเทียบกับสุ่ยเยว่แล้ว จะห่างชั้นอยู่เท่าไหร่กัน

 

 

เป็นหมอ ทั้งยังเป็นหญิงงามอีกด้วย เพียงแค่คิดก็ทำให้จิตใจของเขาตื่นตัวแล้ว

 

 

เมื่อนึกถึงหมอหญิงคนงาม ที่เขาจะได้ดูดกินเลือดของนาง ได้ย่ำยีนาง ตี้อู่เฉินก็รู้สึกลำคอแห้งผาก อยากที่จะพบหน้าอวี้หลัวช่าเสียตอนนี้เลย

 

 

เดิมทีเขาคิดเอาไว้ว่ารอให้เสร็จเรื่องก่อน แล้วหลังจากนั้นเขาจะค่อยๆ ลองลิ้มชิมรสองค์หญิงแห่งอาณาจักรเสวี่ย อูลู่ลู่เสียหน่อย นึกไม่ถึงว่าซย่าโหฉิงเทียนเจ้าคนไม่รู้จักอ่อนโยนกับสตรีคนงามเสียบ้าง ทำร้ายจนคนงามกลายเป็นคนพิการ อั้นปัสสาวะอั้นอุจจาระไม่อยู่

 

 

เช่นนั้น ในตอนนี้เขาจึงต้องเปลี่ยนเป้าหมายแล้ว!

 

 

“อวี้หลัวช่า ข้ามาแล้ว!”

 

 

ตี้อู่เฉินยังมิทันก้าวเท้าเข้าไปในหอคืนชีพ ก็ได้ยินเสียงคำรามดังกึกก้องขึ้นมาเสียก่อน

 

 

โฮ่ง…บรู๊ว…

 

 

วินาทีถัดมา ตี้อู่เฉินก็ถูกแรงมหาศาลกระโจนเข้าใส่จนล้มไปลบพื้น ฟันของเขากระแทกเข้ากับขั้นบันไดหิน จนหลุดกระเด็นออกมาพร้อมกับเลือดกบปาก

 

 

“ไอ้เวร ใครกัน”

 

 

ตี้อู่เฉินประคองเอวที่แทบหักของตนเองเพื่อที่จะลุกขึ้นอย่างยากลำบาก

 

 

“ไอ้โง่ เจ้าว่าใครกัน”

 

 

เงามืดก้อนใหญ่ โอบล้อมตี้อู่เฉินเอาไว้

 

 

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไป ก็พบกับหัวของสุนัขขนาดใหญ่ ดวงตาทั้งสองข้างของมันมีขนาดใหญ่ราวระฆังเหล็ก กำลังจ้องถมึงทึงมาที่เขา ทำเอาตี้อู่เฉินตกใจจนต้องถอยร่นลงไปด้านหลังสองสามก้าว

 

 

ในตอนนั้นเอง ตี้อู่เฉินถึงได้มองเห็นชัดเจนว่าสัตว์ขนาดมหึมาที่อยู่เบื้องหน้าของตนเองนั้นก็คือสัตว์เลี้ยงของซย่าโหวฉิงเทียน…เจ้าสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่ทำให้คนหวาดกลัวโดยไม่เจตนานั่นเอง

 

 

“เจ้าโง่ ข้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ”

 

 

“เมื่อครู่เจ้าด่าใคร”

 

 

หานจื่อไม่สนใจหรอกว่าตี้อู่เฉินจะพยักหน้าค้อมตัวจนแทบจะติดพื้นอยู่แล้ว หูของมันดีเยี่ยมนักแล!

 

 

ตี้อู่เฉินไม่เข้าในภาษาสัตว์ของหานจื่อ แล้วถูกหมาดำตัวใหญ่หาเรื่องเข้าเช่นนี้ ทำเอาเขาแทบจะร้องไห้ออกมาทีเดียว!

 

 

เมื่อครั้งก่อนหน้านี้ ที่ประตูเมือง หานจื่อยังกินคน ‘กร๊วบๆ ’ ไปตั้งสองสามคนเชียวนะ

 

 

ตอนนี้ตี้อู่เฉินออกมาข้างนอก เก็บเฉินฉู่เอาไว้ที่บ้าน ตอนนี้ข้างกายของเขาจึงไม่มีลูกมือเลยสักคน หากหานจื่อเข้ามาขย้ำเขาละก็ เห็นทีคอของเขาจะไม่แข็งเท่าความคมกริบของฟันของมันนะสิ

 

 

“ขอโทษด้วย ที่ขวางทางเจ้า ข้าจะหลีกทางไปเดี๋ยวนี้ หลีกทางไปเดี๋ยวนี้…”

 

 

ในขณะที่กล่าว ตี้อู่เฉินก็ขยับร่างเข้าไปในหอคืนชีพมากขึ้น

 

 

เขายังมิอยากจะไปหาเรื่องเจ้าสุนัขสีดำยักษ์ตัวนี้หรอกนะ ยิ่งไม่อยากกลายเป็นอาหารของมันด้วย

 

 

อีกอย่าง เจ้าสุนัขตัวนี้อยู่ที่นี่ นั่นก็หมายความว่าซย่าโหวฉิงเทียนอาจจะอยู่แถวนี้มิใช่หรือ

 

 

ถึงแม้ว่าตี้อู่เฉินจะมั่นใจในวิชาแพทย์ของตนเองเป็นอย่างมาก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักจะรู้สึกว่ารอบกายของซย่าโหวฉิงเทียนมักจะมีรัศมีความน่ากลัวบางอย่างแผ่กระจายออกมา ทำให้คนต้องเคารพนอบน้อมอยู่ห่างๆ

 

 

“อย่าเปลี่ยนเรื่อง เจ้าโง่”

 

 

“เมื่อครู่เจ้ากำลังไต่ถามสารทุกข์สุกดิบข้ามิใช่หรือ”

 

 

ในเมื่อเจ้ามีมารยาทเช่นนี้ หากข้าไม่ตอบรับด้วยมารยาท ก็คงจะเสียแรงที่นายท่านสู้อุตส่าห์อบรมสั่งสอนมานะสิ!

 

 

หานจื่อกางอุ้งมือกวาดไปมาเพียงเบาๆ ก็ตวัดเอาตี้อู่เฉินปลิวจากปากประตูออกไปด้านนอกประตูเลยทีเดียว

 

 

“เจ้าโง่ บรรพบุรุษของเจ้ายังตายตาหลับอยู่หรือ”

 

 

“หลุมศพบรรพชนของเจ้ายังอยู่ดีหรือเปล่า”

 

 

แล้วโคตรเหง้าตระกูลสิบชั่วโคตรของเจ้าพวกเขายังตายตาหลับอยู่หรือเปล่า

 

 

หานจื่อทำราวกับตี้อู่เฉินเป็นลูกชิ้นเนื้อก็ไม่ปาน ใช้กรงเล็บปัดไปปัดมาบนร่างของเขาอย่างแผ่วเบา

 

 

ตี้อู่เฉินที่น่าสงสาร ยังคิดที่จะสืบข่าวคราวของอวี้หลัวช่าจากหอคืนชีพให้มากขึ้นไปอีก แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าเขาจะถูกเจ้าสุนัขสีดำตัวใหญ่จับตัวเอาไว้แล้วเล่นราวเป็นของเล่นอยู่ที่หน้าประตู

 

 

“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!”