TB:บทที่ 147 ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!

ฟางเต๋าหลินมองดูที่ฮัวเทียนอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็ตอบอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มว่า “คุณฮัว นอกจากว่าคุณจะมีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์แล้ว คุณยังอ่านสถานการณ์ออกอีกด้วย แต่ว่า ในเมื่อคุณรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแล้ว ทำไมคุณไม่บอกพวกเขาล่ะครับ?”

“บอกเหรอ? ฉันจำเป็นต้องบอกพวกเขารึไง?” ฮัวเทียนยังคงสงบนิ่ง “ถ้าฉันบอกพวกเขาว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ห้องข้างๆเรา พวกเขาจะเชื่อฉันไหม? ฉันเป็นแค่หมอรักษาคน พวกเขาจะฟังฉันก็ต่อเมื่อปรึกษาเกี่ยวกับการรักษาเท่านั้นแหละ ถ้าฉันบอกว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ห้องข้างๆจริงๆ ก็คงไม่มีใครฟังฉันหรอกนะ “

 

“ฉันแค่ต้องการตัวทำเป็นเพื่อนที่ดีเท่านั้น” หลังจากได้ฟังคำตอบของฮัวเทียนแล้ว ฟางเต๋าหลินก็รู้สึกโล่งใจ ดูเหมือนว่าฮัวเทียนเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ฮัวเทียนหยิบน้ำขึ้นมาจิบ จากนั้นก็วางแก้วแล้วหันไปถามฟางเต๋าหลินว่า “พี่ฟาง ฉันมีคำถาม แต่ไม่รู้ว่าควรจะถามพี่ดีไหม”

“ถามมาสิ” ฟางเต๋าหลินตอบ

“พี่ฟางกับคนพวกนั้นเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมเราต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะ?” ในเมื่ออีกฝ่ายตอบว่าได้ ฮัวเทียนจึงเอ่ยถาม

 

ในความคิดของฮัวเทียน คนที่เป็นเพื่อนกันก็ควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เหมือนกับฟางเต๋าหลินที่เล่นกับพวกเขาเหมือนเป็นลิงเป็นค่าง

“ก็… ฉันไม่ค่อยชอบพวกเขาเท่าไหร่ อย่างที่คุณเห็น พี่ฮัว พวกเขาเป็นฝ่ายแกล้งฉันก่อน การที่ฉันสู้กลับแบบนี้มันไม่มากเกินไปหรอก” ฟางเต๋าหลินโมโหจนหน้าแดง

ส่วนฮัวเทียนทำได้แค่ยิ้มตอบเขา และไม่เอ่ยอะไรที่ทำให้เขามีน้ำโหมากกว่าเดิม

อันที่จริง เขายังอยากถามอีกฝ่ายอีกหนึ่งคำถาม แต่ก็คิดว่ามันคงไม่จำเป็น ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ

 

อีกด้านหนึ่ง ลู่เฟิงและเพื่อนๆได้เดินมาหยุดอยู่หน้าประตู้ห้องของเฉินหลงแล้ว ลู่เฟิงเป็นดั่งผู้กล้าที่กล้าผลักประตูห้องให้เปิดออกและเดินเข้าไปข้างใน

เมื่อเห็นว่ามีผู้คนมากมายกำลังเดินเข้ามาในห้องของพวกเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เฉินหลงกับฮัวหมิงเหรินจึงจ้องลู่เฟิงกับเพื่อนๆด้วยสายตาแปลกๆ แบบว่า สวัสดีครับ เราเคยรู้จักกันรึป่าว?

“ขอโทษนะ แต่ว่า แฟนของคุณอยู่ไหน? รบกวนคุณช่วยเรียกเธอให้ออกมาเจอหน้าพวกเราหน่อยได้ไหม?”

