TB:บทที่ 146 การยุยง

เมื่อได้ฟังคำพูดของเฉินหลงแล้ว สีหน้าของฟางเต๋าหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อย “คุณเฉิน เมื่อกี้ที่ผมพูดแบบนั้นออกไป เป็นเพราะผมไม่อยากให้คุณมีปัญหากับใครจริงๆนะครับ”

“เฮ้อ คุณบอกผมมาเถอะว่าคุณต้องการทำอะไรกันแน่ อย่าทำตัวเจ้าเล่ห์ไปหน่อยเลย คุณดูไม่เหมือนคนประเภทนั้นเลยนะ” เฉินหลงมองฟางเต๋าหลินด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร

เห็นได้ชัดว่าฟางเต๋าหลินมีน้ำเน่าอยู่ไม่น้อย แถมยังแสร้งทำว่า ‘ฉันเป็นคนดี’ อีก เหอะ เฉินหลงล่ะเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด

 

“ก็ได้ครับ ถ้าจะให้ผมพูดตามตรงก็คือ เพื่อนๆของผมคุยกันว่า คุณไม่กล้าทุบรถพวกเขาหรอก ถ้าคุณกล้าทำอย่างนั้นจริงๆ พวกเขาจะฆ่าคุณให้ตาย ผมแค่อยากถามคุณว่า คุณกล้าทุบรถพวกเขาไหมล่ะครับ?” ฟางเต๋าหลินรู้ดีว่าไม่มีทางอ้อมค้อมได้ มีแต่ต้องเล่นไปตามเกมเท่านั้น

“เฮ้ ผมไม่ได้เป็นพวกโรคจิตสักหน่อย ทำไมผมถึงต้องอยากทุบรถพวกเขาด้วยล่ะ คุณไม่กลัวว่าเพื่อนของตัวเองจะร้องเรียนหรือเสียใจเลยรึไง? ครั้งล่าสุดก็เป็นคุณที่หาเรื่องเอง แถมยังบังคับให้ผมทุบอีก สุดท้ายผมก็เลยต้องทุบมัน เฮ้อ…” เฉินหลงกล่าวพรางเว้นจังหวะเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่อว่า “แล้วก็ขอบอกเอาไว้อีกอย่าง คุณไม่ต้องหาลูกไม้อะไรมายั่วยุผมเลยนะ เพราะมันใช้กับผมไม่ได้ผลเลย”

 

จากนั้นเฉินหลงก็จ้องหน้าฟางเต๋าหลินโดยมีคำว่า ‘แค่มองตา เหล่าซือก็มองเห็นไปถึงหัวใจ ตับ ม้าม ปอด ไตของเอ็งแล้วเฟ้ย’ แปะอยู่บนหน้าผากของเขา

“กะแล้วไม่มีผิด คุณนี่เป็นคนจริง จริงๆ แต่ผมคิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะน่าผิดหวังเหมือนกับคนอื่นๆ” ฟางเต๋าหลินส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง

จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วเดินออกจากห้องในทันที

เฉินหลงเหยียดยิ้ม และยังคงสอนเคล็ดลับให้กับฮัวหมิงเหรินที่ตอนนี้ได้หัวหมุนไปแล้วต่อไป

“อาจารย์ ไอ้เด็กบ้านั่นหยาบคายจริงๆ ให้ผมสั่งสอนมันดีไหมครับ?” จู่ๆฮัวหมิงเหรินก็เอ่ยถามขึ้นมา

 

เดิมที ในตอนที่ฟางเต๋าหลินได้พูดคุยกับเฉินหลงแบบนั้น ฮัวหมิงเหรินล่ะอยากจะสั่งสอนอีกฝ่ายจริงๆ แต่ตอนที่อาจารย์พูดอยู่ ถ้าเขาเข้าไปขัดจังหวะ มันคงจะเป็นการเสียมารยาทต่อเขา ด้วยเหตุนี้ ฮัวหมิงเหรินจึงทำได้แค่อดทนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เท่านั้น

