ซือหยูถูกทหารทั้งสองพามาจนถึงโถงตำหนักในถึงจะกังวล เขาก็ได้แต่ทำใจเพราะถูกทหารทั้งสองจ้องมองอย่างใกล้ชิด
ถ้าหากม่อเทียนฉวนพยายามใช้พลังกับเขาจริงทางเลือกเดียวของเขาก็คือการหนีออกจากตำหนักโลหิต มันคือทางเดียวที่เขาจะกำจัดทุกปัญหาไปได้ แต่แดนมณีกำลังจะเปิดในอีกไม่นาน ถ้าเขาหนีไปทั้งแบบนี้ เขาจะได้รับการแนะนำจากอสูรเนรมิตรที่ไหนกัน?
เมื่อซือหยูก้าวเข้าไปในโถงเขาพบว่าม่อเทียนฉวนไม่ได้อยู่ที่นี่ มีเพียงสตรีชุดขาวอยู่คนเดียว นางดูอายุราวยี่สิบ ร่างกายของนางสง่างาม ผอมบาง แต่ก็มีส่วนโค้งอันน่ามอง นางสวมชุดขาวบริสุทธิ์ มันมีเสน่ห์อย่างประหลาด
หากมองให้ดีจะพบว่าใบหน้านางงดงามเป็นอย่างมากในหน้าเรียบราวหยกนั้นประกอบไปด้วยเครื่องหน้าที่ได้รับการขัดเกลามาอย่างดี ผิวของนางเรียบเนียนราวกับศิลาประกาย
ซือหยูมองนางอย่างละเอียดและตกใจ
“ปิงหวูชิงทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?”
สตรีผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นปิงหวูชิงแต่เวลาต่อมา ซือหยูก็อุทาน
“เดี๋ยวสิ!เจ้าไม่ใช่ปิงหวูชิง! เจ้าเป็นใครกัน?”
นางเหมือนกับปิงหวูชิงอย่างไม่น่าเชื่อแม้แต่รายละเอียดบนใบหน้าก็เกือบจะเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ราวกับว่าสตรีคนนี้คือร่างปลอมของปิงหวูชิง แต่ซือหยูก็สัมผัสถึงความประหลาดได้จากร่างของนาง มันไม่เหมือนกับปิงหวูชิงผู้เยือกเย็นราวน้ำแข็ง สตรีคนนี้อ่อนโยนราววารี ไม่มีพลังอันคมกริบอยู่รอบกาย ถ้าหากปิงหวูชิงคือเพลิงพิโรธ สตรีคนนี้ย่อมเป็นฝั่งตรงข้าม นางอ่อนโยนดั่งสายน้ำ ความอบอุ่นแผ่ออกจากนางไม่ขาดสาย ความแตกต่างนี้เองที่ทำให้ซือหยูรู้ว่านางไม่ใช่ปิงหวูชิงที่เขารู้จักแต่เขาก็ตกใจในความคล้ายคลึงที่ไม่น่าเชื่อเช่นนี้ มีหลายคนในโลกที่หน้าคล้ายกับคนอื่น แต่แทบจะไม่มีใครที่คล้ายกันถึงเพียงนี้ ซือหยูได้แต่ระแวง
ถ้าหากดูรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียวความละม้ายคล้ายกันระดับนี้เทียบได้กับฝาแฝด แต่ถึงอย่างนั้น แม้แต่รังสีของดวงวิญญาณของทั้งคู่ก็เหมือนกัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลย
เมื่อซือหยูมองนางด้วยเนตรวิญญาณดวงวิญญาณที่เขาเห็นนั้นคือวิญญาณที่เหมือนกับของปิงหวูชิง เท่าที่ซือหยูรู้ คนสองคนไม่อาจมีวิญญาณที่เหมือนกับได้ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เมื่อได้ยินเสียงคนสตรีชุดขาวหันมาช้า ๆ และมองซือหยูด้วยดวงตาสดใส นางพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าคือซือหยูเซี่ยนหรือ?ข้าได้ยินชื่อเจ้ามานานแล้ว”
“เจ้าเป็นใคร?”
ซือหยูถามด้วยความกังวล
“เจ้าตำหนักม่ออยู่ที่ไหน?”
