บทที่ 6 บทที่ 9 สายขาด

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

ในตอนที่โยวเย่กลับมานั้น ก็เห็นเพียงไท่อินจื่อมองรอบด้านอย่างระมัดระวัง…หากเอามีดให้เล่มหนึ่งจะเป็นท่าทางยังไงนะ

 

 

นั่นก็คงเหมือนการแสดงคณะเชิดมังกรที่ไร้ชื่อเสียง แต่กลับขายกำลังควงมีดคุ้มกัน

 

 

“นายท่าน”

 

 

“กลับมาแล้วเหรอ” ลั่วชิวพยักหน้า “ไม่ได้เจอปัญหาอะไรใช่ไหม”

 

 

คุณหนูสาวใช้เข้ามาใกล้แล้วกระซิบว่า “เป็นเพียงปีศาจที่มีพลังใช้ได้ตัวหนึ่งเท่านั้น น่าจะเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็น ไม่ได้มีความคิดอื่น ฉันตักเตือนไปแล้ว นายท่าน จัดการแบบนี้ได้ไหมคะ”

 

 

“จัดการตามใจเธอได้เลย” ลั่วชิวหัวเราะ ตวัดมืออกไปหยิบอะไรขึ้นมาจากบ่าของโยวเย่

 

 

“นี่คือ…” โยวเย่ขมวดคิ้ว ปกติเธอมีนิสัยรักสะอาด ร่างกายไม่เคยเปื้อนฝุ่น

 

 

“ดูเหมือนขนเลยนะ” ลั่วชิวกวาดมือปัดบนไหล่ของคุณหนูสาวใช้เบาๆ “น่าจะเป็นของปีศาจตัวเมื่อกี้เหลือทิ้งเอาไว้”

 

 

“นายท่าน ครั้งนี้โยวเย่ลำพองใจเกินไป” ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนนี้สีหน้าของคุณหนูสาวใช้ถึงได้ปรากฏท่าทีตำหนิตนเองเป็นครั้งแรกขึ้นมา

 

 

“เธอก็พูดแล้วว่าเป็นปีศาจที่มีพลังใช้ได้ตนหนึ่ง มีฝีมือบางอย่างที่จับไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ”

 

 

ลั่วชิวหัวเราะ ยื่นมือออกไปลูบหว่างคิ้วที่ขมวดเป็นปมของโยวเย่เบาๆ “ที่มาพลังของพวกเราไม่เหมือนกัน สัมผัสไม่ได้ครั้งหนึ่งสองครั้งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร”

 

 

พูดไปลั่วชิวก็พิจารณาขนสั้นๆ ในมือไป…ขนสีทองยาวประมาณครึ่งนิ้วมือ ทันใดนั้นเจ้าของสมาคมก็แบมือออก ให้ขนเส้นนั้นตกลงบนฝ่ามือของเขา

 

 

ทันใดนั้นมันก็แตกสลายละเอียดเหมือนฝุ่นผง เพียงแค่ลมพัดผ่านก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

“ก็เปรียบเหมือนสิงโตที่ไม่สนใจมดคลานอยู่บนพื้น” ลั่วชิวพูดขึ้นแล้วก็หัวเราะ มองโยวเย่อีกครั้ง “ไม่ต้องตำหนิตัวเอง แต่ก็เสียใจได้ เพราะแบบนั้นก็น่ารักดี แถมยังเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นด้วย”

 

 

โยวเย่พยักหน้า แต่เพียงพริบตาเธอก็กลับสู่ท่าทางคุณหนูสาวใช้ของสมาคมผู้ทำได้ทุกอย่างเช่นเดิม

 

 

“พวกเราดูการแสดงเถอะ” ลั่วชิวมองไปบนเวที เห็นชายหนุ่มสองคนถือเครื่องดนตรีของตนเอง โบกมือเดินออกมาจากหลังเวที

 

 

ไม่พูดอะไรเสียงดนตรีก็ดังขึ้นมา มือกีตาร์อย่างเฉิงอี้หรานเริ่มการโซโลของตนเองเป็นครั้งแรก นิ้วมือของเขาดีดลงไปบนสาย ทำให้เสียงเอฟเฟคดังขึ้นอีก

 

 

ลั่วชิวดื่มยีนฟิซคำสุดท้าย แล้วก็พูดว่า “ไท่อินจื่อ ในเมื่อนายเป็นคนหาเสาทองคำพบ งั้นก็ไปทำงานเถอะ”

 

 

“ข้า…ข้ารับทราบขอรับ” ไท่อินจื่อพยักหน้า

 

 

 

 

 

 

มีคนพูดว่าร็อกแอนด์โรลของประเทศนี้ได้ตายไปแล้ว แต่ก็มีคนพูดว่ามันยังคงอยู่

 

 

สำหรับเฉิงอี้หรานแล้ว แน่นอนว่ามันยังคงอยู่ สำหรับคนที่ชอบมันแล้ว มันคงอยู่เสมอ

 

 