“อย่าเลย เรื่องเล็กน้อยเอง ผมไม่อยากเสียเวลามานั่งเถียงกับเขาหรอกครับ” ท่าทางของเฉินหลงสุดจะเท่และไม่แยแสจริงๆ

ครั้งที่แล้ว เขาได้สั่งสอนฟางเตาหลินและทำให้เขารู้ว่า ถึงนายจะเรียกพ่อมา เขาก็เป็นได้แค่ตัวมีหางข้างหน้าเขาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เฉินหลงถึงไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

 

ตัวละครกระจอกๆแบบนี้ เพื่อนๆของเขา ก็คงไม่เก่งไปมากกว่านี้หรอก เขาถึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้ความสนใจกับพวกเขาเลยสักนิด

ได้ยินเฉินหลงประกาศออกมาแบบนั้นแล้ว ฮัวหมิงเหรินจึงปิดปากสนิทและไม่เสนอคำแนะนำอะไรออกมาอีก จากนั้นก็นั่งศึกษาเคล็ดลับการฝังเข็มต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

ถึงการศึกษาเคล็ดลับการฝังเข็มจะทำให้ฮัวหมิงเหรินรู้สึกปวดหัวไม่น้อย แต่เขากลับมีความสุขมากที่ได้ศึกษามัน เพราะเคล็ดลับนี้สามารถกินดิบ*ได้ตั้งแต่หูถึงปาก นับว่าเป็นเคล็ดลับของจริง!

 

ฟางเต๋าหลินเดินกลับเข้ามาในห้องอีกรอบ คิดหาวิธีที่จะสร้างความเกลียดชังระหว่างลู่เฟิงกับเฉินหลง แต่กลับคิดไม่ออก

เมื่อเห็นว่าลู่เฟิงชวนเตหลีไปขับรถเล่น ทันใดนั้นเหมือนกับว่าฟางเต๋าหลินได้มองเห็นแสงสว่างวาบขึ้นมา

“ว้าว ผู้หญิง แถมยังสวยอีกด้วย”

อย่างที่ลือกันว่า “วีรชนต้องหลั่งน้ำตาเพราะสาวงามไม่ไยดี” ไม่ว่าจะเป็นยุคโบราณหรือยุคปัจจุบัน ผู้หญิงก็มีอิทธิพลมากต่อผู้ชายเสมอ

ในตอนนี้ ฟางเต๋าหลินล่ะอยากใช้งานเตหลีจริงๆ

 

“คุณเตหลี คุณกับเพื่อนของคุณหน้าตาคล้ายกันเลย ทั้งสันจมูก ดวงตา รวมไปถึงโครงหน้า อืม… คล้ายกันมาก” หลังจากเดินมานั่งประจำตำแหน่งของตัวเอง ฟางเต๋าหลินก็ให้ความสนใจกับคตรงหน้า

ผู้หญิงสวยๆมักจะมีส่วนที่คล้ายกันอยู่เสมอ หน้าตาของเตหลีกับจี้โม่ซีคล้ายคลึงกันมากจริงๆ

ครู่ต่อมา ถึงเขาจะรู้ว่าหน้าตาของทั้งสองคนนี้ไม่ได้เหมือนกันขนาดนั้น แต่ฟางหลินเต๋าหลินก็ขอยืนยันคำเดิมว่าทั้งคู่หน้าตาคล้ายกันมากจริงๆ

คำพูดของฟางเต๋าหลินได้ดึงดูดความสนใจจากเตหลีในทันที “เอ๊ะ ใครเหรอคะ?”

