ตอนที่ 212-2 วันสมรสกำหนดแล้ว

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

สวีโย่วรีบกลับเมืองหลวงด้วยความร้อนอกร้อนใจ เข้าวังกลางดึกรายงานหน้าที่ เล่าเรื่องสืบสาวกวาดล้างทหารกบฏก่อนหนึ่งรอบ จากนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้นไม่ลุกขึ้นอีกทันที “เสด็จลุง หลานเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ท่านคิดว่างานสมรสของหลานควรจัดได้แล้วหรือยัง วันที่ยี่สิบหกเดือนสี่เป็นวันดี หลานคิดว่าวันนั้นก็ไม่เลว”

 

 

จักรพรรดิยงเซวียนมองหลานชายที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เขายังจมดิ่งอยู่ในความดีใจในชัยชนะ ยังคิดจะปูนบำเหน็จให้หลานชายอีกหน่อย ไม่นึกว่าท่าทีของหลานชายจะเปลี่ยนไปเร็วเพียงนี้ ชั่วขณะก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องสมรสแล้ว

 

 

นิ้วมือจักรพรรดิยงเซวียนชี้สวีโย่วอยู่นานก็พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว เคยได้ยินคนเกลียดการแต่งงาน แต่ไม่เคยได้ยินคนที่ร้อนใจอยากจะแต่งงานเช่นนี้ วันที่ยี่สิบหกเดือนสี่ วันนี้ก็วันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนสี่แล้วมิใช่หรือ เวลาสี่ห้าวันจะพอให้ทำอะไร

 

 

ทว่าสวี่โย่วกลับมีเหตุผลอย่างยิ่ง “เตรียมการหรือ ไม่มีอะไรจำเป็นต้องเตรียม เดิมหลานก็ควรแต่งงานตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เตรียมเสร็จสมบูรณ์อย่างยิ่งแล้ว ตอนนี้ล่าช้าอยู่นานเพียงนี้ ก็ยิ่งควรจะเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลานคิดว่าต่อให้จะกำหนดวันเป็นพรุ่งนี้ กรมพิธีการกับจวนอ๋องก็สามารถวางลำดับพิธีได้แล้ว”

 

 

น่าขัน เขาจะไม่รีบได้อย่างไร หากยังไม่แต่งน้องสี่แซ่เสิ่นมาไว้ในมือนางก็คงจะหนีไปแล้ว ระหว่างทางกลับเขาก็ได้รับข่าว บอกว่าจิ้นหวังเฟยเชิญน้องสี่แซ่เสิ่นไปสนทนาที่จวนอ๋อง หลานสาวคนดีผู้นั้นที่บ้านฝั่งมารดานางก็เปิดตัว แม้ว่าน้องสี่แซ่เสิ่นจะไม่ถูกเอาเปรียบ ทั้งยังทำจิ้นหวังเฟยโกรธจนหงายหลัง

 

 

แต่สวีโย่วก็เป็นกังวล น้องสี่แซ่เสิ่นไม่ใช่คนใจเย็น ทั้งยังรำคาญปัญหาจุกจิกที่น่าเบื่อเหล่านี้ เขากลัวอย่างยิ่งว่านางจะกลับคำหนีไป ถึงตอนนั้นนางใช้ไม้ตายอะไรออกมา เชิดหน้าออกไปท่องยุทธภพด้วยตัวเอง แล้วเขาจะไปหานางจากไหน รีบแต่งกลับมาให้สบายใจดีกว่า!