แต่สิ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ไม่สนว่าคนที่เชื่อมั่นมีกี่เสียง แต่คนที่ชอบมันกำลังลดลงเรื่อยๆ และคนที่เข้าใจมันก็น้อยลงเรื่อยๆ เช่นกัน

 

 

สถานการณ์เช่นนี้ทิ่มแทงจิตใจนักดนตรีร็อกแอนด์โรลอย่างรุนแรง…ทำให้รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คำพูดโต้แย้งต่างๆ นานา สุดท้ายกลับกลายเป็นความว่างเปล่าไม่สามารถต้านทานกระแสหลักของสังคมได้

 

 

บางทีพวกเขาก็เกาะไปกับกระแสหลักบางกระแส หรือไม่ก็สร้างเส้นทางเลือดสายหนึ่งออกมาเพื่อนำมันขึ้นแสดงบนเวที

 

 

แต่ในประเทศที่มีประชากรสิบสี่ล้านคนนี้ ยังมีคนแบบพวกเขาน้อยมาก

 

 

ใครจะรู้ว่า อาจมีสักวันที่ร็อกแอนด์โรลจะกลับมาโด่งดังไปทั่วประเทศนี้อีกครั้ง เหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน

 

 

คนที่เดินเส้นทางนี้แล้วประสบผลสำเร็จนั้นน้อยลงทุกที ไม่มีแบบอย่างก็ไม่อาจก้าวเดินได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีเสาทองคำเป็นเบื้องหลัง ทำได้แต่แย่งชิงกับคนเป็นพันเป็นหมื่นเพื่อขึ้นเวทีเดียว ไม่มีกำลังที่เหนือล้ำมีแต่เพียงเลือดที่ร้อนระอุ ทำได้เพียง…

 

 

ทำได้เพียงอยู่ในสถานที่เช่นนี้

 

 

ใต้เวทีนั้นตื่นเต้นคึกคักผิดปกติ…แต่ความคึกคักนี้ไม่ได้เป็นเพราะเสียงดนตรีในตอนนี้ แต่เป็นเพราะความมึนเมาและความงามรอบกาย

 

 

นิ้วของเฉิงอี้หรานดีดเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าปลายนิ้วกำลังเจ็บ กำลังชา ครั้งแรกที่เขาเรียนดีดกีต้าร์นั้นก็มักรู้สึกว่านิ้วมือเจ็บและชาเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดเท่าตอนนี้

 

 

เขาพยายามเล่นทุกอย่างที่เขาเล่นได้ออกมาอย่างเต็มกำลังเพื่อคนในที่แห่งนี้…เป็นเครื่องมือสำหรับการสร้างบรรยากาศ

 

 

เสียงดนตรีดังขึ้นอีกครั้งแต่กลับไม่มีใครมองเขา

 

 

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ…ดูเหมือนมีเสียงกำลังกระซิบอยู่ข้างหูของเขาว่า นี่เป็นสิ่งที่นายต้องการงั้นหรือ

 

 

เป็นเสียงของตัวเขาเองงั้นเหรอ หรือว่าเป็นเสียงของคนอื่น

 

 

ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็ไม่ได้ยินเสียงอันคึกครื้นใต้เวที

 

 

ดูเหมือนเขาจะสูญเสียการได้ยินอย่างฉับพลัน และมีเสียงผึ้งบินวนอยู่ในหัวของเขาไม่หยุด พวกมันดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ ทำลายความภาคภูมิใจความดื้อดึงของเขาลงไปในพริบตาจนเขาไม่เหลืออะไรเลย

 

 

เฉิงอี้หรานได้สติกลับมาด้วยเสียงแตกอันดังสนั่น เป็นเครื่องเสียงมากมายด้านล่างเวทีส่งเสียงแสบแก้วหูสายหนึ่งออกมา

 

 

เฉิงอี้หรานรู้สึกตกใจและหวาดกลัว เมื่อคนฟังที่ไม่แม้แต่จะมองเขาหันมามองที่เขาทีละคนๆ อย่างประหลาดใจ

 

 

เฉิงอี้หรานมองสองมือของตนเอง มองกีต้าร์ไฟฟ้าในมือเขา…มองสายกีต้าร์ที่ขาดเพราะความบ้าคลั่งของเขา

 

 

สายขาด เขาทำสายขาด

 

 

เฉิงอี้หรานขยับริมฝีปากเล็กน้อย ดูเหมือนคิดจะพูดอะไร แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกกลัวขึ้นมา

 

 

เขาทำตัวไม่ถูก ร่างกายของเขาถอยหลังเองตามสัญชาตญาณ

 

 

หงก้วนที่อยู่ด้านข้างมองเห็นเหตุการณ์นี้ก็รีบดีดเบสไฟฟ้าในมือเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ทันที

 

 

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ” เขาพูดเบาๆ

 

 

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ” เขาพูดเบาๆ

 

 

“นี่ไม่ใช่…สิ่งที่ฉันต้องการ!” เขาตะโกนออกมาอย่างฉับพลัน

 

 

ตึง!