สตรีชุดขาวมองซือหยูอย่างใจเย็นสีหน้าของนางสงบ
“เจ้าตำหนักของข้าเรียกตัวเจ้ามาแต่เป็นข้าที่มารับเจ้า”
เจ้าตำหนักของนางรึ?ซือหยูหลอกตา ม่อเทียนฉวนมีศิษย์เพียงสองคน แบบไม่เป็นทางการหนึ่งคน และผู้สืบทอดตัวจริงอีกคน ซือหยูเคยพบชางก่วนชิงเอ๋อมาแล้ว ส่วนผู้สืบทอดตัวจริงก็คือยอดฝีมือลำดับหนึ่งแห่งตำหนักโลหิตผู้เป็นตำนาน นางชื่อปิงหวูชิงอีกคน
เป็นที่รู้กันว่านางเอาชนะสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งดินแดนพรสวรรค์ได้อย่างง่ายดายนางเป็นผู้ไร้เทียมทานระดับเดียวกับกู้ไทซู
“ปิงหวูชิงรึ?” คิ้วขมวดของซือหยูหายไปเขามองนางด้วยความแปลกใจ เขาคิดมาก่อนแล้วว่าชื่อของปิงหวูชิงที่เขารู้จักกับปิงหวูชิงอีกคนนั้นคล้ายกันจนแปลก เขาไม่คิดเลยว่าแม้แต่หน้าตาของพวกนางจะคล้ายกันด้วย
สตรีชุดขาวยิ้มอย่างสดใส
เป็นนางจริงๆ! ซือหยูมองรอบ ๆ
“เจ้าจะแก้แค้นข้าสินะ?” novel-lucky
เขาถาม
ตอนที่อาจารย์พรายจะมอบภารกิจสังหารมั่วหยางให้กับปิงหวูชิงร่างเงาของปิงหวูชิงอีกคนได้ปรากฏขึ้นมาขวางเอาไว้ และแม้แต่อาจารย์พรายที่มีตำแหน่งสูงยังต้องฟังคำสั่งนาง
ถึงกระนั้นซือหยูกลับต่อต้านนางอย่างเปิดเผย
ซือหยูพูดไม่ออกเล็กน้อยในตอนนั้น เขาคิดจะหนีออกจากตำหนักและไม่สนใจในสิ่งที่จะตามมา ใครจะไปคิดเล่าว่าเขาจะต้องกลับมาที่ตำหนักโลหิตอีก?
“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอก”
ปิงหวูชิงพูดด้วยรอยยิ้มนางเดินเข้ามาหาซือหยูด้วยแววตาสดใส
“หากข้าอยากจะทำร้ายเจ้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าคงเป็นอาจารย์ข้าที่จะค้นวิญญาณเจ้าอีกครั้ง”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
ซือหยูเบิกตากว้างหรือว่านางขอให้ม่อเทียนฉวนเลิกล้มความตั้งใจที่จะค้นวิญญาณของเขา?
ไม่ว่าจะอย่างไรทหารสองคนนั้นก็คือคนที่ม่อเทียนฉวนไว้ใจ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะติดสินบนให้ส่งตัวเขามาที่นี่
“เจ้ารู้ว่าข้าพูดอะไรอาจารย์ข้าสงสัยเจ้าและอยากจะค้นวิญญาณดูอีกครั้ง ข้าหยุดนางได้”
ปิงหวูชิงยืนห่างจากซือหยูเพียงสามสิบศอกกลิ่นหอมหวานของนางลอยมาถึงเขา มันราวกับกลิ่นบุพผาในหุบเขาอันสงบสุข ปิงหวูชิงยิ้ม
“แน่นอนว่าข้ายังบอกให้นางค้นวิญญาณเจ้าต่อไปได้เหมือนกัน”
ซือหยูหรี่ตา
“ข้าบริสุทธิ์ข้าไม่เคยกลัวการค้นวิญญาณ”
“ไม่หรอกเจ้าน่ะกลัว”
ปิงหวูชิงดวงตาใสดั่งแก้วซือหยูสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นที่ซ่อนไว้ท่ามกลางความอบอุ่น
“อย่างนั้นรึ?”
ซือหยูถามอย่างเย็นชา
ปิงหวูชิงยิ้มและหยิบม้วนคัมภีร์ออกมากางมันมีภาพของชายหนุ่มผมสีเงินเขียนอยู่ มันดูเหมือนกับชายหนุ่มที่หล่อเหลาเกินมนุษย์ แต่ดูจากรอยแล้ว ภาพนี้น่าจะถูกวาดเมื่อไม่นานมานี้
“ข้าได้ภาพนี้มาจากผู้เฒ่าตำหนักชิงวิญญาณ”
ปิงหวูชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่นที่แฝงเลศนัย
“เจ้าคงอยากจะรู้ว่าผู้เฒ่าคนนั้นอยู่ในตำหนักโลหิตหรือไม่สินะ?”
