“เสี่ยวอิงเอ๋ย อยากไปวัดเส้าหลินหาประสบการณ์ไหม ข้าได้ยินว่าที่นั่นมีวิทยายุทธล้ำเลิศเจ็ดสิบสองชนิดอีกทั้งสามสิบหกคาถาวิเศษ ในวัดนั้นมีผู้เลิศล้ำซ่อนตัวอยู่นับไม่ถ้วน ผู้มีวิทยายุทธสูงสุดเป็นพระสงฆ์แก่กวาดพื้น หอไตรไม่ไปไม่ได้ มีคัมภีร์อี้จิง คัมภีร์ล้างไขกระดูก เป็นของวิเศษสุดใต้หล้า หากไม่ไปจะน่าเสียดายมาก”
อวิ๋นเยี่ยพาวั่งไฉหนีออกจากบ้านแต่เช้าตรู่โดยไม่ได้ห่วงอาการบาดเจ็บ สถานศึกษาไปไม่ได้อาจารย์อวี้ซันยังกำลังรอถามเรื่องราวอยู่ คงมีเรือนของซ่านอิงปลอดภัยที่สุดถือโอกาสดูว่าจะเอาซ่านอิงไปเป็นองครักษ์ได้หรือไม่ รอยจารึกจากเขาโต้วเอี้ยนซันทำให้เขาขยาด
“วัดเส้าหลิน? จะไปทำอะไรที่นั่นมีแต่ฝูงหัวโล้นจะมีอะไรน่าดู คนพอเลยหกสิบเลือดลมแห้งเ**่ยวร่างกายแข็งทื่อแล้วจะมีวิทยายุทธสูงส่งได้อย่างไร คัมภีร์อี้จิง คัมภีร์ล้างไขกระดูกเป็นอะไรหรือไม่เคยได้ยิน อาจารย์ข้าวิทยายุทธเลิศล้ำสุดยอดเดี๋ยวนี้กลางคืนยังต้องลุกขึ้นมาหลายหน โกหกหลอกลวง”
ซ่านอิงเดี๋ยวนี้ชอบวั่งไฉมากกำลังแปรงขนให้วั่งไฉ พูดว่าวั่งไฉอ้วนกลมน่ารักมากแต่ขี่ไม่ได้เลยแค่เดินสองก้าวก็เขยกเห็นของชอบกินก็ไม่ไปไหน ม้าดีๆทำจนเสียม้าไปเลย
“หากท่านยังไม่ให้วั่งไฉลดความอ้วน เขาจะต้องอยู่ได้ไม่เกินสิบปี”
ซ่านอิงจับท้องอ้วนกลมของวั่งไฉเตือนอวิ๋นเยี่ยเช่นนี้
“วั่งไฉเป็นพี่น้องข้า ข้าไม่อยากให้เขาลำบาก อีกอย่างวั่งไฉเชื่อฟังมาก เดี๋ยวนี้ทุกวันข้าต้องพยายามให้เขาวิ่งได้สองสามลี้”
“เสร็จแล้วก็ไปเที่ยวซื้ออาหารทั่วเมืองให้เขากิน ม้ากินหญ้าอย่างมากก็เพิ่มพวกถั่ว ไม่ใช่ให้กินผลไม้หมั่นโถวสุรา ข้าเห็นมีการยัดเนื้อต้มสุกใส่ปากเขาอีก ท่านไม่กลัวเขากินจนไม่สบายหรือ”
