ตอนที่ 113-1 ไอ้โง่ บรรพบุรุษของเจ้ายังตายตาหลับอีกหรือ

จำนนรักชายาตัวร้าย

มังกรเขียว เสือขาว หงส์ไฟ เต่าดำ

 

 

เขาเพิ่งจะมั่นใจอยู่สองคน

 

 

บางส่วนวรยุทธ์ยังอ่อนหัดเกินไป ไม่ได้การแล้ว!

 

 

พวกที่วรยุทธ์ล้ำเลิศ แต่ก็ยังพึ่งพาไม่ได้ก็ไม่ได้!

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เหลียนจิ่นก็เหลือบสายตามองไปที่มั่วซางที่อยู่ข้างกายครู่หนึ่ง หมอนี่ก็ไม่เลว แต่จิตใจยังไม่นิ่ง…

 

 

เส้นทางในภายภาคหน้ายังอีกยาวไกลนัก!

 

 

“หืม”

 

 

รู้สึกถึงสายตาที่แปลกออกไปของเหลียนจิ่นที่มองมา มั่วซางจึงเหลือบมองมาที่เขา

 

 

“เสี่ยวโม่ เจ้าดูสิ นางฝึกเพียงไม่นานก็สำเร็จขั้นปรมาจารย์แล้ว แต่เจ้ากลับวนเวียนอยู่ไม่สำเร็จปรมาจารย์สักที หรือว่าแม้แต่หญิงสาวเจ้าก็สู้ไม่ได้”

 

 

เหลียนจิ่นยิ้มบางๆ ในขณะที่กล่าว แต่คำพูดที่กล่าวออกมานั้นกลับจี้ใจดำของมั่วซางอย่างที่สุด

 

 

ซึ่งก็จริงดั่งที่คาด เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าเย็นชาของมั่วซางก็ยิ่งเข้มขึ้น

 

 

“เฮอะ!”

 

 

เหลียนจิ่นชื่นชมคนอื่น แน่นอนว่ามั่วซางย่อมไม่ยินยอม

 

 

“เจ้าไม่ยอมรับก็ไม่มีประโยชน์ อีกไม่นานข้าจะไม่เยี่ยมชมเมืองอู๋โยวสักหน่อย หากว่าเจ้ายังไม่สำเร็จปรมาจารย์ ก็คงจะคุ้มครองข้าไม่ได้ ได้ยินว่าสตรีที่แข็งแกร่งแห่งเมืองอู๋โยวชอบที่จะแก่งแย่งหนุ่มชาวบ้านมากที่สุด ข้าไปอย่างนี้จะถูกพวกนางแย่งไปหรือเปล่านะ!”

 

 

“ดี!”

 

 

ความหมายของมั่วซางมิใช่ว่าเหลียนจิ่นโดนแย่งไปเสียก็ดี

 

 

แต่เขากำลังสื่อความหมายว่า ‘ได้ ข้าจะพยายามทำให้สำเร็จ’

 

 

หากมิใช่เหลียนจิ่นอยู่กับมั่วซางมาเป็นเวลานานแล้วละก็ คำพูดของมั่วซางที่มักจะเปล่งออกมาเฉพาะส่วนที่สำคัญเช่นนี้ คงไม่มีใครเข้าใจเป็นแน่

 

 

“เสี่ยวโม่ เช่นนั้นข้าจะรอดูผลงานของเจ้านะ!”

 

 

เหลือบมองเส้นเลือดที่หลังมือของมั่วซางบนมือที่กำลังกำแน่นของเขา เหลียนจิ่นก็ยิ้มออกมาอย่างร่าเริง

 

 

ถูกเอาไปเปรียบเทียบว่าด้อยกว่าผู้หญิง เป็นสิ่งที่มั่วซางมิอาจยอมรับได้ เห็นทีช่วงเวลาต่อจากนี้ มั่วซางคงจะกลายเป็นไอ้บ้าสักพัก หากไม่จี้จุดเขาละก็ เขาก็ไม่มีวันสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่กำคืนคลานเข้ามาหรอก

 

 

“เสี่ยวโม่ ขอโทษด้วยนะ!”