ฝ่ายลู่เฟิงที่จ้องหน้าเฉินหลง ก็ได้เอ่ยถามในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้กับเฉินหลง

 

ถึงเขาจะไม่เคยได้พบกับเฉินหลงมาก่อน แต่ก็พอจะมองออกว่าเฉินหลงคือคนไหน เพราะเธอไม่คิดว่าฮัวหมิงเหรินจะเป็นคนที่ทุบรถของฟางเต๋าหลิน เพราะอายุปูนนี้ไม่น่าจะมีแรงทุบรถคนอื่นหรอก

เมื่อได้ยินคำถามของลู่เฟิง เตหลีกับต้วนหนานถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว ลู่เฟิง ไอ้เบื้อกเอ้ย ใครสั่งใครสอนให้ไปถามอะไรแบบนั้นกับคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกละเนี่ย เฮ้อ ถ้าเขาเป็นคนถาม ยังจะดีซะกว่า แต่ก็น่าแปลกที่ พวกเราทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับคำถามของเขา เอาเป็นว่า เขาเก่งมากที่ถามได้ตรงประเด็นเป๊ะไม่มีขาดตกบกพร่องเลยจริงๆ

เป็นตามคาด เมื่อได้ยินคำถามของลู่เฟิงแล้ว ทันใดนั้นสีหน้าของเฉินหลงก็เริ่มทำให้พวกเขารู้สึกถึงความเยือกเย็น

 

“คุณพูดว่าอะไรนะครับ รบกวนคุณช่วยพูดอีกครั้งได้ไหม ขอแบบช้าๆชัดๆ ผมฟังไม่ทัน” เฉินหลงตอบด้วยน้ำเสือกเยือกเย็น

เมื่อได้ยินคำตอบของเฉินหลง จู่ๆลู่เฟิงก็รู้สึกหนาวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ เขาเริ่มรู้สึกกลัวอีกฝ่ายขึ้นมา จนต้องลอบกลืนน้ำลงคอไปหนึ่งอึก จากนั้นก็ตอบเขาไปแบบไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ “ฉ-ฉันได้ยินมาว่าแฟนของคุณ เธอหน้าตาคลายกับคุณเตหลี ด้วยเหตุนี้ ฉันก็เลยพาคุณเตหลีมาพบเธอ…”

พูดจบ ลู่เฟิงก็รับผลักเตหลีให้มายืนบังตัวเขาไหว ส่วนเฉินหลงหลังจากที่ได้เห็นหน้าตาของเตหลี  เขาก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร

ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆลู่เฟิงถึงได้กลัวเฉินหลงระเบิดลง

 

“กลับไปเถอะครับ”

เฉินหลงไม่สนว่าเตหลีหรือชายคนนั้นต้องการจะทำอะไร เพราะคำตอบของเขามีเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือ กลับไปซะ!

เมื่อได้ยินเฉินหลงตอบแค่ว่า ‘กลับไปเถอะครับ’ ลู่เฟิงก็คงต้องจำใจเดินออกไปจริงๆ เขาคิดว่าตอนนี้เขาจะได้เห้นหน้ากับผู้หญิงสวยๆทั้งที แต่ชายคนนี้กลับ ‘ไล่’ เขาออกมาเนี่ยนะ ถามจริงเถอะ นายไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยรึไง ชายคนนี้กลายเป็นคนไร้หัวใจไปแล้วเหรอไงเนี่ย

ลู่เฟิงที่ทำใจดีสู้เสือจึงพูดกับเขาอีกครั้ง “พวกเราไม่ได้จะทำอะไรเลยนะ พวกเราแค่จะ…”

“ออกไป!”

ลู่เฟิงที่ยังพูดไม่จบประโยค ได้ถูกเฉินหลงพูดตัดบทไปเรียบร้อย

 

“คราวนี้จะออกไปได้รึยัง? ถ้ายังมาให้ผมเห็นหน้าอยู่อีก มันจะไม่จบแค่พูดแล้วนะ ผมจะส่งตัวพวกคุณทุกคนไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลเลย”

ลู่เฟิงและอีกห้าคนที่เป็นถึง ลูกเศรษฐี ลูกข้าราชกาล ดาราชื่อดังตัวน้อยรู้สึกมีน้ำโหขึ้นมา เตหลีอดไม่ได้ที่จะพูดกับอีกฝ่าย

“เหอะ ตลกแล้ว นายจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ? พวกเราแค่อยากเห็นหน้าแฟนนายเองนะ”