ซือหยูเบิกตากว้างสิ่งที่เขากังวลที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว พวกนางรู้ตัวจริงของเขา ไอ้ตำหนักชิงวิญญาณบัดซบ!
ซือหยูสีหน้าหม่นหมองแววตาเขาเยือกเย็น
“เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครแต่กลับกล้าขู่ข้างั้นรึ? เจ้าจะไม่มั่นใจไปหน่อยหรือ? เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไร หรือว่าข้าทำอะไรไม่ได้สินะ?”
ปิงหวูชิงเก็บภาพเขียนและยิ้มจางๆ
“ศิษย์น้องซือเจ้าพูดจริงจังเกินไปแล้ว ข้าจะกล้าขู่ดาวดวงใหม่แห่งวิถีอสูรได้อย่างไร? ข้าก็แค่จะมาทำข้อตกลงกับเจ้า”
ซือหยูพูดอย่างเยือกเย็น
“ว่ามา!” ปิงหวูชิงเดินมาหาเขานางหยุดเมื่อห่างจากเขาเพียงศอกเดียว ทั้งสองได้กลิ่นอายของแต่ละคนอย่างชัดเจน
“ไม่มีอะไรมากข้าต้องการเพียงอย่างเดียว…จงเป็นคู่หมั้นของข้าซะ”
ซือหยูผงะเขาพูดอย่างเย็นชา
“เพื่อขวางปิงหวูชิงอีกคนรึ?”
ปิงหวูชิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบาง
“ใช่แล้ว!ข้าต้องการทุกอย่างที่นางมี แม้แต่คู่หมั้นก็ด้วย”
ซือหยูเพียงแค่หัวเราะตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องใส่ใจระหว่างข้ากับนางไม่ได้มีอะไรกัน ข้าไม่ใช่คู่หมั้นนางจริง ๆ ด้วยซ้ำ”
แต่ปิงหวูชิงกลับส่ายหน้า
“ไม่เจ้าไม่เข้าใจปิงหวูชิงอีกคน หากนางจัดสินใจไปแล้วก็ยากที่นางจะกลับคำ นางบอกแล้วว่าเจ้าคือคู่หมั้น นางจะต้องจัดการเรื่องนี้ต่อไป แล้วเจ้าจะได้เป็นคู่หมั้นนางจริงๆ ในอีกไม่นาน”
ซือหยูคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาชายตามองปิงหวูชิง
“แล้วถ้าข้าปฏิเสธเล่า?เจ้าจะทำอะไรข้าได้? หรือว่าตำหนักโลหิตจะหยุดได้ถ้าข้าคิดหนี?”
ถ้าหากเขาคิดหนีก็มีเพียงไม่กี่คนในโลกใบนี้ที่จะหยุดเขาได้แม้ม่อเทียนฉวนมาด้วยตัวเองเขาก็ไม่กลัว
ปิงหวูชิงยังคงใจเย็นเช่นเคยนางพูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าเจ้าอยากหนีใครก็หยุดเจ้าไม่ได้ แต่เจ้าจะเสียสิทธิ์ไปแดนมณี เจ้าคงหาอสูรเนรมิตรที่กล้าแนะนำเจ้าไม่ทันหรอก”
แดนมณี!นางเจ้าเล่ห์จนเขาอึดอัดใจ นางเจอจุดอ่อนของซือหยูในทันที นางพูดถูก เพราะถ้าเขาอยากจะหนี เขาคงหนีไปนานแล้ว เขาอยู่ตำหนักโลหิตจนถึงตอนนี้ก็เพื่อแดนมณี “ว่ายังไง?ทำไมไม่เป็นคู่หมั้นข้าซะล่ะ? ขอแค่เจ้าพยักหน้า ข้าจะสั่งให้คนทำลายตำหนักชิงวิญญาณและสังหารคนที่รู้เรื่องเจ้าให้หมด”
ปิงหวูชิงยิ้มอย่างใจเย็นนางแนะเขาด้วยแนวทางที่โหดร้ายและเต็มไปด้วยเลือด