 

 

นั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง เชียนเยี่ยเสวี่ยถึงได้รู้สึกตัวว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น นี่นางถึงกับสำเร็จข้ามขั้นเป็นปรมาจารย์

 

 

เกินความคาดหมายยิ่งนัก

 

 

เพียงแต่ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยในตอนนี้ร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ราวกับว่าร่างกายถูกสูบพลังออกไปจนหมดสิ้นอย่างไรอย่างนั้น วรยุทธ์ก้าวหน้าไป แต่ร่างกายกลับกำลังตามไม่ทัน เห็นทีต่อไปคงจะต้องหาเวลาฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงเสียแล้ว

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยลากสังขารของตนเองเข้าไปในห้องก็เห็นตี้อู่เฮ่ออียังคงไม่ได้สติ

 

 

ใบหน้าของเขาซีดขาว เบ้าตากลวงโบ๋ ตี้อู่เฮ่ออีที่เดิมทีผอมแห้งแรงน้อยอยู่แล้ว ในตอนนี้กลับยิ่งผ่ายผอมราวกับไม้เสียบผี

 

 

“เจ้าทึ่ม…”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยยอมรับว่า ในตอนที่นางเห็นตี้อู่เฮ่ออีในสภาพปางตายเช่นนั้น หัวใจของนางเจ็บปวดเหลือเกิน ราวกับว่าได้สูญเสียคนสำคัญในชีวิตไปก็ไม่ปาน

 

 

นางสูญเสียเสด็จแม่ไปคนหนึ่งแล้ว นางไม่อยากสูญเสียเขาไปอีก

 

 

“เจ้าทึ่ม เจ้าต้องรีบหายดีนะ! รอให้เจ้าหายดีแล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้า ลองทำความรู้จักกับเจ้า!”

 

 

นิ้วมือของตี้อู่เฮ่ออีที่วางอยู่ใต้ผ้าห่มกระดิกสองสามครั้ง

 

 

เพียงแต่ถูกผ้าห่มปกคลุมเอาไว้ ทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยมิทันได้เห็น

 

 

เมื่อไตร่ตรองได้ว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย มั่วซางจึงแบกตี้อู่เฮ่ออีขึ้นหลังใส่รถม้าพร้อมกับเชียนเยี่ยเสวี่ยและเหลียนจิ่นติดตามไปด้วย มุ่งหน้าเรือนอ้ายเหลียน จวนสกุลเหลียน

 

 

ส่วนอวี้เฟยเยียนกำลังรักษาผู้ป่วยอยู่ที่หอคืนชีพ

 

 

ที่หอคืนชีพได้จำแนกผู้ป่วยออกเป็นสามระดับ นั่นก็คือระดับติดเชื้อเล็กน้อย ติดเชื้อระดับกลาง ติดเชื้อหนัก

 

 

และแพทย์ทั้งหมดของหอคืนชีพจะต้องสวมใส่ผ้าปิดปาก ถุงมือ และชุดอุปกรณ์ป้องกัน ตามข้อกำหนดของอวี้เฟยเยียน

 

 

เซวียจื่ออี๋เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ดังนั้นจึงออกอาการทั้งตื่นตระหนกและกระตือรือร้น แต่ที่เป็นมากที่สุดเห็นจะเป็นสงสัยใคร่รู้

 

 

ส่วนแพทย์คนอื่นๆ จากหอราชาโอสถที่อายุยังน้อยก็กำลังรู้สึกเฉกเช่นเดียวกันกับเซวียจื่ออี๋ พวกเขาก็เพิ่งได้พบกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก ก็ได้มีโอกาสได้เรียนรู้วิธีรักษากาฬโรคจากใต้เท้าอวี้หลัวช่า นับเป็นวาสนาของพวกเขาโดยแท้

 

 

หมอที่มาจากหอราชาโอสถถูกจัดให้ไปต้มยาให้กับผู้ป่วยระดับต้นและกลาง

 