อวิ๋นเยี่ยแต่ไหนแต่ไรเป็นห่วงสุขภาพวั่งไฉมาก ตั้งแต่วั่งไฉตามมาอยู่ด้วย ต่อให้อวิ๋นเยี่ยตัวเองไม่ได้กินก็ต้องดูแลวั่งไฉก่อน เวลานี้ความเสียหายต่างๆเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วนั่นคือเขาเริ่มตะกละมากขึ้น กินอาหารดีๆจนชินจะให้กินแค่หญ้าแห้งเหมือนเอาเขาไปเชือด ก่อนหน้านี้จะให้เขาลดความอ้วน อวิ๋นเยี่ยเอาหญ้าสดอย่างดีที่สุดผึ่งแห้งป้อนเขา เจ้านี่ไม่ยอมกินเลย พอหิวก็วิ่งไปหน้าห้องอวิ๋นเยี่ยเอาหัวโขกประตู คาบเสื้อผ้าอวิ๋นเยี่ยให้เขาเปิดประตูเรือนจะได้ให้เขาออกไปซื้อของกินได้ แววตาที่น่าสงสารทำจนใจอวิ๋นเยี่ยที่เพิ่งแข็งขึ้นมาแหลกลาญไป
เวลานี้ซ่านอิงพูดขึ้นมาอีกทำให้อวิ๋นเยี่ยเกิดความระวังอีกครั้ง ม้าตัวอื่นแค่สามสี่ปีก็เริ่มเป็นสัด วั่งไฉยังรู้แค่ก้มหน้าก้มตาวิ่งหาของกินตามถนนหนทาง ช่วงฤดูใบไม้ผลิเข้าฤดูร้อนเป็นช่วงม้าเป็นสัดตั้งใจปล่อยเขาไว้ด้วยกันกับฝูงม้าตัวเมีย ที่ไหนได้ม้าตัวเมียโดนดีดหนีไปหมดตัวเองนอนหลับสบายอยู่บนสนามหญ้า
ม้าบ้านไหนนอนหลับกันม้าต้องยืนหลับถึงจะถูก เป็นสันดานม้าตั้งแต่โบราณกาลแต่เวลานี้สูญหายในตัววั่งไฉ ม้ามีอายุได้ถึงสามสิบปี อวิ๋นเยี่ยหวังจะให้วั่งไฉอยู่กับตัวเองตลอดชาติแต่ถ้าอยู่ไม่ถึงสิบปี อวิ๋นเยี่ยนึกแล้วอยากจะฆ่าคน
“แต่ว่าท่านโชคดีมาเจอข้า ให้ข้าดูแลวั่งไฉไม่ต้องถึงครึ่งปีข้าจะทำให้เขากลายเป็นม้าศึกที่ดีที่สุด ท่านดูหูของเขาดูจมูกของเขาดูหน้าอกดูขาหลัง ไม่ว่าดูที่ไหนเขาก็สมควรเป็นม้าที่ดีแต่เป็นเพราะท่านทำให้เขาเสีย”
“วั่งไฉเป็นม้าที่ดีข้ารู้อยู่ไม่ต้องให้เจ้ามาย้ำหรอก ขอพูดอีกครั้งว่าเขาเป็นพี่น้องข้าไม่ใช่ม้าศึก ข้าไม่อยากให้เขาทนทุกข์ เป็นทำไมม้าศึกขอแค่อายุยืนร้อยปีก็พอ ถ้าใครจะหาเรื่องให้เขาไปสนามรบข้าจะฆ่ามันทิ้ง”
พี่น้องสองคนตกลงกันไว้แล้วตั้งแต่ครั้งโน้นที่ฮวงหยวนว่าจะมีชีวิตที่อิสรเสรีกินดื่มอะไรก็ได้ อวิ๋นเยี่ยห่างไกลเป้าหมายนี้ไปทุกทีแล้วเขาจึงไม่อยากให้ความสุขของวั่งไฉถูกแย่งไปอีก
“เขาเป็นพี่น้องท่าน” ซ่านอิงลืมตาโตถามอวิ๋นเยี่ย
“สนิทกว่าพี่น้องจริงอีก”
“ท่านคิดจะปล่อยเขาตามใจตลอดชาติ?”
