TB:บทที่ 145 มือปืน
มองดูฮัวหมิงเหรินที่ดูตื่นเต้นราวกับว่าเขาได้เจอขุมสมบัติขุมใหญ่ เฉินหลงวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะข้างกาย
“วันนี้นายได้เป็นลูกศิษย์ของฉันแล้ว อืมม วันนี้นับว่าเป็นวันครูของนายก็แล้วกัน น่าเสียดายที่ฉันไม่มีของขวัญติดไม้ติดมือมาให้นายเลยสักชิ้น แต่ในเมื่อฉันเป็นอาจารย์ของนายแล้ว เอาเป็นว่า ฉันจะสอนเทคนิคที่จำเป็นกับนายเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน และนายก็ต้องตั้งใจฝึกมันให้ดีๆล่ะ ตกลงไหม?” ในตอนที่เฉินหลงพูดถึงการเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์ เขาล่ะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจจริงๆเลย อ่า ให้ตายสิ ชีวิตนี้เขาเคยพูดแบบนี้ที่ไหนล่ะ
เมื่อได้ยินว่าเฉินหลงจะสอนเทคนิคต่างๆให้เขา ฮัวหมิงเหรินรู้สึกดีใจมากจึงกล่าวตอบไปว่า “ขอบคุณครับ! อาจารย์ ผมจะหมั่นฝึกฝนอย่างหนัก ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังเด็ดขาด!”
เฉินหลงเป็นอาจารย์ที่สักวันเขาอยากจะเป็นคนแบบนี้ และตอนนี้เขาก็ได้มีลูกศิษย์ของตัวเอง เมื่ออีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์ของเขาแล้ว เขาก็ต้องขานรับอีกฝ่ายอย่างว่าง่ายและเป็นธรรมชาติมากที่สุด
จากนั้น เฉินหลงก็ได้บอกเคล็ดลับฉบับรวบรัดให้ฮัวหมิงเหรินได้รู้
เคล็ดลับฉบับรวบรัดนี้มีชื่อเรียกว่า ‘ฝังเข็มฟื้นคืนชีพ’ เป็นหนึ่งในเทคนิคการฝังเข็มใน ‘หมื่นวิธีรักษา’ ถ้าวิธีฝังเข็มนี้ถูกใช้อย่างสมบูรณ์ เราก็จะสามารถรักษาคนที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว ให้กลับมาหายใจได้อีกครั้ง
เข็มทั้งหมดที่ต้องใช้ในการฝังเข็มคืนชีพมีทั้งหมด 18 เข็ม การใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ คือตอนที่เข็มทั้ง 18 เข็มถูกฝังเข้าไปที่จุดฝังเข็มทั้ง 18 จุดตามร่างกายของผู้ป่วย นอกจากนี้ คนฝังเข็มจะมีเพียงความเข้าใจในจุดฝังเข็มอย่างเดียวไม่ได้ เขายังต้องใช้เข็มและควบคุมเข็มเงินให้ถูกวิธีอีกด้วย ดังนั้นเฉินหลงจึงบอกการฝังเข็มที่ใช้เข็มแค่ 6 เข็มให้กับฮัวหมิงเหรินแทน ถึงจะไม่ใช่ 18 แต่เป็น 6 เข็ม ตราบใดที่เขาศึกษามัน วิธีฝังเข็มนี้ก็จะสามารถรักษาและกำจัดโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้อย่างมะเร็งและโรคอื่นๆอีกได้
ฮัวหมิงเหรินเป็นคนที่รู้เรื่องแพทย์พอตัว ทันทีที่เขาได้ยินคำว่า ‘เคล็ดลับฉบับรวบรัด’ นี้เข้า เขาก็ได้เข้าใจในทันทีว่าการฝังเข็มชุดนี้จะต้องดีมากแน่ๆ ตราบใดที่เขาศึกษามัน ทักษะด้านการแพทย์ของเขาจะสูงขึ้นแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ฮัวหมิงเหรินจึงพยายามอย่างสุดความสามารถในการใช้สมองจดจำทุกคำทุกประโยคที่เฉินหลงอ่านให้เขาฟัง
