ตอนที่ 213-1 พระราชพิธีเสกสมรส

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

โหวฮูหยินฮูหยินสวี่ยุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้นแล้ว นอกจากจะเตรียมธุระปะปังต่างๆ ยังต้องจัดการสินเดิมของเสิ่นเวยออกมา วันงานคือวันที่ยี่สิบหก วันแรกก็ต้องหามสินเดิมแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

 

คนที่มามอบของขวัญแต่งงานให้เสิ่นเวยมีไม่น้อย นอกจากพี่สาวน้องสาวญาติๆ ตระกูลตนแล้ว ที่นางรู้จักก็มีท่านน้าสะใภ้ใหญ่จวนเสนาบดีสองแม่ลูก จังเข่อจงเพื่อนสนิทของนางจากจวนแม่ทัพอู่เลี่ย อ้อ ยังมีสวี่ฉู่ถงที่เพิ่งรู้จักก็มาด้วยเช่นกัน

 

 

มากกว่านี้เป็นคนที่เสิ่นเวยไม่รู้จัก ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของนางจูงมือแนะนำตัวให้นาง คนนี้คือฮูหยิน คนนั้นคือท่านย่า ทำเอาเสิ่นเวยมึนศีรษะหลงทิศ จำใครไม่ได้อยางสิ้นเชิง จึงทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้มทักทายอย่างเชื่อฟัง

 

 

เมื่อส่งเหล่าฮูหยินคุณหนูที่มามอบของขวัญแต่งงานไปแล้ว เสิ่นเวยก็เหนื่อยจนนอนแผ่อยู่บนเตียงปักลายไม่อยากขยับตัว ผูกมิตรกับเหล่าสตรีเรือนในเหล่านี้ไม่ใช่งานถนัดจริงๆ เหนื่อยกว่านางฆ่าศัตรูในสนามรบสามเท่า เลื่อมใสท่านป้าสะใภ้ใหญ่จริงๆ หากอยู่ในยุคปัจจุบันจะต้องเป็นคนเก่งในที่ทำงานแน่นอน

 

 

ฮูหยินสวี่มองใบรายการสินเดิมของหลานสาวร่างทั้งร่างก็รู้สึกไม่ดีแล้ว ใบรายการนี้นายท่านผู้เฒ่าโหวเพิ่งจะใช้คนมาส่ง ยาวสิบหน้ากว่า นอกจากเงินเดือนในจวนแล้ว นายท่านผู้เฒ่ายังยกมรดกของตัวเองให้เวยเอ๋อร์ทั้งหมดจริงๆ ฮูหยินสวี่คิดว่าตอนแรกนายท่านผู้เฒ่าโหวเพียงแค่พูดเล่น ไม่คิดว่าเขาจะทำจริง

 

 

เห็นทรัพย์สินล้ำค่านับไม่ถ้วนที่เขียนอยู่บนใบรายการสินเดิม ยังมีเงินสินสอดสองแสนตำลึงที่เด่นชัดนั้น ความรู้สึกของฮูหยินสวี่ก็ซับซ้อน บัญชีจวนโหวทั้งจวนมีเงินได้ถึงสองแสนตำลึงหรือ นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด ด้วยสติปัญญาของนายท่านผู้เฒ่าโหวจะต้องไม่เขียนเงินทั้งหมดลงบนในใบรายการสินเดิมเป็นแน่ ที่ให้เวยเอ๋อร์เป็นการส่วนตัวใช่ยังมีอีกเยอะหรือไม่

 

 

เงินเหล่านี้ เห็นชัดๆ ว่าควรตกทอดสู่พวกเขาบ้านใหญ่ แต่ตอนนี้นายท่านผู้เฒ่าโหวกลับยกให้หลานสาวที่แต่งออกข้างนอกผู้นี้ทั้งหมด ในใจนางสงบสุขได้ก็แปลกแล้ว

 

 

ในใจฮูหยินสวี่สับสนกระวนกระวายต่างๆ นานา กัดฟันก็แล้วถอนหายใจก็แล้วกลับอันจนหนทางอยู่ดี แม้จะบอกว่าสามีของนางรับตำแหน่งจงอู่โหวแล้ว แต่ผู้ที่เป็นใหญ่ในจวนยังคงเป็นนายท่านผู้เฒ่าโหว ทั้งจวนโหวเป็นเขาที่สร้างขึ้นกับมือ เขาจะยกมรดกให้ผู้อื่นย่อมไม่กล้าว่าอะไร

 

 

ช่างๆๆ คิดเสียว่าทั้งหมดเป็นการลงทุนล่วงหน้า ไม่อาจคิดต่อไปได้แล้ว ยิ่งคิดจิตใจนางก็ยิ่งเจ็บปวด

 

 

ตอนนี้เสิ่นเวยกำลังอยู่ในห้องหนังสือของท่านปู่นาง กำลังอ่านใบรายการสินเดิมนี้อยู่เช่นเดียวกัน ปู่นางยังพูดอยู่ข้างๆ “เจ้าดูสิว่าน้อยไปหรือไม่ จะให้เพิ่มอีกหน่อยหรือไม่”

 

 

เสิ่นเวยได้ยินดังนั้นก็อดกระตุกมุมปากไม่ได้ สินเดิมนี้แทบจะเทียบเท่าฮ่องเต้แต่งองค์หญิงแล้ว อีกอย่าง เหล่าองค์หญิงของฝ่าบาทจะไม่มองนางด้วยความอาฆาตตายหรือ สินเดิมขององค์หญิงราชนิกุลเทียบไม่ได้แม้แต่ขุนนางหญิง คำพูดนี้ดังออกไปจะฟังได้หรือ ฝ่าบาทเองก็คงไม่ยินดีนัก ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและเพื่อไว้หน้าเหล่าองค์หญิงราชนิกุล ถ่อมตนสักหน่อยคงดีกว่า

