“แล้วจะเอายังไงกับเด็กนี่” พี่ใหญ่เอ่ยถาม “ยันต์หยกของเขาซูคงอยู่บนตัวเด็กผู้หญิงคนนั้น อย่าบอกนะว่าเราจะยอมแพ้”

“ยอมแพ้ไม่ได้อยู่แล้ว เราสามคนร่วมมือกัน น่าจะจัดการไอ้เด็กนี่ได้ไม่ยาก หรือไม่พวกเราก็งัดท่าไม้ตายออกมา” เจ้าสามพูดวิเคราะห์

อีกสองคนมีความปวดใจแวบขึ้นมาบนใบหน้า แต่เมื่อคิดถึงยันต์หยกประจำกาย ที่สามารถเข้าไปในเขาซูคง จึงผ่อนคลายลงนิดหน่อย

“งั้นงัดท่าไม้ตายออกมาให้หมด ถ้าได้ยันต์หยกมาก็คุ้มค่าแล้ว” พี่ใหญ่พูดอย่างทอดถอนใจ

“ได้!”

เมื่อทั้งสามคนปรึกษากันเสร็จ สายตามองมายังพวกเฉินโม่อีกครั้ง

เจ้าสามพูดเสียงเย็นชาว่า “ไอ้หนุ่ม ฉันจะพูดเป็นรอบสุดท้าย เอายันต์หยกมา แล้วฉันจะไว้ชีวิตพวกนาย!”

“อย่าพูดไร้สาระ ลงมือเถอะ!” เฉินโม่พูดอย่างราบเรียบ

ทั้งสามคนพยักหน้าพร้อมกัน จู่ๆ ก็แผดเสียงออกมาพร้อมกันว่า “ค่ายกลกระบี่ไตรภูมิ”

ตัวของทั้งสามคนเริ่มหมุนอยู่กับที่ ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแทบจะมองไม่เห็นเงาทั้งสามคนแล้ว

กระบี่ยาวสีเขียวขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง ปรากฏกลางท้องฟ้าอย่างแปลกประหลาด แผ่ออร่าแข็งแกร่งออกมา ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกหวาดกลัว

“ฆ่า!”

เสียงทั้งสามเสียงเหมือนออกมาจากคนคนเดียว ฟังดูแปลกประหลาดเล็กน้อย

กระบี่ยักษ์เล่มนั้น พุ่งเข้ามาฟันเฉินโม่!

ทุกที่ที่กระบี่ยักษ์ผ่านไป ต้นไม้ทั้งหมดโดนทำลายลงทันที ด้านหน้าเฉินโม่เกิดรอยแยกที่ทั้งลึกทั้งยาว เหมือนโดนรถขุดสองสามคันขุดอย่างไรอย่างนั้น

นี่เป็นเพียงพลังโจมตีที่กระจายออกมา คิดไม่ถึงว่าจะดุดันขนาดนี้!

พวกนักบู๊รอบๆ ที่เห็นภาพนี้ ตกใจจนอ้าปากค้าง มองภาพนี้อย่างไม่อยากเชื่อ

“พละกำลังนี้ ถึงเป็นแดนเทพแล้ว!” นักบู๊รอบๆ พากันทอดถอนใจ

“เฉินโม่!” แม้เนี่ยเสี่ยวเชี่ยนมั่นใจในตัวเฉินโม่ แต่หลังจากเห็นความแข็งแกร่งของการโจมตีของอีกฝ่าย ก็อดกังวลใจไม่ได้

เฉินโม่ส่งสายตาปลอบใจให้เธอ สีหน้านิ่ง ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง แกว่งไปมาตรงหน้าอกครู่หนึ่ง

“ท่าที่หนึ่งหมัดเทพเทียนเสวียน สยบภูเขา!”

เสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก หมัดของเฉินโม่เรียบง่ายไม่หวือหวา เทียบกับพลานุภาพของค่ายกลกระบี่ไตรภูมิของอีกฝ่าย เรียกได้ว่าละเลยไปได้เลย

แต่คนที่สามารถมาที่นี่ได้ในวันนี้ โดยพื้นฐานแล้วล้วนเป็นนักบู๊ อีกทั้งยังเป็นนักบู๊ที่พละกำลังไม่ธรรมดา แย่สุดก็ยังระดับแดนในชั้นสูงสุด

ดังนั้นทุกคนจึงมองความแข็งแกร่งของหมัดเฉินโม่ออก ถึงขั้นที่พวกเขาคิดว่าเทียบกับเคล็ดวิชาบู๊ที่ร่วมกันโจมตี ของผู้อาวุโสสามคนนั้น ก็ไม่ต่างกันเท่าไร

พลั่ก!

ทั้งสองปะทะกัน เหมือนทั้งโลกสั่นสะเทือนครู่หนึ่ง คลื่นกระแทกพลังงานมหาศาล มีศูนย์กลางอยู่ตรงจุดที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ถาโถมออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว

ครืนนน!

ต้นไม้ในรัศมี 10 เมตร โดนทำลายอย่างไร้ความปรานี ต้นไม้เล็กๆ บางส่วนถึงขั้นที่โดนดึงโคนขึ้นมา สภาพที่นี่เหมือนหลังจากเกิดพายุไต้ฝุ่นระดับสิบสองพัดถล่ม

ผู้อาวุโสทั้งสามคนโดนแรงสะเทือนจนกระเด็นถอยหลังไปอีกครั้ง นั่งแผละอยู่บนพื้นอย่างน่าเวทนา

หันมาดูเฉินโม่ แค่ถอยไปด้านหลังสองก้าว สีหน้าราบเรียบ

ทั้งสามคนพยายามลุกขึ้นนั่ง มองเฉินโม่อย่างตกตะลึง

“ไอ้เด็กนี่ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ถึงเขาฝึกฝนตั้งแต่ออกจากท้องแม่ ก็ไม่มีทางแข็งแกร่งถึงขั้นนี้!” พี่ใหญ่พูดอย่างตกใจ

“รีบไป รีบไปรายงานเจ้าสำนัก ไม่งั้นการเริ่มเดินทางมาเขาซูคงครั้งนี้ เราคงได้อะไรยากแล้ว!” เจ้าสามวิเคราะห์อย่างใจเย็น

“อืม!” ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน หันหลังเดินออกไป

“ฉันให้พวกนายไปแล้วเหรอ” เสียงราบเรียบของเฉินโม่ลอยมา ขยับตัวอย่างรวดเร็วมาขวางทั้งสามคนไว้

“ทำไม ไอ้หนุ่ม นายอยากให้เราอยู่ต่อเหรอ” พี่ใหญ่จ้องเฉินโม่ แสยะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

“ก็คิดอย่างนี้นะ” เฉินโม่หน้านิ่ง ก้าวเบาๆ ออกมาหนึ่งก้าว หมัดเดียวค้ำฟ้า