ถึงฮัวหมิงเหรินจะชอบทำตัวเป็นเด็กแต่เขาก็มีอายุเกือบ 60 ปีแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ยังยากสำหรับเขาอยู่ดี
หลังจากอ่านเคล็ดลับฉบับรวบรัดเสร็จแล้ว เฉินหลงก็หันไปพูดกับฮัวหมิงเหรินที่กำลังจำวิธีต่างๆอยู่ว่า “ศิษย์เอ๋ย อาจารย์จะออกไปห้องน้ำแล้วจะรีบกลับมาเร็วๆ นายจะอยู่ท่องจำมันที่นี่ก่อนก็ได้นะ ฉันไม่ถือ”
หลังจากใช้เวลาเพื่อทำความคุ้นเคยกับมัน ความรู้สึกอึดอัดของเฉินหลงที่ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์ และเรียกตัวเองว่าอาจารย์ก็เริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
“ตามที่อาจารย์ว่าไว้เลยครับ” ฮัวหมิงเหรินตอบ
ถึงเขาจะอ่านเคล็ดลับฉบับรวบรัดอยู่ แต่เมื่ออาจารย์พูด ผู้เป็นศิษย์ก็ต้องตอบรับโดยธรรมชาติ สิ่งนี้เรียกว่าการเคารพอาจารย์และการให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย
จากนั้นเฉินหลงก็ผลักประตูห้องให้เปิดออกและเดินออกไป
ประตูห้องถัดไปที่ถูกผลักให้เปิดเป็นเวลาเดียวกันที่ เฉินหลงหันหน้าไปมองทางนั้นพอดี จังหวะช่างตรงกันเสียเหลือเกิน คิดไม่ถึงว่าคนๆนี้จะเป็นคนที่เขารู้จักอย่างฟางเต๋าหลิน!
“นาย!”
“นาย!”
เฉินหลงกับฟางเต๋าหลินกล่าวออกมาคำเดียวกันเป๊ะ!
เมื่อเห็นอีกฝ่าย ใบหน้าของเฉินหลงก็ผุดรอยยิ้มออกมา เขากับฟางเต๋าหลินถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ว่าต้องมาเจอหน้ากันที่นี่
และใบหน้าของฟางเต๋าหลินก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมาเหมือนกัน แตกต่างกันที่เป็นของเฉินหลงยิ้มเยาะ แต่ของเขายิ้มแห้ง เพราะตั้งแต่จากกันครั้งล่าสุด ในชีวิตนี้ของฟางเต๋าหลินก็ไม่อยากเห็นหน้าเฉินหลงหรือได้ยินชื่อนี้อีกเลย
โอ้สวรรค์ เป็นเรื่องบังเอิญที่ฟ้าลิขิตให้เราสองได้มาเจอกัน ณ ที่แห่งนี้จริงๆ
เฉินหลงหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็เดินไปเข้าห้องน้ำ
เมื่อเห็นเฉินหลงเดินไปทางห้องน้ำ ฟางเต๋าหลินก็อยากกลับเข้าไปในห้องตัวเองทันที แต่แล้วก็มีความคิดทีสองผุดขึ้นมา เกรงกว่าถ้าทำอย่างนั้นคงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงเดินไปทางห้องน้ำอีกคน
ชายแซ่เฉินไม่ได้ทำอะไรชายแซ่ฟาง และชายแซ่ฟางก็ไม่ได้หาเรื่องชายแซ่เฉิน ด้วยเหตุนี้ในห้องน้ำจึงไม่มีเรื่องวิวาทใดๆเกิดขึ้นทั้งนั้น
เมื่อเฉินหลงกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ฮัวหมิงเหรินยังคงอ่านเคล็ดลับและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย
ฝั่งฟางเต๋าหลินที่กลับเข้าไปในห้อง ได้เอ่ยปากพูดกับทุกคนว่า “นี่ พวกนายรู้ไหม เมื่อกี้ฉันไปเจอใครมา?”
