บทที่ 8 ฟาดแตกเป็นชิ้นๆ Ink Stone_Fantasy
หลังหงก้วนถูกตีจนกองอยู่กับพื้นก็ไม่ได้คลานลุกขึ้นมาในทันที และเขาก็ไม่ได้คิดจะไปโต้ตอบเฉิงอี้หรานที่ชกใบหน้าเขาอย่างรุนแรงจนล้มกองลงกับพื้น
หงก้วนนั่งอยู่กับพื้น ก้มหน้าลง ใช้มือลูบบริเวณแก้มและปากที่เจ็บปวด เพราะถูกโจมตีอย่างรุนแรงจนมีเลือดซึมออกมา
หงก้วนมองคราบเลือดที่ติดลงมากับนิ้วของตนเองแวบหนึ่ง
เวลานี้เฉิงอี้หรานยื่นมือออกมาคิดจะดึงคนขึ้นมา เห็นแต่หงก้วนปัดมือออก แล้วทั้งสองคนก็จ้องกันอยู่อย่างนี้
ผ่านไปพักหนึ่ง หงก้วนถึงยืนขึ้นมาเอง จัดเสื้อผ้าของตนเองไปพลางพูดว่า “ฉันจะไปหาคนมาเสริม การแสดงคืนนี้ฉันไม่อู้แน่นอน แต่ไม่ว่าอย่างไร คืนนี้ก็จะเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายของฉัน”
หงก้วนมองใบหน้าที่ซับซ้อนของเฉิงอี้หรานแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจ ก่อนจะไปก็ตบที่บ่าของเขา พูดว่า “ไปล้างหน้าให้สดชื่อสักหน่อยเถอะ ไม่ว่านายจะโกรธหรืออะไรก็แล้วแต่”
ก่อนที่หงก้วนจะเปิดประตู เฉิงอี้หรานกำหมัดของตนเองแน่น “หงก้วน นายลืมคำพูดที่พวกเราเคยพูดแล้วหรือ”
ทั้งสองคนหันหลังให้กัน
หงก้วนเงยหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดว่า “เมียฉันใกล้คลอดแล้ว ค่าโรงพยาบาล ค่าคลอดล้วนแต่ต้องการเงิน หลังจากเด็กคลอดออกมา…”
หงก้วนส่ายหน้า “นายก็รู้…ฉันไม่ใช่คนคนเดียวที่คิดจะทำอะไรก็ทำได้อีกแล้ว ก็เหมือนกับชีวิตในตอนนี้ที่กินวันอดวัน ฉันไม่อาจให้เมียและลูกมีชีวิตแบบนี้ได้ อี้หราน นายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเข้าใจดนตรีของพวกเรา แต่เป็นเพราะพวกเราไม่มีพรสวรรค์นี้ อีกอย่าง…”
ในที่สุดเขาก็หันกลับไปมองแผ่นหลังของเฉิงอี้หราน “อีกอย่าง ตอนนี้พวกเราขอขึ้นเวทีในนามของวงอื่น นาย…หรือนายไม่รู้สึกแย่เลยเหรอ”
ไม่รู้ว่าประตูปิดไปเมื่อไหร่
เฉิงอี้หรานกุมหัวของตนเอง คุกเข่าลงกับพื้น เสียงของไนต์คลับด้านนอกนั้นดังมาก ดังจนทำให้พื้นของที่นี่สั่นสะเทือนเบาๆ
เฉิงอี้หรานเปลี่ยนจากกุมหัวมากุมใบหน้าของตนเอง คุกเข่าอยู่บนพื้น เขาไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นจากเมื่อไหร่กัน ที่สมาชิกในวงกลายเป็นน้อยลงเรื่อยๆ…จนสุดท้ายก็เหลือเพียงแค่เขากับหงก้วนสองคน
แม้แต่ชื่อคอนเสิร์ตที่ใช้ในตอนนี้ก็ไม่ใช่ชื่อในตอนแรก
เฉิงอี้หรานจำคำพูดของสมาชิกวงคนแรกที่จากไปไม่ได้แล้ว…แม้แต่คำพูดที่หงก้วนพูดเมื่อครู่ เขาก็อยากจะลืมมันไปให้ได้
พี่น้องพบและรู้จักกันในช่วงเวลาไล่ล่าฝัน
อายุน้อย เต็มเปี่ยมไปด้วยความเลือดร้อน ก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้ความหวาดกลัว
“เหลือแค่ฉันเพียงคนเดียวแล้ว”
ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็ยืนขึ้นมา คว้ากีต้าร์ไฟฟ้าที่วางอยู่ในมุมแล้วก็ฟาดมันลงบนพื้น
ฟาดมันจนแตกเป็นชิ้นๆ!