 

 

“พรุ่งนี้หรือ เจ้าคิดว่าเสนาบดีกรมพิธีการของเราเป็นเทวดาหรือ อาโย่ว เจ้าอยากแต่งภรรยาเพียงนี้เลยหรือ” จักรพรรดิยงเซวียนยิ้มก่นด่าหนึ่งครา หลังจากนั้นก็หยอกล้อหลานชายขึ้นมาอีกครั้ง “คุณหนูตระกูลเสิ่นผู้นั้นดีเพียงนั้นเชียวหรือ”

 

 

ทว่าสวีโย่วกลับพยักหน้าอย่างจริงจัง “เสด็จลุง หลานคิดว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นดี อยู่กับนางหลานจึงรู้สึกมีความสุข”

 

 

เดิมจักรพรรดิยงเซวียนคิดจะบอกว่าอย่างน้อยก็ต้องเตรียมงานสักครึ่งเดือน แต่เห็นท่าทางห่อเ**่ยวกับสีหน้าจริงจังบนใบหน้าของหลานชาย หัวใจเขาก็อ่อนลงอีกครั้ง ช่างเถอะ ตั้งแต่เล็กหลานชายคนนี้ก็เย็นชา ตลอดทั้งปีไม่เคยเห็นเขายิ้มสักครั้ง ทั้งยังไม่เคยเห็นเขาชอบอะไรหรือชอบใครมาก่อน ยากจะเห็นว่าเขาสนใจสตรีเพียงนี้ ซ้ำยังเป็นคู่หมั้นของตนเอง เช่นนั้นก็ทำให้เขาสมหวังเถอะ จักรพรรดิยงเซวียนตัดสินใจว่าแม้กรมพิธีการจะทำงานล่วงเวลาก็ต้องทำให้หลานชายสมปรารถนา

 

 

สวีโย่วปฏิเสธพระกรุณาธิคุณที่จักรพรรดิยงเซวียนให้เขาค้างคืนในวัง หนึ่งก็เพื่อหลีกเลี่ยงการสงสัย อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่พระราชบุตร ซ้ำยังเป็นผู้ใหญ่แล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือเขายังอยากไปปีนกำแพงจวนจงอู่โหวเยี่ยมเยียนหญิงงามอยู่ด้วย

 

 

เมื่อสวีโย่วเข้าไปใกล้ห้องของเสิ่นเวยนางก็รู้สึกตัวแล้ว แอบเตรียมป้องกันตัวเงียบๆ เมื่อเห็นศีรษะงดงามศีรษะนั้นชะโงกเข้ามาจากหน้าต่าง เสิ่นเวยไม่แม้แต่จะคิดก็ปาเหรียญทองแดงออกไปแล้ว

 

 

“เอ๋ คุณชายใหญ่สวี สีหน้าไม่เลว หายป่วยแล้วหรือ” เสิ่นเวยกอดอกกระแทกกระทั้นส่อเสียดสวีโย่ว

 

 

ดูสิ โกรธจริงๆ ด้วย สวีโย่วรู้ตัวดีว่าตนผิด ลูบจมูกวางเหรียญทองแดงที่รับไว้เมื่อครู่ลงบนโต๊ะให้นาง “หายแล้ว หายดีแล้ว แข็งแรงฮึกเหิม กำลังวังชาดีขึ้นร้อยเท่าเลย”

 

 

 เขายกเท้าเดินเข้ามาหาเสิ่นเวย แต่กลับถูกเสิ่นเวยถีบออกไป “ท่านอยู่ห่างข้าหน่อย แม่เลี้ยงผู้นั้นของท่านไม่ใช่เตรียมอนุภรรยาในจวนไว้ให้ท่านหรือ ท่านไม่กลับจวนอ๋องไปปลอบขวัญหญิงงาม วิ่งมาหาข้าที่นี่ทำไม” เดิมเสิ่นเวยก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ แต่เมื่อเห็นหมอนี่ นางก็โมโหอย่างถึงที่สุด ชีวิตที่สงบสบายและมีความสุขของนางถูกหมอนี่ทำพังแล้ว ความฝันจะเป็นเศรษฐีนีอันดับหนึ่งของนาง ความฝันท่องยุทธจักรของนาง สูญสลายหายไปหมดแล้ว

 

 

แย่แล้ว โมโหแรงยิ่งนัก สวีโย่วร้องทุกข์เงียบๆ ในใจ แต่บนใบหน้ากลับแสร้งไม่มีความผิด “อนุภรรยาอะไร คุณหนูสี่แซ่เสิ่น เจ้าอย่าโทษช้า ข้าไม่มีแม้แต่สาวใช้สตรีด้วยซ้ำ ไหนเลยจะมีอนุภรรยาได้ เจ้าต้องเข้าใจผิดเป็นแน่”