ด้วยรอยยิ้มพิลึกพิลั่นบนใบหน้าของฟางเต๋าหลิน
“นายไปเจอใครมาล่ะ?” ลู่เฟิงกับเตหลีแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาสนใจ
เพราะทั้งชายและหญิงต่างมีหัวใจแห่งการซุปซิบ
“คนที่ทุบรถฉันยังไงล่ะ!” ฟางเต๋าหลินตอบ
“ฮ่าฮ่า! ศัตรูของนายนี่เอง แล้วนายได้สู้กับมันป่ะ?” ลู่เฟิงหันไปมองฟางเต๋าหลินแบบคนที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
“หึ คำตอบของฉันคือ ‘ไม่’ แน่นอน อย่างที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้ไง ตอนนี้เป็นสังคมแห่งสันติยังไงล่ะ เราจะไปชกต่อยกันหรือสู้กันได้ยังไงเล่า?” ฟางเต๋าหลินส่ายหน้า จากนั้นก็หันไปทางลู่เฟิงกับต้วนหนานแล้วกล่าวว่า “แต่เพื่อนลู่กับเพื่อนต้วนเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของฉันก่อนหน้านี้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”
ฟางเต๋าหลินเริ่มปฏิบัติการขุดหลุมให้ลู่เฟิงกับต้วนหนาน ตอนนี้เขาแค่รอดูว่าทั้งสองคนจะกระโดดลงไปยังไง
“ถึงตอนนี้จะเป็นสังคมแห่งสันติ ถึงจะไม่ควรไปรังแกคนอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้คนอื่นมารังแกเราได้นี่ ฉันไม่คิดว่าพวกเราจะอ่อนแอขนาดนั้นนะ เราควรรู้วิธีสู้กลับสิ” ลู่เฟิงตอบในสิ่งที่เขาคิด
ลู่เฟิงรู้ดีว่าคำพูดของฟางเต๋าลินเป็นกับดัก แต่เขาจำเป็นต้องกระโดดลงไป
“ฉันว่าที่เพื่อนลู่พูดมามันก็ถูกนะ ถ้านายอยากรู้วิธีสู้กลับ ฉันขอแนะนำให้นายไปปรึกษาเพื่อนลู่เลย” ในเมื่อตอนนี้ต้วนหนานกับลู่ฟิงลงเรือลำเดียวกันแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาจะสนับสนุนลู่เฟิง
เห็นทั้งสองคนรวมถึงลู่เฟิงที่เสนอตัวเข้ามาในฉากด้วย ฟางเต๋าหลินจึงทำเป็นไม่เข้าใจที่ทั้งสองคนพูด “ถ้างั้นก็รอไปก็แล้วกัน แล้วก็อยู่ห่างๆจากฉันด้วยล่ะ บางทีเขาคนนั้นอาจทุบรถนายเหมือนที่ทำกับฉันก็ได้นะ”
“เหอะ ฉันกลัวตายล่ะ ถ้ามันกล้าทุบรถฉันนะ ฉันจะบีบคอมันให้ตายไปเลย!” ตอนนี้ลู่เฟิงเป็นเหมือนกับไก่ที่เกรี้ยวกราดพร้อมจิกทุกคนที่ขวางหน้าเขา
เนื่องจากเขารู้ว่าปาร์ตี้วันนี้มีคุณเตหลีคนโปรด ลู่เฟิงจึงมอบของขวัญสุดพิเศษอย่างแลมโบกินี่ อเวนทาดอร์ที่เขาโปรดปราน มูลค่ามากกว่าเจ็ดล้านหยวนให้กับเธอ ถ้ารถของเขาถูกไอ้หมอนั่นทุบอีกคน มีหวังลู่เฟิงได้สติแตกแน่
“เพื่อนลู่ สามัคคีและปรองดอง” เห็นท่าทางของลู่เฟิงที่อยากจะเขมือบคนแล้ว ฟางเต๋าหลินจึงรีบรีบกล่าวขึ้น แต่ในใจกลับเบ่งบานไปด้วยช่อแห่งความสุข
ลู่เฟิงยังไม่รู้ตัวว่าอเวนทาดอร์สุดที่รัก ที่ลู่เฟิงเอ่ยถึงเมื่อกี้กำลังจะระเบิด
“นายไม่เห็นจะต้องฆ่าแกงเขาหรอก เอาไว้ฉันจะเป็นคนสั่งสอนมันเองก็แล้วกัน!” ต้วนหนานที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลู่เฟิง คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากลู่เฟิง เดี๋ยวนี้เพื่อสาวสวยกล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมาจริงๆรึนี่? ด้วยเหตุนี้เขาถึงต้องการช่วยอีกฝ่าย
แต่ลู่เฟิงกลับไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากการฆ่าฟันเลยสักนิด “ถ้าเขากล้าแตะรถฉันจริงๆ บทเรียนพรรนั้นกำจัดไฟโทสะของฉันไม่ได้หรอกนะ!”