“แน่นอน ในฐานะพี่ชายถ้าเขามีเมียมีลูกชีวิตอนาคตข้าดูแลหมด ข้ามีกินจะแบ่งเขาครึ่งหนึ่งแล้วค่อยเอ้อระเหยแก่ตายยังสบายใจกว่า แต่ถ้าสามารถตายด้วยกันได้ก็จะดีที่สุด”
ซ่านอิงไม่มีทางเข้าใจว่าขณะที่อวิ๋นเยี่ยอยู่อย่างโดดเดี่ยวที่ฮวงหยวน อารมณ์ความรู้สึกที่หงอยเหงาไร้ญาติขาดมิตร หากไม่มีวั่งไฉ ไม่แน่ว่าเขาอาจไม่สามารถผ่านพ้นมาได้ เวลานี้ใครจะไปสนใจว่าเขาเป็นม้าหรือไม่
“ข้าตามท่านไปวัดเส้าหลินแต่ข้าเป็นคนดูแลวั่งไฉ ระหว่างทางไม่ให้ท่านมายุ่งเกี่ยวต่อให้เห็นเขาต้องลำบาก ท่านก็มายุ่งไม่ได้ ม้าก็คือม้าท่านจะเลี้ยงเขาเหมือนคนไม่ได้ อยากให้เขาอายุยืนร้อยปีก็ต้องฟังข้า”
อวิ๋นเยี่ยผงกศีรษะอย่างยากลำบากให้ซ่านอิง “ได้ ให้เขาตามข้าสองวัน พอจัดการบ้านเรียบร้อยพวกเราก็ออกเดินทาง ถึงเวลานั้นแล้วข้าจะมอบวั่งไฉให้เจ้าสั่งสอน”
วั่งไฉตามอวิ๋นเยี่ยกลับบ้านอย่างว่าง่าย ในบ้านสำหรับเขาเวลานี้คล้ายเป็นคุก ท่านย่าดีใจจนชีวิตแทบจะหาไม่ ยื่นป้ายเข้าวังขอเข้าเฝ้าฮองเฮาแต่เช้า ไม่แน่ว่าอาจจะถือโอกาสพบโซ่วหยาง ในสายตาของนางมีแต่เหลนไม่ได้สนใจเลยว่าแม่ของเหลนจะเป็นใคร ส่วนเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยถูกลงโทษไม่ได้รับความเห็นใจจากนางแม้เพียงนิดเดียว ยังโดนวิจารณ์ด้วยซ้ำว่าสมควรแล้ว
รอยฟันบนสะโพกหนีไม่พ้นสายตาของซินเย่ว์ในที่สุด หากเป็นรอยจากพวกนักร้องสาวตามซ่องนางแม้แต่มองก็ยังไม่สนใจ แต่หลังจากรู้ว่าเป็นฝีมือองค์หญิงก็เริ่มมีการใช้วาจาเสียดสีเหน็บแนม จนสุดท้ายแล้วได้ยินว่าองค์หญิงมีครรภ์ก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง
ไม่ได้เป็นแบบที่อวิ๋นเยี่ยคิดไว้ก่อนเลย ซินเย่ว์ไม่ได้ร้องไห้ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่ขี่อยู่บนตัวอวิ๋นเยี่ยทั้งหยิกทั้งทุบทั้งถองไม่เลือกที่นอกจากที่สะโพกไม่ได้โดน ทุกส่วนของร่างกายขึ้นเขียวจนไม่มีที่ว่าง หยิกพลางด่าพลางว่าองค์หญิงแพศยาคนนั้นสมควรถูกจับใส่ในเข่งใส่หมูเอาไปถ่วงน้ำให้ตายไป
ลูกสาวเสฉวนเวลาเรื่องไม่ได้ใหญ่โตร้องไห้จะเป็นจะตาย แต่พอเจอเรื่องใหญ่กลับไม่ร้องเลย มื้อเย็นกินข้าวไปสามชาม แววตาที่เ**้ยมโหดฉายแสงแวววับไปทั่ว อวิ๋นเยี่ยที่เป็นต้นเหตุก่อเรื่องแทบจะต้องเอาศีรษะซุกไว้ในจานข้าว คนรับใช้ทั้งหญิงชายเวลาเดินต้องหนีบขาด้วยใจเต้นระทึก แม้แต่วั่งไฉที่ติดนิสัยหาอวิ๋นเยี่ยหลังอาหารเย็นก็โดนนางเตะหายไป