 

 

“หึ!” เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา “ท่านแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องให้น้อยหน่อย ท่านกล้าพูดหรือว่าท่านไม่รู้แผนการของแม่เลี้ยงท่าน ซ่งจยาฮุ่ยผู้นั้นท่านอย่าบอกว่าท่านไม่รู้จัก! ไอหยา หน้าตานั่นก็ อืม หน้ารูปไข่นั่น รูปร่างนั่น ทรวดทรงองเอวนั่น ยังมีขาวยาวๆ นั่นอีก คุณชายใหญ่สวีมีบุญตายิ่งนัก!”

 

 

“ซ่งจยาฮุ่ยหรือใคร” จู่ๆ สวีโย่วก็ถามกลับด้วยท่าทีจริงจัง

 

 

เสิ่นเวยตกตะลึง ทันใดนั้นก็แค่นเสียงกล่าว “อนุภรรยาที่แม่เลี้ยงท่านหามาให้ท่านอย่างไรเล่า! ท่านไม่รู้หรือ ไม่ต้องมาแสร้ง แสร้งไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

 

 

“ไม่รู้จริงๆ” ทั้งใบหน้าสวีโย่วไร้กังวล “หวังเฟยเคยเอ่ยเรื่องอนุภรรยา แต่ข้าปฏิเสธไปนานแล้ว เจ้าวางใจ ไม่อาจมีอนุภรรยาอะไรแน่ ข้าไม่อาจเอาคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอะไรมาสร้างความรำคาญใจแก่เจ้า” เขากล่าวอย่างตั้งใจ

 

 

เสิ่นเวยเห็นท่าทีของสวีโย่วไม่เหมือนเสแสร้ง เบื้องลึกในใจก็ดีใจเล็กน้อย แต่ปากกลับยังคงไม่ให้อภัย “ใครสร้างความรำคาญใจให้ใครยังไม่รู้แน่ชัดเลย” ข้างเตียงนอนของตัวเอง จะยอมให้คนอื่นมานอนสบายได้อย่างไร อนุภรรยาบ้าอะไร ขอแค่กล้ามา นางก็กล้าทำลาย กล้าแย่งผู้ชายกับเสิ่นเวย ใช่รนหาที่ตายหรือไม่

 

 

เสิ่นเวยกลอกตาหนึ่งครา เหลือบมองเหรียญทองแดงบนโต๊ะ ชั่วขณะก็เกิดความคิด “ท่านจะแต่งอนุข้าก็ไม่ห้ามท่าน เพียงแค่ก่อนหน้านั้นท่านต้องเข้าใจกฎของข้า ท่านแต่งอนุขึ้นอยู่กับเหรียญทองแดงของข้า” เสิ่นเวยโยนเหรียญทองแดงในมือ ชายตามองสวีโย่วด้วยเจตนาชั่วร้าย

 

 

“อะไรนะ” สวีโย่วไม่เข้าใจ

 

 

เสิ่นเวยโยนเหรียญทองแดงครู่หนึ่ง เสียงดังกังวาน “เห็นแล้วหรือยัง ด้านหน้าหันขึ้น ฆ่าท่านตาย ด้านหลังหันขึ้น ฆ่าอนุตาย ตั้งพอดี ขออภัย ท่านทั้งสองถูกฆ่าตาย” เสิ่นเวยยิงฟันขาวซี่เล็กๆ ท่าทางโหดเ**้ยมดุร้าย

 

 

สวีโย่วอารมณ์ดีแล้ว รักเสิ่นเวยเด็กที่อำมหิตผู้นี้จริงๆ! ดวงตาของเขามีความโปรดปรานแวบผ่าน ให้คำสัญญา “วางใจ เจ้าไม่มีโอกาสนี้หรอก”

 

 

