บทที่ 312

แต่เมื่อคิดอย่างละเอียด มันไม่เกินไปสักนิด!

คนอย่างเซียวเวยเวย ใจร้ายเหมือนงูพิษ เคยสั่งให้คนมาทำร้ายตนเองก็หลายครั้ง ถึงกับอยากทำให้ตนเองพิการ ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถของตนเองแล้ว คงถูกเธอเล่นงานจนตายไปแล้ว

ฉะนั้น วันนี้ก็ให้บทเรียน ที่จะทำให้เธอจำไปตลอดชีวิต!

จากนั้น เย่เฉินได้กล่าวกับลุงวีว่า “ผมไปก่อน คุณหนูใหญ่ของคุณรอผมอยู่ที่ใต้ตึก เรื่องทางนี้ให้คุณเป็นคนควบคุม ถ้าหากกล้าเล่นตุกติก ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่!”

ลุงวีรีบโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “อาจารย์เย่ได้โปรดวางใจ ผู้น้อยวีจะควบคุมอย่างดี! ไม่มีตุกติกอย่างแน่นอน!”

“อึม” เย่เฉินพยักหน้า หันหลังแล้วเดินจากไป

หลังจากที่เขาไปแล้ว เซียวเวยเวยกับเว่ยฉางหมิงกลัวว่าจะช้า แล้วถูกทำโทษเพิ่ม จึงรีบเร่งเลียโถปัสสาวะที่น่าขยะแขยงนี้ต่อไป

เมื่อทั้งสองคนเสียโถปัสสาวะคนล่ะ8โถจนเสร็จ ลิ้นของทั้งสองเกือบจะหัก กลิ่นที่อยู่บนลิ้น เหมือนกับว่าลิ้นหมักปัสสาวะมาเป็นปีแล้ว กลิ่นเหม็นจนสุดจะทน

ซึ่งแน่นอนว่าในปากของทั้งสองคนเหม็นจนไม่กล้าดม แต่จะทำยังไงได้ ตอนนี้ทั่วทั้งตัวของทั้งสองคนเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นที่ทำให้น่าขยะแขยงเป็นยิ่งนัก

ทั้งสองคนจะขอน้ำเปล่าเพื่อบ้วนปาก แต่ลุงวีไม่อนุญาต เพราะกลัวว่าเย่เฉินจะกลับเข้ามาและตำหนิตัวเอง เขาจึงรีบบอกให้คนขับไล่พวกเขาออกไปเสียให้พ้น

หลังจากที่ทั้งสองถูกขับไล่ออกไป พวกเขาก็กระโดดลงไปในสระน้ำพุที่อยู่ข้างหน้าประตู บ้วนปาก ล้างหน้า ล้างมือ และทำความสะอาดลิ้น หลังจากล้างมานานกว่าครึ่งชั่วโมง ปากยังคงมีกลิ่นเหม็นสาบอยู่ดี ตอนนี้ทั้งสองคนรู้สึกว่าชีวิตได้พังทลายหมดสิ้น อยากจะตัดลิ้นออกและโยนลงไปในท่อน้ำทิ้ง

เซียวเวยเวยล้างจนครึ่งวันก็ยังไม่ได้ผล นั่งร้องไห้ข้างน้ำพุอย่างหมดอาลัยตายอยาก ก่อนหน้านี้เธอถูกเซียวชูหรันยั่วยุจนทำให้เธอสูญเสียสติสัมปชัญญะ แต่ตอนนี้ถูกเย่เฉินบังคับ จนเกือบทำให้เธอป่วยทางจิต

เว่ยฉางหมิงเองก็โกรธจนจะเป็นบ้า!

แม่งฉิบ เกิดมาโตจนป่านี้แล้ว ยังไม่เคยเสียเปรียบขนาดนี้ แม่งฉิบหายเขาโกรธจนระเบิดอารมณ์ออกมา!