“เหลือแค่ฉันเพียงคนเดียว! เหลือแค่ฉันเพียงคนเดียว! เหลือแค่ฉันเพียงคนเดียว! เหลือแค่ฉันเพียงคนเดียว! ไป! ไปกันหมด! ไปกันหมดแล้ว! ไปหมดแล้ว! อ้ากกก!”
ในที่สุดเฉิงอี้หรานก็หยุดมือ กีต้าร์ไฟฟ้าในมือเหลือเพียงด้ามเอาไว้ซ่อนดวงตาโดดเดี่ยวคู่นั้นของตนเอง
โดดเดี่ยว
…
หลังจากหงก้วนไปแล้ว ไท่อินจื่อก็ยังแทะเมล็ดแตงดูเงียบๆ
หลังจากดื่มชีวาสในมือไปสองอึกแล้ว ไท่อินจื่อถึงได้หันกลับไปตามทางที่เดินมา ในมือของเขามีการ์ดสีขาวกำลังปรากฏขึ้นอย่างวับๆ แวมๆ
ดูเหมือนจะรวมตัวหรือกระจายหายได้อย่างอิสระ
เพียงแต่สีหน้าของเจ้าของสมาคมคนใหม่เอี่ยมดูหนักอึ้งขึ้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
จนกระทั่งไท่อินจื่อตามกลิ่นอายของเจ้าของสมาคมมาถึงตรงหน้าของเจ้าของสมาคมลั่วนั้น การ์ดสีขาวบนมือของเขาถึงได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น
ส่วนสีหน้าของไท่อินจื่อก็เปลี่ยนเป็นมีความสุข
เจ้าของสมาคมลั่วที่กำลังคุยอยู่กับคุณหนูสาวใช้มองมาที่ไท่อินจื่อแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างสนใจว่า “ไท่อินจื่อเดินไปครู่เดียวก็ได้เก็บเกี่ยวแล้วหรือ”
“นายท่านเชิญดู”
ไท่อินจื่อใช้สองมือยื่นการ์ดสีขาวออกไป
ในขณะที่การ์ดสีขาวจะสัมผัสถูกมือของลั่วชิวนั้น ไท่อินจื่อก็หลุบตาลงเล็กน้อย เจ้าของสมาคมลั่วจึงหยุดมือ “ไท่อินจื่อ นายไม่อยากให้ฉันดูข้อมูลของเสาทองคำใช่ไหม”
“ไม่…” ไท่อินจื่อเงยหน้าขึ้นในทันใด พูดว่า “ข้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร! ข้าเพียงแต่…ข้าเพียงแต่กลัว!”
“หืม?” ลั่วชิวพูดอย่างสนใจว่า “นายกลัวอะไร?”