หากเป็นผู้ชายต้าถังคนอื่นตอนนี้คงสบายไปแล้วแต่อวิ๋นเยี่ยต่างกัน เขาเติบโตภายใต้ธงแดงเป็นเด็กดีรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษามานานปี ระบบสังคมสมัยโบราณไม่ได้แทรกซึมมาถึงเขา ผู้ชายบ้านอื่นสามารถมีเมียใหญ่เมียเล็กได้สามสี่คนกระทั่งนอนห่มผ้าผืนเดียวกันก็ยังไม่มีปัญหา แต่พอมาถึงเขาเรื่องเช่นนี้สามารถเป็นได้เพียงในจินตนาการ การที่ถูกภรรยาจับได้ในเรื่องที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้แต่เพียงขี่หลังทุบไม่กี่ที ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบแล้วเหลือหลาย จะมากล้าต่อต้านได้อย่างไร
เท้ายังไม่ได้ล้างก็มุดเข้าผ้าห่มเงียบเชียบแกล้งตายคอยเงี่ยหูฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซินเย่ว์ยกอ่างน้ำเองเดินเข้ามา ลากอวิ๋นเยี่ยอย่างรุนแรง ยังไม่ทันทำอะไรก็โดนจับเท้ายัดเข้าไปในอ่างน้ำร้อนมาก รู้ว่านางแกล้งแต่อวิ๋นเยี่ยกัดฟันไม่โวย แน่จริงก็ลวกเท้าทั้งสองข้างให้เป็นเท้าหมูไปเลย
ตาโตของซินเยว์จ้องที่อวิ๋นเยี่ยใช้มือออกแรงเต็มที่ปากพูดว่า “โหวเหยียเหม็นที่ไม่ล้างเท้าไม่รู้ว่าองค์หญิงถูกใจตรงไหน หรือว่านางชอบที่เหม็นมากๆหน่อย ข้าเคยได้ยินว่าพวกทู่ฟานตลอดชาติอาบน้ำเพียงสองครั้ง ทำไมไม่แต่งไปที่ทู่ฟาน ผู้ชายที่นั่นจึงเหมาะสมกับนางสามารถเหม็นได้ตลอดชาติ”
การเปรียบเทียบนี้ก็โหดร้ายเกินไป เมืองฉางอันบางครั้งก็มีทูตทู่ฟานปรากฏคนสองคน เวลาลมพัดเหม็นไปไกลถึงสิบลี้ ได้ผลชะงัดกว่าเจ้าหน้าที่เวลาห้ามคนออกถนน พอคนทู่ฟานปรากฏตัวถนนหนทางก็ไม่มีผู้คน สุดท้ายแล้วโดนเจ้าหน้าที่ตระเวณส่งกลับหงหลูซื่อสั่งไม่ให้ออกนอกประตู
ล้างอยู่นานร่วมธูปหนึ่งดอกเท้าถูกแช่จนขาวซีด ซินเย่ว์คงรู้สึกว่าล้างต่ออีกไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่หยุดเท้าคงพิการแน่ ตัวเองต้องมาดูแลคนขาเป๋ไม่คุ้มกันจึงได้ยอมปล่อยอวิ๋นเยี่ยไป
ปกติอวิ๋นเยี่ยนอนอยู่ด้านในของเตียง ผู้ชายต้าถังไม่นอนด้านนอกเพราะต้องโดนภรรยาก้าวข้ามไปมาไม่เป็นมงคล แต่คืนนี้ต่างกันซินเย่ว์เข็นอวิ๋นเยี่ยเหมือนเข็นกระสอบให้อยู่ด้านนอกตัวเองนอนอยู่ด้านใน
“ออกไป ผู้หญิงที่ไหนนอนด้านในช่างไม่มีมารยาทเลย”
“สามีเอ๋ย ไม่รู้ท่านนอนกับองค์หญิงแบบไหนพวกเราก็นอนเช่นนั้น ไม่แน่ว่านอนแบบนี้จะทำให้ข้ามีเด็กไวขึ้น ข้าถามคนดูแล้วธรรมเนียมราชวงศ์ตรงกันข้ามกับธรรมเนียมบ้านเรา ท่านนอนกับองค์หญิงนานป่านนี้ยังไม่รู้อีกหรือ”
คำพูดนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยตอบไม่ได้ หรือจะบอกซินเย่ว์ว่าตัวเองกับองค์หญิงเคยนอนด้วยกันครั้งเดียวทั้งยังอยู่ที่ตรอกสือโถว แต่ถ้าบอกไปยิ่งทำให้ซินเย่ว์กระทบกระเทือนถึงตายได้ พวกเขาพยายามกันแทบแย่มาแล้วสองสามเดือนยังสู้คนอื่นที่ทำครั้งเดียวไม่ได้แล้วจะทำให้นางอยู่ได้อย่างไร
ทันใดนั้นซินเย่ว์หันศีรษะมาใช้แววตาที่ใสแจ๋วจ้องอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านต่างกับคนอื่นเรื่องนี้บ้านอื่นทำกันอย่างเปิดเผยทำแล้วยังถือเป็นเรื่องถูกต้อง มีท่านคนเดียวที่ทำเหมือนทำผิดปล่อยให้ข้าใช้อารมณ์ เหมือนยอมถูกลงโทษที่กระทำผิดไปทำให้ข้ารู้สึกเสียใจ”
“ความหมายของเจ้าคือให้ข้าพรุ่งนี้ไปหาอีกคนหนึ่งแล้วกลับบ้านทุบตีเจ้าสักครั้ง เช่นนี้แล้วเจ้าก็ไม่เสียใจหรือ” รับไม่ได้เลยกับความคิดแสนประหลาดของซินเย่ว์
“ท่านนั่นแหละ คงจะส่งสายตาไปมากับองค์หญิง สาวใช้สวยๆมากมายในบ้านมีหลายคนเดินอวดโฉมแกว่งไกวอยู่หน้าท่านมานาน ไม่ใช่อยากเลื่อนชั้นเป็นภรรยาน้อยหรือ เจ้าไม่ใช่แกล้งโง่ทำเป็นไม่สนใจหรือ จดหมายจากทุ่งหญ้าข้าก็ได้อ่านแล้ว สาวทูเจวี๋ยสวยงามนอนอยู่ในกระโจมท่านตลอดฤดูหนาวก็ยังไม่โดนอะไร ข้าอ่านแล้วขำจนลุกยืนไม่ไหว หากไม่ใช่ข้ารู้ว่าร่างกายท่านไม่มีปัญหา ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องตลกใหญ่ในฉางอันแล้ว ท่านทำเพราะข้าหรือ”
พูดจบยังดึงถุงหอมที่คออวิ๋นเยี่ยมาดม ยังคงเป็นถุงหอมเก่านั้นแต่ไม่มีกลิ่นหอมแล้ว ซินเย่ว์ดึงออกเล็กน้อยมีเส้นผมกระจุกหนึ่งโผล่ออกมา นำออกมาเทียบกับเส้นผมตัวเอง พยักหน้าอย่างพอใจแล้วจึงยัดกลับเข้าไป หยิบด้ายเข็มใต้หมอนเย็บคืนกลับอย่างดีแล้วจึงนอนลงราวกับโล่งใจได้
อวิ๋นเยี่ยดูจนน้ำตาซึม กอดนางไว้ในอกค่อยๆอธิบายเรื่องราวของเขากับองค์หญิงให้นางฟัง ร่างกายที่อ่อนช้อยของซินเย่ว์ค่อยๆกระด้างขึ้น ฟังจนสุดท้ายแล้วโกรธจนห้ามไม่อยู่ เปิดผ้าห่มบางออกลุกขึ้นมานั่งเปลือยเปล่า ด่าหลี่อันหลานอย่างรุนแรง หากหลี่อันหลานอยู่ที่นี่อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าจะต้องโดนซินเย่ว์ใช้ค้อนทุบแน่ หน้าอกซินเย่ว์กระเพื่อมอย่างรุนแรง ภาพงดงามจนอวิ๋นเยี่ยมึนงง ทันใดนั้นซินเย่ว์เปลี่ยนอารมณ์พูดว่า “หรือเราลองผงสวรรค์นั้นดูดีไหม”
ศีรษะอวิ๋นเยี่ยตกลงบนหมอนอย่างแรง ต่อด้วยเสียงกรนดังราวฟ้าร้อง