ที่สำคัญ ไอ้เย่เฉิน ทำไมถึงได้มีเกียรติมากเช่นนี้ เมื่อลุงวีเห็นเขา ก็เหมือนหนูที่เจอแมว แม่งฉิบ ลุงวีที่เป็นพ่อบ้านตระกูลซ่ง ที่มีความห้าวหาญและหยิ่งยโส แต่มันเหมือนกับสุนัขที่คุกเข่าเลียแข้งเลียขาเย่เฉินเลยก็ว่าได้!

จากนั้น เขาหน้าดําคร่ำเครียดแล้วถามเซียวเวยเวยว่า “ไอ้สุนัขเย่เฉิน ภูมิหลังของมันเป็นอะไรกันแน่?!”

เซียวเวยเวยกล่าวว่า “ไอ้สารเลวคนนี้มันเป็นแค่ยาจก พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุ8ขวบ เติบโตที่สถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากนั้นก็เข้ามาเป็นเขยแต่งเข้าของตระกูลพวกเรา เป็นแค่คนไร้ประโยชน์ที่ต้องอดทนเจียมตัวอยู่ในบ้าน”

เว่ยฉางหมิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เวลาคุณพูดอยู่ห่างผมสักหน่อย กลิ่นมันรุนแรงมาก!”

เซียวเวยเวยคิดในใจฉันก็รังเกียจกลิ่นเหม็นที่รุนแรงเวลาที่คุณพูดเหมือนกัน เพียงแต่เกรงใจไม่พูดออกมา แต่คุณกลับมารังเกียจฉันอีก?

แต่ว่าเธอก็ไม่กล้าขัดแข้งกับเว่ยฉางหมิง ก็เลยทำได้แค่ถอยหลังไปครึ่งเมตร

เว่ยฉางหมิงถามเธอต่อ “ทำไมลุงวีและคุณหนูใหญ่ตระกูลซ่งให้เกียรติไอ้คนไร้ประโยชน์คนนี้ด้วย? !”

เซียวเวยเวยพูดด้วยใบหน้าขมขื่น “ฉันก็ไม่รู้! ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม! เมื่อก่อนฉันเคยด่าเขาต่อหน้า และเขาก็ไม่กล้าว่าอะไร ตอนทานข้าว ฉันเทน้ำลงบนศีรษะของเขา เขายังเป็นฝ่ายต้องขอโทษฉัน เวลาที่ตระกูลของเรารวมญาติทานอาหารกัน เขาไม่มีสิทธิ์ได้นั่งร่วมโต๊ะ เขาเป็นแค่คนคอยบริการเสิร์ฟอาหาร เสิร์ฟน้ำชาต่าง ๆ งานรวมญาติในวันสิ้นปี เขาไม่ระวังทำจานแตกก็ถูกฉันตบหน้าไปหนึ่งที…….”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เซียวเวยเวยรู้สึกทุกข์ใจอย่างมาก และกล่าวว่า “ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ ๆ ไอ้คนไร้ประโยชน์คนนี้ถึงได้กลายเป็นคนที่มีความสามารถในสายตาของหลาย ๆ คน คนส่วนใหญ่เรียกเขาว่าอาจารย์เย่ และคนส่วนใหญ่ที่ต้องการทำให้เขาอับอาย ท้ายที่สุดพวกเขาก็มีจุดจบที่น่าสังเวชเช่นกัน…….”

เมื่อกล่าวจบ เซียวเวยเวยก็กล่าวต่อไปอีกว่า “ใช่แล้ว เซียวอี้เชียนประธานเซียว เดิมทีเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งมากในด้านนั้น สามารถกล่าวได้ว่าถึงแก่แล้วแต่แรงดีไม่มีตก แข็งแรงมากกว่าคนหนุ่มเสียอีก แต่หลังจากขัดแย้งกับเย่เฉินครั้งหนึ่ง หลังจากกลับไปบ้านมันก็ใช้การไม่ได้อีกเลย ถึงตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่า ใช่เย่เฉินที่เป็นคนทำหรือเปล่า…..”

“แม่งฉิบ” เว่ยฉางหมิงกัดฟันแล้วกล่าวว่า “ความแค้นในเรื่องนี้ยังไงผมก็ยอมไม่ได้! หลังจากนี้จะไปคุยปรึกษากับเซียวอี้