ไท่อินจื่อพูดว่า “ก็ข้ามักจะทำเรื่องให้ยุ่งตลอด และก็ไม่รู้ว่าจะเหมาะสมหรือไม่…นายท่านให้ข้าไปศึกษาอีกหน่อยได้หรือไม่”
คิดไม่ถึงว่าคุณหนูสาวใช้ด้านข้างกลับพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ไท่อินจื่อ หรือนายลืมกฎของสมาคมไปแล้ว การ์ดขาวขึ้นรูปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องส่งให้นายท่าน หากนายไม่ส่งก็ต้องตาย”
“เช่นนั้น…” ไท่อินจื่อสีหน้าเปลี่ยน ในที่สุดก็กัดฟันเอ่ยว่า “นายท่านเชิญ”
ในตอนที่ลั่วชิวเอาการ์ดขาวมาไว้ในมือแล้วก็พึมพำว่า ‘หือ’ เบาๆ ออกมาพร้อมกับเอียงคอ
ไท่อินจื่อตกใจ แต่ปฏิกิริยาแรกก็ไม่ได้รู้สึกว่านายท่านไม่พอใจ แต่เป็นอะไรบางอย่าง ซึ่งไท่อินจื่อคุ้นเคยกับปฏิกิริยานี้มาก
นี่เป็นปฏิกิยาเดียวกับที่เขาเคยมีเมื่อห้าร้อยปีก่อน ตอนที่พบกับโอกาสที่มาอย่างไม่คาดฝัน
เวลานี้เห็นเพียงคุณหนูสาวใช้ก้มลงกระซิบข้างหูลั่วชิวว่า “นายท่าน ฉันจะไปดูหน่อย”
พูดแล้วโยวเย่ก็เดินเข้าไปในในหมู่คนที่กำลังเต้นรำกัน
“นายท่าน เมื่อครู่นี้ดูเหมือนมีคนกำลังแอบมองท่านอยู่!” ไท่อินจื่อขมวดคิ้วพูดขึ้น
เจ้าของสมาคมลั่วเล่นกับการ์ดขาวในมือ ยิ้มและพูดว่า “ฉันมีอะไรน่าให้แอบมองกัน ฉันว่าน่าจะมองนายมากกว่า”
ไท่อินจื่อชี้มือมาที่ตัวเองอย่างมึนงงแล้วย้อนถามว่า “มองข้า?”
พูดแล้ว ไท่อินจื่อก็ขมวดคิ้ว หันกลับไปมองผู้คนภายในห้องโถงอย่างละเอียด แล้วก็พูดว่า “ใช่ จริงๆ! ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้จะมีกลิ่นอายสกปรกเช่นนี้ปนอยู่ด้วย”
เมื่อครู่นี้เขาใจจดใจจ่ออยู่กับงานที่ทำสำเร็จจึงไม่ได้ใส่ใจ พอดูดีๆ แล้ว ไท่อินจื่อก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายปีศาจรวมถึงวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่เข้าพวกได้ในทันที
ไท่อินจื่อเบิกตากว้างขึ้น ยื่นมือยาวออกไปบังอยู่ตรงหน้าของเจ้าของสมาคมลั่ว แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “นายท่านวางใจได้! แม้ร่างกายจะต้องแหลกเป็นชิ้นๆ ข้าก็ก็จะคุ้มครองท่านให้ปลอดภัย!”
“ดื่มเหล้าเถอะ”
ลั่วชิวกลับส่ายหน้า ดูท่าเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ แต่กลับยื่นมือไปคว้าชีวาสที่ยังไม่เปิดบนบาร์มาหนึ่งขวด เลื่อนไปตรงหน้าไท่อินจื่อ “เสาทองคำที่เจ้าหาได้จะขึ้นเวทีแล้ว”
“นายท่าน ท่าน…ท่านอ่านแล้วหรือ” ไท่อินจื่อตกใจ
เห็นเพียงลั่วชิวส่ายหน้าและไม่พูดอะไร เพียงแค่หยิบแก้วยีนฟิซไปชนกับชีวาสเล็กน้อย พูดยิ้มๆ ว่า “เชียร์ส”
และในขณะเดียวกัน ผู้ชายมีหนวดบนเวทีก็จับไมโครโฟนแล้วร้องตะโกนออกมาว่า “สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน! พวกเรามาทำให้บรรยากาศคึกครื้นขึ้นไปอีกดีไหม ขอบ้าคลั่งกว่านี้…”
…
…
“…ขอเสียงดุดันกว่านี้อีกได้ไหม ดี! เพื่อไม่ให้เสียเวลา! พวกเราขอเชิญวงดนตรีที่มีชื่อเสียงของเรา ‘วงรถถังเยอรมัน’!”