 

ส่วนผู้ป่วยหนักจะมีอวี้เฟยเยียนและหมอเทวดาฮั่วคอยรับมือ

 

 

ถึงแม้หมอเทวดาจะอายุอานามปูนนี้แล้ว ผ่านลมฝนผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มาก แต่กาฬโรคจากหนูนี้ เป็นหายนะที่น่าปวดหัวมากที่สุด

 

 

หากเป็นหมอเทวดาฮั่วเผชิญหน้ากับกาฬโรคหนูในครั้งนี้เพียงคนเดียวก็คงทำได้เพียงป้องกัน มิให้โรคร้ายแพร่กระจายออกไปในวงกว้างเท่านั้น ไม่สามารถกำจัดที่ต้นตอได้

 

 

ยิ่งกว่านั้นหายนะกาฬโรคที่เข้ามาโจมตีในครั้งนี้ แตกต่างจากที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก เมื่อรู้ว่ากาฬโรคหนูในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับชาวอาณาจักรเสวี่ย หมอเทวดาฮั่วก็โกรธจนแทบเต้น

 

 

“สารเลว! เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา! พวกมันไม่ละอายแก่ใจบ้างเลยหรืออย่างไรกัน!”

 

 

“ท่านหมอฮั่ว ใจเย็นไว้ก่อนนะคะ!”

 

 

อวี้เฟยเยียนนับจำนวนผู้ติดเชื้อขั้นหนัก ยังดีที่มีจำนวนไม่มาก มีเพียงสี่คน ซึ่งที่นี่ได้ถูกตัดขาดจากพื้นที่อื่นแล้ว เพราะตอนนี้พวกเขากลายเป็นจุดแพร่กระจายโรค ดังนั้นจึงต้องตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างเด็ดขาด

 

 

“ใจเย็นบ้าอะไรกัน! คนพวกนี้ควรจะจับมันมา เอาไฟเผาทรมานมัน! เผาให้ตาย!”

 

 

หมอเทวดาฮั่วโกรธจนควันออกหูดวงตาปูดโปน เขาเติบโตขึ้นที่หอราชาโอสถ ใช้การช่วยรักษาชีวิตผู้คนเป็นดั่งข้อปฏิบัติในการดำเนินชีวิตและหน้าที่ความรับผิดชอบ!

 

 

ไฟหรือ

 

 

คำพูดของหมอเทวดาฮั่ว ทำให้อวี้เฟยเยียนฉุกคิดขึ้นมาได้

 

 

ที่นี่ ไม่มีอุปกรณ์เครื่องมือใดๆ ที่จะมาตรวจสอบ ไม่มียาฆ่าเชื้อสเตรปโตมัยซิน ไม่มีเจนตามัยซิน เตตราไซคลีนและคลอแรมเฟนิคอล ไม่มีเลยสักอย่าง หากว่าใช้เพียงแค่ยาจีนรักษาละก็ จะต้องใช้เวลานาน เห็นผลช้า สิ่งที่พวกเขาต้องทำในตอนนี้ก็คือทำงานแข่งกับเวลา

 

 

บางที อาจจะสามารถลองใช้ไฟดู

 

 

ยิ่งคิด อวี้เฟยเยียนก็ยิ่งมั่นใจ

 

 

เจ้าไฟบรรลัยกัลป์ที่เดิมทีนิทราอยู่ในร่างของอวี้เฟยเยียนรับรู้ได้ถึงความคิดของอวี้เฟยเยียน มันจึงค่อยๆ ตื่นขึ้น

 

 

“นายท่าน จวินจวินมาแล้ว!”

 

 

คราวนี้เจ้าโลลิต้าน้อยชุดสีเขียวสดชื่นกระปรี้กระเปร่า พลังเต็มเปี่ยม มันกำลังล่องลอยไปมาในจิตวิญญาณของอวี้เฟยเยียน

 

 

“ที่ใดต้องการจวินจวินทำ ขอนายท่านสั่งการมาได้เลย!”