เห็นท่าทางของลู่เฟิงแล้ว ต้วนหนานก็ยินดีที่จะไม่ปริปากเสนอความคิดเห็นใดๆอีก เหอะ ถ้านายอยากก็บ้า ก็บ้าไปคนเดียวเถอะ ฉันไม่บ้าไปกับนาสหรอกนะจะบอกให้
ในเวลาเดียวกัน ฟางเต๋าหลินลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องอีกรอบ
เขาเดินออกมาจากห้องตัวเองแล้วเดินเข้าไปในห้องเฉินหลงแทน
ในเวลาดียวกัน เฉินหลงกำลังสอนเคล็ดลับให้กับฮัวหมิงเหรินเหมือนอย่างที่เขาทำก่อนหน้านี้ เพราะว่าอีกฝ่ายอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ จึงไม่สามารถจดจำรายละเอียดและเนื้อหาต่างๆได้ดีเท่าคนหนุ่มสาว เป็นธรรมดาที่เขาจะจำไม่ได้ทั้งหมด
“ทำไมนายถึงต้องมาห้องฉันด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะนายอยากให้ฉันจัดการกับนาย?”
“คุณเฉิน อย่าเข้าใจผมผิดสิ ผมมาหาคุณถึงที่นี่ แต่ว่าผมไม่ได้จะทำอะไรไม่ดีนะ ผมแค่อยากขอโทษคุณกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จริงๆนะ ผมหวังว่าคุณจะไม่ถือโทษและให้อภัย” หลังจากพูดจบ ชายแซ่ฟางได้หันหน้าไปมองหมินเหรินที่อยู่ในห้อง
ถึงฟางเต๋าหลินจะรู้จักชื่อของฮัวหมิงเหริน แต่เขาก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายแบบตัวเป็นๆ เขาจึงไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาอีกคนคือฮัวหมิงเหริน
เฉินหลงที่รู้ว่าฟางเต๋าหลินจะพูดอะไรต่อจากนี้ จึงมองหน้าอีกฝ่ายเงียบๆแล้วปล่อยให้เขาพูดต่อให้จบ
“คุณเฉิน วันนี้ผมมาทานอาหารเย็นกับเพื่อนๆ แล้วผมก็เล่าเรื่องเข้าใจผิดระหว่างเราให้พวกเขาฟัง พวกเขาบอกว่าถ้าคุณปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา พวกเขาจะจัดการคุณให้ถึงตาย ผมลองเกลี้ยกล่อมพวกเขาดูแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ ผมก็เลยมาเตือนคุณ ถ้าเป็นไปได้ ทำไมคุณไม่เป็นฝ่ายลงมือก่อนพวกเขาล่ะครับ?” ฟางเต๋าหลินพูดต่อจนจบ
หลังจากจ้องตากับฟางเต๋าหลินอยู่ครู่หนึ่ง เฉินหลงคลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับถามเขา “หึ แล้วนายล่ะ อยากยิงฉันให้ตายไปเลยไหม?”
ผิดแล้ว ในสายตาของเฉินหลง คนอย่างฟางเต๋าหลินต้องการหลอกใช้เขาต่างหากล่ะ!