เสียงนั้นดังทะลุผนัง…จนตรอกหลังประตูไนต์คลับก็ยังได้ยินเสียง
คุณหนูสาวใช้หันหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนี้ จากนั้นค่อยหันมามอง…แผ่นหลังที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อมองแผ่นหลังนี้ชั่วเวลาแวบหนึ่งก็ทำให้คุณหนูสาวใช้รู้สึกคุ้นเคย
จะพูดว่าอย่างไรดี
ทรงผมตั้งแปลกประหลาดสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายตารางหมากรุก และยังมีกางเกงขาลีบนั่นอีก…คุณหนูสาวใช้รู้สึกเหมือนตนเองมองเห็นทูตภูตดำคนใหม่ของสมาคมก็ไม่ปาน
ตอนนี้ผู้ชายที่มีกลิ่นอายแปลกประหลาดคนนี้ก็หยุดฝีเท้าลง “ฮา ข้าเพียงแต่มองพวกเจ้าในกลุ่มคนแวบเดียวก็ไล่ตามข้ามาถึงที่นี่แล้ว เกี่ยวกับเสน่ห์ที่มีอย่างเหลือล้นของข้าหรือไม่”
ผู้ชายที่มีสำเนียงซื่อชวนหันกลับมา หัวเราะแล้วพูดว่า “ฮา ถึงแม้ว่าเจ้าจะสวยมาก! แต่อย่างมากก็เป็นได้แค่ที่สอง ดังนั้นอย่าได้มาหลงรักข้าละ ฮา!”
คุณหนูสาวใช้ไร้อารมณ์ มีเพียงดวงตาสีฟ้าที่เปล่งประกาย “ขอถามนายสักหนึ่งคำถามได้ไหม”
“ฮา! เอาสิ เอาสิ หากข้าอยากตอบเจ้าข้าก็จะตอบ แต่…” อีกฝ่ายสั่นหัวตัวเอง “หากข้าไม่ชอบก็จะไม่พูด”
“ทำไม่ถึงต้องแอบดูพวกเราด้วย”
“ฮา! ดวงตาอยู่ที่ตัวข้า ข้าจะดูอะไรต้องให้พวกเจ้ามายุ่งด้วยเหรอ”
ผู้ชายที่มีกลิ่นอายแปลกประหลาดพูดไม่หยุด ดวงตากะพริบอย่างรวดเร็ว แสงสีทองวาบผ่านดวงตาแวบหนึ่ง “ฮา! ไม่ใช่ผี ไม่ใช่คน ไม่ใช่ปีศาจ เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่? น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ!”
“เจ้าละ?” คุณหนูสาวใช้ยิ้ม พูดเบาๆ ว่า “แน่นอนว่าฉันเป็นสมบัติของนายท่านเท่านั้น อีกอย่าง…”
ผู้ชายที่มีกลิ่นอายแปลกประหลาดชะงัก สาวสวยตรงหน้าหายตัวไป…พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าใกล้ตัวเขามาก
ส่วนเสียงนั้นก็เหมือนกระซิบอยู่ที่ข้างหูเขา
“…อีกอย่าง นอกจากนายท่านของฉันแล้ว ฉันก็ไม่ชอบให้คนอื่นมาเรียกฉันเป็นสิ่งของ”
ผู้ชายที่มีกลิ่นอายแปลกประหลาด…เสี่ยวเซิ่งเกอขนลุกตั้งไปทั้งตัว ถอยออกมาก้าวหนึ่งทันที
หัวใจของเขาเหมือนโดนสายฟ้าผ่า หนังหัวชา “ฮา…น่าสนใจ…น่าสนใจ”
คาดไม่ถึงว่าสาวสวยตรงหน้าจะเพียงพูดอย่างเรียบเฉยว่า “นายท่านของฉันไม่ชอบให้ลงมือโดยไร้ความหมาย ในเมื่อนายเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นธรรมดาก็แล้วไป แต่คราวหลังขอให้ระมัดระวัง…คำพูดด้วย”
คุณหนูสาวใช้หันหน้าจากไป
เสี่ยวเซิ่งเกอชะงัก ลูบหน้าผากของตนเองโดยไม่รู้สึกตัว มีเหงื่อเต็มมือ…เขารู้สึกว่าแผ่นหลังเย็น เมื่อยื่นมือออกไปลูบ สีหน้าถึงฉายแววหลาดกลัว
ด้านหลังของเขาตั้งแต่เสื้อเชิ้ตไปจนถึงกางเกงหายไปแล้ว…เหมือนกับถูกอะไรสักอย่างเผาผลาญไป
“แม่มันสิ…ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน” เสี่ยวเซิ่งเกอกะพริบตาไม่หยุด “ดุยิ่งกว่ายัยหลงซีรั่วเสียอีก…”
เสี่ยวเซิ่งเกอสั่นสะท้านขึ้นมาในทันใด แล้วจึงรู้สึกถึงความเจ็บปวดเสียดแทงกระดูกออกมาจากแผ่นหลัง “เจ็บ เจ็บจริงๆ…”