“หยุดพูดได้แล้วครับ เอาเป็นอย่า อย่าคิดว่าเป็นผู้หญิง แล้วผมจะไม่กล้าลงมือนะครับ ถ้าผมอารมณ์เสียขึ้นมาจริงๆ กับผู้หญิงผมก็ไม่เว้น” เฉินหลงตอบด้วยความสุภาพ ถึงเขาจะเคยเห็นเตหลีในทีวีก็ตามแต่

 

พอเฉินหลงตอบแบบนั้น ดวงตาของเตหลีได้เปลี่ยนเป็นสีแดง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาลขนาดนี้

“ถ้านายพูดกับผู้หญิงแบบนั้น แสดงว่านายไม่ใช่สุภาพบุรุษแล้ว” หลี่ลุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆเตหลีกล่าว

หลี่ลุ่ยเองก็เป็นถึงดาราตัวน้อย เพราะเธอเองก็สวยพอตัว และเธอก็ได้รับความนิยมจากเหล่าแฟนคลับไม่น้อย และตอนนี้เธอกำลังโกรธจัดที่ถูกคนอื่นดูหมิ่นได้ขนาดนี้

“หึ ผมขอถามอะไรหน่อยฉัน ไม่ทราบว่าผมเป็นฝ่ายเชิญชวนพวกคุณให้มาที่นี่เหรอครับ? คุณไม่ได้สิทธินั้น แถมยังทำตัวไม่สุภาพอีกด้วย แล้วคนอย่างผมจำเป็นต้องสุภาพกับพวกคุณที่ทำตัวหยาบคายเหรอครับ? รู้จักไหม คำว่า ‘มารยาท’ น่ะ?” ในเมื่อลู่เฟิงกับผองเพื่อนไม่ได้มาดีแถมยังไม่ให้เกียรติเขาอีก แล้วทำไมเฉินหลงจะต้องปั้นยิ้มพูดดีหรือไว้หน้าพวกเขาด้วยล่ะ “เอาล่ะ ออกไปจากที่นี่สักที!”

 

หลังจากได้ยินคำตอบของเฉินหลง หญิงสาวทั้งสองคนทำได้แค่เพียงหันกลับและรีบเดินออกไปด้วยความแค้น

หลังจากหญิงสาวได้เดินออกไปจากห้องแล้ว ลู่เฟิงได้ทิ้งประโยคเอาไว้ให้เขาว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ!” แล้วรีบวิ่งตามพวกเธอไป

เมื่อเห็นว่าลู่เฟิงกับเตหลีกลับมาด้วยท่าทางห่อเหี่ยวทีละคน ฟางเต๋าหลินจึงเอ่ยถามทั้งสองคนว่า “เป็นไง พวกเธอเจอเธอรึป่าว?”

หญิงสาวทั้งสองคนได้แก่เตหลีและหลี่รุ่ยไม่ได้ตอบคำถาม ดังนั้นลู่เฟิงจึงเป็นคนตอบแทนว่า “ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มาที่นี่ แต่ไอ้หมอนั่นอวดดีจริงๆ แสดงว่ามันเป็นคนทุบรถนายจริงๆสินะ”

 

ฟางเต๋าหลินตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “โชคร้ายจริงๆเลยน้า โอ๊ะ ลืมไปเลย เพราะครอบครัวไม่ได้มาด้วยสินะ ช่างมัน ลืมๆมันไปเถอะ เอาไว้คราวหน้า ถ้ามีโอกาส พวกเราค่อยคุยเรื่องนี้ใหม่ก็แล้วกัน”

จากท่าทางของพวกเขา ฟางเต๋าหลินรู้ดีว่าเป้าหมายของตัวเองสำเร็จแล้ว

“โอ๊ย! ฉันไม่อยากเห็นหน้ามันอีกต่อไปแล้ว ไอ้หมอนั่น น่าโมโหชะมัด มีใครไปสั่งสอนมันได้บ้าง?” เตหลีถามขึ้นทั้งๆที่กำลังของขึ้นสุดๆ

ในตอนที่ถาม ดวงตาของเธอได้สบเข้ากับดวงตาของลู่เฟิงพอดิบพอดี

 