ไอหยา อยากจะแต่งน้องสี่แซ่เสิ่นกลับบ้านจริงๆ ได้เห็นนางกระโดดโลดเต้นในจวนจิ้นอ๋อง เหตุการณ์นั้นจะต้องสนุกมากเป็นแน่

 

 

“นั่นก็ไม่แน่!” เสิ่นเวยจ้องมองดวงตาทั้งคู่ของสวีโย่ว ไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิง “ข้าได้ยินเขาพูดกันเช่นนี้ ยอมที่จะเชื่อว่าโลกนี้มีผี ดีกว่าจะต้องเชื่อคำพูดจากปากผู้ชาย ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง”

 

 

สวีโย่วลูบจมูกต่อ ความรู้สึกพ่ายแพ้ในใจก็ยิ่งชัดเจน อยากจะกอดเด็กคนนี้ไว้บนขาแล้วตีสักป้าบ เฉลียวฉลาดหัวไวเช่นนี้ดีจริงๆ หรือ เห็นนางทำผู้อื่นโมโห ตนก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่ารักยิ่งนัก แต่พอถึงตาตัวเอง เหตุใดความรู้สึกนี้ถึงได้…ถึงได้สบายใจเช่นนี้เล่า

 

 

ราตรีดึกสงัด นอกหน้าต่างมีแสงจันทร์สลัว คืนที่เงียบสงัดและดีงามเช่นนี้ หัวข้อสนทนาเรื่องอนุภรรยาของเสิ่นเวยกับสวีโย่วได้เข้าสู่การไต่ถามเชิงลึก ท้ายที่สุดก็เบี่ยงประเด็นไปเป็นหัวข้อ ‘ผู้ชายล้วนเชื่อถือไม่ได้’ แทน ในระหว่างนั้น เสิ่นเวยใช้เหรียญทองแดงคุกคามสวีโย่ว

 

 

วันรุ่งขึ้น ข่าวคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องหายป่วยกลับเมืองหลวงก็ดังออกไป ที่ตามมาพร้อมกันยังมีพระราชโองการหนึ่งฉบับ พระราชโองการกำหนดวันพระราชพิธีเสกสมรสของสวีโย่วเสิ่นเวยในวันที่ยี่สิบหกเดือนสี่

 

 

เมื่อพระราชโองการฉบับนี้ประกาศออกไป กรมพิธีการก็สับสนมึนงง คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องกับคุณหนูสี่จวนจงอู่โหว คนหนึ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง คนหนึ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่ พิธีสมรสของพวกเขาล้วนแต่มีระเบียบประเพณีแน่นอน ต้องเดินพิธีทั้งหมดหนึ่งรอบภายในห้าวัน แม้ว่าจะทำทั้งวันทั้งคืนก็เสร็จไม่ทันหรอก!

 

 

จวนจิ้นอ๋องกับจวนจงอู่โหวเองก็มึนงงเช่นกัน สองตระกูลนี้ตระกูลหนึ่งแต่งออกตระกูลหนึ่งรับเข้ามา ต้องจัดลานบ้าน ต้องคัดเทียบเชิญส่งเทียบเชิญ ต้องหารือเรื่องโต๊ะอาหารเลี้ยงแขก แล้วยังต้องจัดการสินเดิมส่งสินเดิม เรื่องเล็กๆ ใหญ่ๆ เยอะแยะมากมาย เวลาห้าวันไหนเลยจะพอ

 

 

แต่พระราชโองการประกาศออกมาแล้ว ต่อให้ฝ่าบาทจะบอกว่าพรุ่งนี้จะจัดพิธีสมรส พวกเขาก็ต้องเชื่อฟัง! ห้าวันก็ห้าวัน ลดได้ก็ลด เรียบง่ายได้ก็พยายามทำให้เรียบง่าย พิถีพิถันมากเพียงนั้นไม่ได้แล้ว บ่าวรับใช้ในจวนจงอู่โหวยุ่งอย่างถึงที่สุด วิ่งกันขวักไขว่ตลอดทาง

 

 