 

 

การตื่นขึ้นของไฟบรรลัยกัลป์ยิ่งทำให้อวี้เฟยเยียนอยากลองปฏิบัติตามในสิ่งที่คิดเอาไว้เข้าไปใหญ่

 

 

นางเดินมายืนอยู่ข้างกายของคนป่วยผู้หนึ่ง ใช้หนังแกะปูรอง แล้ววางมือลงบนข้อมือของอีกฝ่าย

 

 

“จวินจวิน เข้าไปในร่างของเขา! ไปสิ…”

 

 

อวี้เฟยเยียนปลดปล่อยพลังวิเศษออกมาหลอมรวมเข้ากับดวงไฟบรรลัยกัลป์เข้าสู่ร่างของคนผู้นั้น

 

 

ในร่างของเขาเต็มไปดวงสิ่งมีชีวิตสีฟ้าเป็นดวงๆ กระจายอยู่โดยทั่ว แตกต่างจากคนปกติโดยสิ้นเชิง ซึ่งเจ้าสิ่งมีชีวิตสีน้ำเงินนั้นแพร่กระจายออกจากบาดแผลในตำแหน่งที่ถูกหนูกัดออกไปด้านนอก ซึ่งมันครอบครองร่างของชายผู้นี้กว่าแปดในสิบส่วน

 

 

“จวินจวิน เผามันให้ตาย! อย่าให้รอดแม้แต่ตัวเดียว!”

 

 

ถึงแม้การกระทำเช่นนี้จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ แต่ความรู้สึกของอวี้เฟยเยียนกำลังบอกว่า สมควรที่จะกระทำ

 

 

เมื่อได้รับคำสั่งจากอวี้เฟยเยียน โลลิต้าน้อยในชุดสีเขียวก็กลายร่างเป็นลูกไฟวาววับขนาดเท่ากำปั้น ไหลกลิ้งไปในร่างของชายผู้นั้น

 

 

ฟู่ๆ !

 

 

เจ้าลูกไฟไล่กัดกินสิ่งมีชีวิตสีน้ำเงินเป็นดวงๆ นั้นลงไป ทุกครั้งที่กินมันเข้าไปก็จะปล่อยเปลวไฟสีทองออกมาระเบิดมันไปด้วย จนเกิดเป็นเสียง ‘เปรี๊ยะ’

 

 

“อร่อยจังเลย!”

 

 

เจ้าไฟบรรลัยกัลป์ไล่งับมันอย่างเปรมปรีดิ์ ทั้งยังพ่นลูกไฟออกมาด้วยความสนุกสนาน

 

 

เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนอยู่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน หมอเทวดาฮั่วก็เดินเข้ามาเฝ้าดูนางเอาไว้ ด้วยรู้ดีว่านางมีความลับมากมาย เห็นนางเงียบลงไปเป็นเวลานานโดยมิได้เอ่ยอะไรออกมากเลย จึงแน่ใจว่านางคงจะกำลังแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการของตนเองอยู่

 

 

เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ หมอเทวดาฮั่วก็ต้องแปลกใจเพราะพบว่า ผู้ป่วยที่เมื่อครู่เหงื่อออกทั่วร่าง ใบหน้ากลับมาแลดูมีเลือดฝาดราวกับคนปกติ

 

 

ซึ่งคนผู้นี้ หมอเทวดาฮั่วเคยวินิจฉัยไว้แล้วว่าจะต้องตายแน่แล้วอีกด้วย

 

 

นึกไม่ถึงเลยว่าอวี้เฟยเยียนจะช่วยชีวิตเขากลับมาได้!

 

 

ในตอนนั้นแววตาที่หมอเทวดาฮั่วมองดูอวี้เฟยเยียนมิใช่สายตาที่ใช้มองดูเด็กสาวอีกต่อไป แต่มันคือแววตาที่ยอมรับนับถือ

 

 

คลื่นลูกใหม่พัดพาคลื่นลูกเก่า เขาต้องยอมรับว่าอวี้เฟยเยียนกลายเป็นบรมครูไปเสียแล้ว!