 

 

เขาปลดกีต้าร์ไฟฟ้าออกจากตัวเขาทำให้มันตกลงบนเวทีอย่างรุนแรง จากนั้นก็พุ่งตัวออกจากเวที ทิ้งฉากความตกใจและไม่เข้าใจรวมทั้งการถอนหายใจของหงก้วนเอาไว้ด้านหลัง

 

 

 

 

เฉิงอี้หรานใช้สองมือกวักน้ำใส่หน้าของตนเองไม่หยุดในห้องน้ำห้องหนึ่งในไนต์คลับ

 

 

เขาทำให้ผมและใบหน้าของเขาเปียกโชก…เขาทำเช่นนั้นลงไปเหมือนกับตกอยูในภวังค์…บางทีอาจจะเป็นเพราะคำพูดที่หงก้วนพูด

 

 

ทำให้เขาสงบลงหน่อย ไม่ว่าจะเป็นความโมโหแล้วก็อย่างอื่น

 

 

เฉิงอี้หรานเงยหน้าขึ้นมองตนเองในกระจก ผมของเขาเปียกและแนบไปกับใบหน้า ไม่ต้องสงสัยเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าใบหน้าในกระจกนั้นเป็นใบหน้าของไอ้ขี้แพ้คนหนึ่ง

 

 

เขาพิงไปกับกำแพงปล่อยให้ร่างกายไถลนั่งลงมาเอง ทิ้งสองมือให้สัมผัสกับพื้นอันเย็นเฉียบและก้มหน้าลง เฉิงอี้หรานปล่อยให้ตนเองนั่งลงอย่างนั้นด้วยหัวสมองขาวโพลน

 

 

ทันใดนั้น เขาก็ออกแรงดึงสร้อยคอเส้นหนึ่งออกมา…สร้อยโลหะถูกดึงออกมาและโยนลงพื้นอย่างรุนแรง

 

 

ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็หัวเราะขึ้น เหมือนกำลังหัวเราะเยาะตนเอง…เขายืนขึ้นมา ออกจากห้องน้ำเหมือนไร้ซึ่งจิตวิญญาณ น้ำบนใบหน้าและเส้นผมหยดลงพื้นไปตามทาง เขาเดินขึ้นบันได สุดท้ายก็ไปถึงชั้นดาดฟ้า

 

 

เฉิงอี้หรานไปยังสถานที่ที่เขาคิดว่าจะเป็นที่สิ้นสุด

 

 

เฉิงอี้หรานยืนอยู่ขอบอาคารมองลงไปยังถนนด้านล่าง เขากางแขนออก หลับตาลงและผ่อนคลายร่างกายของตนเอง

 

 

“จะตายไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ น่าเสียดายจริงๆ”

 

 

เสียงดังขึ้นอย่างแจ่มชัดทำให้เฉิงอี้หรานลืมตาขึ้นมาในทันที

 

 

ส่วนเสียงนั้นก็ยังคงดังขึ้นอีก “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการชีวิตนี้แล้ว ทำไมไม่ใช้มันแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่างละ”

 

 

“ใคร ใครอยู่ที่นี่”

 

 

เฉิงอี้หรานมองไม่เห็นเงาร่างใดๆ ได้ยินเพียงแต่เสียงเท่านั้น

 

 

“ถ้าหากข้าบอกว่าเจ้าสามารถใช้วิญญาณของเจ้าแลกกับความสำเร็จของเจ้าได้ เจ้าจะยอมแลกไหม”

 

 

“ใครอยู่ที่นี่!”

 

 

“เจ้าอยู่ที่นี่ ที่นี่มีแค่เจ้า…กับตัวเจ้าเองที่สามารถทำให้เจ้าสมปรารถนา”

 

 

เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นเล็กน้อย “มาเถอะ…เพียงแค่เจ้ายอมก็จะสามารถทำความปรารถนาของเจ้าให้สำเร็จ เจ้าอาจจะสามารถใช้ดนตรีของเจ้าสยบโลกใบนี้ก็ได้ มาเถอะ…”

 

 

“มาเถอะ…ตามข้ามา…”

 

 

เฉิงอี้หรานเหมือนถูกอะไรดึง ทำให้เขาเริ่มก้าวออกจากขอบอาคาร…แต่เขาก็ยังมองไม่เห็นเงาร่างใดๆ นอกจากตัวเขาเอง

 

 

แต่เหมือนเขาจะรู้ว่าควรเดินไปที่ไหน เขาก้าวลงไปตามบันไดทีละก้าวๆ สุดท้ายก็เดินไปถึงห้องส่วนตัวห้องหนึ่งของไนต์คลับ

 

 

เฉิงอี้หรานเปิดประตูเข้าไป ด้านในมืดมากไม่ได้เปิดไฟ มองเห็นเงาร่างรางๆ สองร่าง

 

 

เงาร่างหนึ่งนั่งอยู่และอีกเงาร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่