 

ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มักจะห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับผู้หญิงสวยๆ ในตอนที่เธอได้ยินว่าผู้หญิงคนอื่นหน้าตาคล้ายกับเธอแล้ว เธอรู้สึกตกใจและในความคิดก็มีการเปรียบเทียบระหว่างตัวเองกับคนๆนั้น

“อืม… ฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ช่างมันเถอะ ไม่พูดดีกว่า เนอะ?” ฟางเต๋าหลินทำสีหน้าเหมือนคนที่กำลังสับสนอยู่

“แหมๆๆ หลินจื่อ นายลังเลไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลยนะ เป็นเพราะรถของนายถูกทุบรึป่าวน้า” ลู่เฟิงใช้โอกาสนี้หยอกล้อฟางเต๋าหลินอีกรอบ

ดูเหมือนว่าหลังจากมื้อนี้แล้ว เขากับเพื่อนของฟางเต๋าหลินจำเป็นต้องทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาเสียแล้ว

 

“นี่ ช่างมันเถอะ ถ้านายไม่อยากพูดถึง ก็ไม่เป็นไร”

ถึงปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่กลับแสดงสีหน้าความผิดหวังออกมาเล็กน้อย

“หึ ถ้าพวกเธออยากรู้จริงๆว่าเธอคือใครล่ะก็ ฉันจะบอกให้ก็ได้ว่า คนที่ฉันหมายถึงคือแฟนของไอ้หนุ่มที่ทุบรถฉันยังไงล่ะ พูดตามตรง แฟนสาวของเขาสวยกว่าคุณเตหลีอีก” ฟางเต๋าหลินกล่าว

“คุณเตหลีสวยจะตาย นี่ นายตาบอดไปแล้วเหรอ?” ในเมื่อโอกาสที่จะพูดดีๆกับอีกฝ่ายมาถึงแล้ว ลู่เฟิงจะไม่ยอมพลาดมันไปเด็ดขาด

 

ถึงเตหลีจะไม่ได้ตอบอะไรออกมาสักคำเดียว และเธอก็ยังปั้นยิ้มบนใบหน้าได้ แต่ถ้าได้มองหน้าเธอดูดีๆแล้ว ในดวงตาคู่นั้นมีความขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย แต่เพราะสถานะของฟางเต๋าหลิน ทำให้เธอไม่กล้าตอบอะไรไม่ดีกับเขาเลย

สำหรับน้ำใจของลู่เฟิง เธอเองก็รู้สึกดีกับเขาเช่นกัน

“คราวนี้ ฉันพิสูจน์อะไรไม่ได้ เพราะพวกเธอไม่เคยเห็นหน้าตาของเธอคนนั้นยังไงล่ะ และถึงฉันจะพูดอะไร พวกเธอไม่มีทางเชื่ออยู่แล้ว ถ้าฉันมีโอกาส ฉันจะแสดงให้พวกเธอได้เห็นว่าสิ่งที่ฉันพูดมันเป็นเรื่องจริง” ฟางเต๋าหลินรู้สึกเสียดายที่ตอนนี้ เขาไม่สามารถพิสูจน์ให้คนพวกนี้เห็นว่าเธอคนนั้นงดงามขนาดไหน

 

“อ้าว เมื่อกี้นี้นายไม่ได้ไปเจอเขามารึไง? ลองไปดูสิว่าเขายังกินข้าวอยู่ที่นี่รึป่าว บางทีแฟนสาวของเขาก็อาจมาที่นี่ด้วยก็ได้นะ ถ้าเธอยังอยู่ พวกเราจะได้ไปหาเธอได้ไง” พูดจบ ลู่เฟิงก็ดูเหมือนกับอยากทำให้กระจ่าง

ฟางเต๋าหลินขมวดคิ้วขึ้นแล้วตอบว่า “ฉันคิดว่ามันไม่ค่อยเข้าท่า เขามาที่ร้านอาหารเพื่อมาทานอาหารค่ำ ถ้าเราจะทำแค่เดินไปดูว่าหน้าตาของแฟนเขาเป็นยังไง ถ้าเราทำแบบนั้นมันเสียมารยาทนะแล้วอีกฝ่ายก็คงจะโกรธด้วย  เขาเป็นฝ่ายทุบรถฉันก็จริง แต่ถ้าทำแบบนั้นแล้ว ฉันก็รับประกันไม่ได้หรอกนะว่าพวกเธอจะไม่เดือดร้อน”

ตอนนี้ เกรงว่าฟางเต๋าหลินจะกลัวว่าโลกไม่แตกมากกว่านะสิ คำพูดของเขาดูเหมือนจะเป็นการเกลี้ยกล่อม แต่ความจริงคือ เขากำลังเติมเชื้อเพลิงใส่ไฟอยู่ต่างหากล่ะ!