เสิ่นเวยเองก็โมโหอย่างยิ่ง กัดฟันกรอดตะโกนเรียกชื่อสวีโย่ว นางกลับไม่ได้โมโหที่เวลากระชั้นชิดพิธีสมรสจะไม่ยิ่งใหญ่ แต่นางโมโหเพราะเรื่องคู่หมั้นของลูกผู้พี่นางต่างหาก

 

 

ครั้งก่อนหลังกลับมาจากการพบหน้าสวี่ฉู่ถง ความประทับใจที่เสิ่นเวยมีต่อนางก็ดีอย่างยิ่ง ฉลาด สวย มีความสามารถดูแลบ้านได้ มีความคิดเป็นของตัวเอง ทั้งหมดนี่ก็เพื่อเตรียมการวัดตัวให้ลูกผู้พี่นาง! จวนแม่ทัพใหญ่ต้องการนายหญิงเช่นนี้ ลูกผู้พี่นางต้องการแม่บ้านมีคุณธรรมเช่นนี้

 

 

มิหนำซ้ำไม่เพียงแต่สตรีที่ดี ครอบครัวก็ยังดี บิดาเป็นราชบัณฑิตยิ่งใหญ่ สูงส่งที่สุดแล้ว ช่วยเหลือลูกผู้พี่ได้มากอย่างยิ่ง ในครอบครัวยังมีน้องชายอีกสามคน เรียนหนังสือมีพัฒนาการ ตอนนี้แม้จะมองไม่ออกว่าในภายหน้าจะมีอนาคตมากเพียงใด แต่อย่างน้อยก็ไม่อาจเป็นภาระ บ้านพ่อตาแม่ยายแบบนี้ต่อให้ส่องไฟก็ไม่ใช่ว่าจะหาเจอ!

 

 

สำหรับอายุที่มากกว่าสองปี ไอหยา เสิ่นเวยที่เห็นคู่รักที่ผู้หญิงอายุมากกว่าผู้ชายมาจนชินแล้วไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาแม้แต่นิดเดียว

 

 

สตรีที่ดีเช่นนี้ ชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ พากลับมาเรือนที่บ้านตนเองจึงจะวางใจได้ เสิ่นเวยพูดเรื่องนี้กับท่านตานาง ท่านตานางก็รู้สึกว่าควรหาแม่สื่อไปสู่ขอทันที

 

 

แต่จะหาใครเป็นแม่สื่อดีเล่า คิดไป คิดมา เสิ่นเวยก็รู้สึกว่าขอช่วยหนึ่งคนแล้วไม่ควรไปรบกวนคนที่สอง ท้ายที่สุดก็ยังคงไปหาฮูหยินสวี่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของนาง หนึ่งคือฐานะเพียงพอ เป็นการให้ความสำคัญแก่ฝ่ายหญิง สองคือเป็นคนสนิท พูดขึ้นมาแล้วก็สบายใจ

 

 

ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เองก็ตอบตกลง กำลังเตรียมจะไปเยี่ยมบ้านตระกูลราชบัณฑิตสวี่ พระราชโองการก็ประกาศออกมา ดีจริงๆ ฮูหยินสวี่จึงจัดการเรื่องออกเรือนของเสิ่นเวยทันที ไหนเลยจะยังมีเวลาว่างไปสู่ของแทนลูกผู้พี่ของนาง

 

 

นี่ทำให้เสิ่นเวยไม่พอใจอย่างยิ่ง เมืองหลวงใหญ่เพียงนั้น คนตาดีไม่ได้มีแค่นางเพียงคนเดียว นางกังวลอย่างยิ่งว่าจะมีคนแย่งว่าที่สะใภ้ญาติผู้พี่ของนางไป

 

 

สวีโย่วคล้ายรู้สึกได้ถึงความเคียดแค้นของเสิ่นเวย ซ่อนตัวอยู่ห่างๆ ไม่กล้าปรากฎตัวต่อหน้านางอย่างสิ้นเชิง ทุกวันปั้นหน้าตายสั่งคนรับใช้ตกแต่งเรือนหอ อันที่จริงในใจกลับมีความสุขยิ่งนัก