“ฉันมีแผน!” และใช่ ลู่เฟิงจะเป็นคนลงมือจัดการมันเอง

จากนั้น ลู่เฟิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออก

หลังจากวางสายแล้ว ลู่เฟิงได้ชูสองนิ้วเหมือนท่ากรรไกรมือให้เตหลี

ยี่สิบนาทีต่อมา ลูกน้องของลู่เฟิงได้มาถึงที่หมาย

มีเพียงผู้ชายที่อายุประมาณสามสิบคนหนึ่งเท่านั้น แต่ชายนี้สามารถทำให้คนอื่นเจ็บตัวได้

ผู้มาใหม่สูงประมาณ 1.9 เมตร รูปร่างหน้าตาของเขาพอดูได้ ดวงตาเรียวและแคบกระพริบผ่านแสงที่สาดส่องเข้ามาเป็นครั้งคราว แต่เมื่อดวงตาคู่นี้ได้จับจ้องไปยังผู้คน คนที่ถูกดวงตาของเขาจ้องมองมักจะรู้สึกเขินอาย

 

เมื่อเขาเห็นเตหลีกับหลี่รุ่ย ดวงตาของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย “คุณเตหลี คุณหลี่ ผมเองก็เป็นแฟนคลับของพวกคุณครับ รบกวนคุณช่วยเซ็นชื่อให้ผมภายหลังได้ไหมครับ?”

“ม-ไม่มีปัญหาค่ะ” เมื่อถูกสายตาของผู้ชายคนนั้นจ้องมอง ทำเอาเตหลีพูดติดขัดเลยทีเดียว

หลังจากนั้น ลู่เฟิงก็ได้แนะนำสถานะของเขาให้ทุกคนได้เป็นที่ประจักษ์ ชายคนนี้มีชื่อว่า เหลยเฟิงซิง เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของลู่เฟิงอายุ 30 ปี เขาฝึกเทควันโดมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขามาถึงระดับเจ็ดเรียกว่าเข็มขัดดำ นอกจากนี้เขายังมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับศัตรูมานับครั้งไม่ถ้วน และเขาแข็งแกร่งและทรงพลังมาก!

 

หลังจากนั้น ลู่เฟิงก็ได้เล่าเรื่องของเฉินหลงคนสถุลและหยาบคายให้เหลยเฟิงซิงได้ทราบ เขาจึงตอบกลับด้วยท่าทางที่กำลังเหยียดหยามอีกฝ่ายอยู่ “คุณมั่นใจได้เลยว่าผมจะจัดการผู้ชายคนนี้ให้อยู่หมัด ผมจะทำให้เขารู้ว่าการเป็นสุภาพบุรุษต้องทำตัวยังไง”

“ตามนั้นเลยค่ะ คุณเหลย” ดวงตากลมโตของเตหลีจับจ้องไปที่เหลยเฟิงซิงอย่างอ่อนโยน

“การรับใช้ผู้หญิงสวยๆอย่างคุณคืองานของผมอยู่แล้วครับ” เหลยเฟิงซิงส่งยิ้มให้เตหลี

 

เห็นว่าเตหลีกับเหลยเฟิงซิงได้สบตากันปิ๊งๆแล้ว จู่ๆลู่เฟิงก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ฉันขอให้นายมาแก้แค้นให้ฉัน ไม่ใช่ให้นายมาเต๊าะสาวฉันว้อย ไอ้บ้าเอ้ยยยย

แต่เอาเข้าจริงลู่เฟิงไม่มีทางโกรธอีกฝ่ายได้ลงคอหรอก เพราะเขาอยู่ในจุดที่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรไม่ได้ ในเมื่อเหลยเฟิงซิงทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ แล้วคนอย่างลู่เฟิงจะเรียกร้องอะไรได้เล่า

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาอยากจะโชว์ออฟต่อหน้าสาวสวยนะ คิดเหรอว่าคนอย่างลู่เฟิงคนนี้จะเรียกลูกพี่ลูกน้องหน้าหล่อมากความสามารถอย่างหมอนี่มา เหอะ ไม่มีทางซะหรอก!