 

“อะไรกัน พวกเราแค่ไปดูหน้าตาแฟนเขาเอง มันจะเสียมารยาทได้ยังไง” เตหลีเป็นอีกหนึ่งคนที่อยากเห็นหน้าผู้หญิงที่ฟางเต๋าหลินเป็นคนออกปากชมว่าหน้าตาคล้ายกับเธอ แต่งามกว่าเธอนี่นะ เหอะ คนอย่างฉันไม่ยอมหรอกนะ

“การที่คุณเตหลีอยากไปหาผู้หญิงคนนั้นนับว่าเป็นความสุขรูปแบบหนึ่งยังไงล่ะ ถ้าเขาไม่รู้วิธีรับมือ ฉันก็จะขอโทษเขาให้ก็แล้วกัน” ลู่เฟิงยังพูดเสริมอีกว่า “ถ้านายไม่กล้าไปก็เรื่องของนายสิ บอกมาแค่เขาอยู่ห้องไหนก็พอ พวกเราไปเองก็ได้ ไม่เห็นจะต้องการนายเลย เรื่องแค่นี้สบายมาก”

 

“เอาอย่างนั้นก็ได้ ฉันคิดว่าเขาน่าจะอยู่ห้องข้างๆเรานะ”

ฟางเต๋าหลินทำท่าแบบช่วยไม่ได้แล้วชี้นิ้วไปทางห้องของเฉินหลง

“คุณเตหลี ไปที่นั่นกันเถอะครับ” ลู่เฟิงเปิดประตูห้องให้เตหลีด้วยความสุภาพ และให้เตหลีเดินไปคนแรก

เตหลีส่งยิ้มให้ลู่เฟิง แต่รอยยิ้มของเธอทำเอากระดูกของลู่เฟิงเกือบอ่อนไปเลย

หลังจากที่เตหลีเดินออกไปเป็นคนแรกแล้ว หลี่รุ่ยก็เดินตามเธอออกไปติดๆ ตามมาด้วยลู่เฟิง ต้วนหนาน และคนสุดท้ายคือเซียงหมิง คนที่ช่วยฟางเต๋าหลินพูดก่อนหน้านี้

 

สุดท้าย ในห้องเหลือแค่ฟางเต๋าหลินกับฮัวเทียนสองคนเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าฮัวเทียนยังคงนั่งอยู่กับที่ด้วยท่าทางสงบ ฟางเต๋าหลินจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า “คุณฮัว คุณไม่อยากเห็นหน้าคนๆนั้นกับพวกเขาหรอ?”

“ไม่ล่ะ ถึงผู้หญิงที่คุณพูดถึงจะหน้าตาคล้ายกับคุณเตหลี แต่มันก็แค่ความรู้สึกว่ามันคล้ายกันเท่านั้น ถ้าพวกเธอทั้งสองคนได้มายืนใกล้ๆกัน บางทีอาจไม่มีส่วนคล้ายกันเลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ผู้หญิงพวกนั้นก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว คนอย่างฉันจะไปเพื่ออะไรล่ะ” ฮัวเทียนตอบคำถาม พร้อมกับส่งยิ้มบางๆให้อีกฝ่าย

 

 

 

 

 

สำนวน“hands down” / “กินดิบ” ความหมาย อย่างง่ายดาย ไม่อยากลำบากเลย

กินดิบ’’ มาจากกินของดิบ การกินของดิบย่อมสะดวกกว่ากินของสุก เพราะไม่ต้องเสียเวลาทำให้สุก เมื่อใช้เป็นสำนวนจึงหมายถึงที่ทำได้ง่ายๆ ทำได้คล่องๆ ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องออกแรงมากนัก