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวเองก็ไม่บีบบังคับ กล่าวต่อ “นอกจากเงินสินสอดสองแสนตำลึงที่เขียนอยู่ในใบรายการแล้ว ยังมีเงินแสนตำลึงที่เจ้าเก็บไว้ส่วนตัว ของเหล่านั้นที่ยังเหลืออยู่ในคลังเจ้าจะเปลี่ยนเป็นเงิน หรือว่าจะวางไว้ก่อน ปู่บอกว่าให้เจ้าก็คือให้เจ้า อยากจัดการอย่างไรเจ้าตัดสินใจเอง”

 

 

เสิ่นเวยก็ไม่พูดอ้อมค้อมบอกปัดอีก คิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “วางไว้ในเรือนท่านปู่ก่อนดีกว่า สินเดิมนี้ของหลานก็มากพอแล้ว เกิดก็ไม่ได้เอามาตายก็เอาไปไม่ได้ พอประมาณก็ได้แล้ว ของเหล่านี้ รวมถึงสินเดิมที่ยังเหลืออยู่ของท่านแม่ก็ทิ้งไว้ให้เจวี๋ยเอ๋อร์แต่งภรรยาเถอะ”

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวเองก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ ความใส่ใจที่หลานสาวมีต่อเจวี๋ยเอ๋อร์เขาเองก็มองเห็น จะไม่ทิ้งของไว้ให้เขาได้อย่างไร ส่วนที่หลานสาวไม่เอ่ยถึงอี้เอ๋อร์แม้แต่ประโยคเดียว เขาก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ หลานสาวกับฮูหยินหลิวต่างก็ฉีกหน้ากันแล้ว ไม่ได้ต่างจากศัตรูคู่แค้น นางไม่โกรธจนพาลใส่เสวี่ยเอ๋อร์อี้เอ๋อร์ก็ถือว่าเมตตาแล้ว ด้วยฝีมือของเวยเอ๋อร์จัดการเสวี่ยเอ๋อร์กับอี้เอ๋อร์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอกหรือ ยิ่งไปกว่านั้นเวยเอ๋อร์สองพี่น้องปฏิบัติต่ออี้เอ๋อร์ก็ไม่ได้แย่ ด้านค่าใช้จ่ายก็ไม่ขาด ทั้งยังไม่ปล่อยให้บ่าวข้างล่างกลั่นแกล้งนาย ยิ่งไม่ใช้วิธีสกปรกมาล่อลวงให้เขาเสียกาเรียน จากมุมมองของนายท่านผู้เฒ่าโหวนี่ถือว่าหาได้ยากอย่างยิ่งแล้ว นี่เองก็ทำให้นายท่านผู้เฒ่าโหวให้ความสำคัญกับเวยเอ๋อร์สองพี่น้อง

 

 

หยุดครู่หนึ่งเสิ่นเวยก็นึกอะไรขึ้นได้ “ท่านปู่ เรือนเฟิงหวานี้ต้องเก็บไว้ให้หลาน” เรือนนี้นางทุ่มเทแรงซ่อมแซม ยังอยู่ได้ไม่ถึงปีนางก็ออกเรือนแล้ว นางตัดใจทิ้งให้คนอื่นเข้ามาอยู่ไม่ได้

 

 

“ได้ เก็บไว้ให้เจ้า เจ้ากลับมาเมื่อไรก็มาพักได้” นายท่านผู้เฒ่าโหวตอบด้วยความสบายใจอย่างยิ่ง

 

 

เสิ่นเวยดีใจแล้ว “ขอบคุณท่านปู่ที่เมตตา” นางวางแผนไว้ดีแล้ว เรือนเฟิงหวาแห่งนี้เก็บไว้ให้นางพักชั่วคราว อีกไม่กี่ปีเจวี๋ยเอ๋อร์ก็ควรจะแต่งภรรยาได้แล้ว ถึงตอนนั้นก็ให้เรือนเฟิงหวาเป็นเรือนหอเขาแล้วกัน

 

 

ชั่วพริบตาก็ถึงวันที่ยี่สิบห้าเดือนสี่แล้ว วันรุ่งขึ้นก็จะเป็นวันที่เสิ่นเวยออกเรือน ทานอาหารเช้าเสร็จก็เริ่มหามสินเดิมจากจวนจงอู่โหวไปจวนจิ้นอ๋อง สินสอดของหมั้นของสวีโย่วไม่ทิ้งไว้ที่จวนจงอู่โหวแม้แต่นิดเดียว ทั้งหมดเก็บรวบรวมไปไว้ในสินเดิมของเสิ่นเวย ดังนั้นขบวนสินเดิมของเสิ่นเวยอลังการยิ่งกว่าของแม่นางเสียอีก หนึ่งร้อยยี่สิบคานหามเต็มๆ แต่ละคานหามต่างก็ใส่จนอัดเต็มกระทั่งสอดมือเข้าไปไม่ได้

 

 

เมื่อสินเดิมหามออกไปก็สร้างความตื่นตกใจ แม้ทุกคนจะไม่เห็นของให้**บ แต่สีหน้าท่าทางของเหล่าชนรุ่นหลังที่หามสินเดิมกลับหลอกคนไม่ได้ บุตรสาวตระกูลอื่นออกเรือนมีคนหามสินเดิมสองคนต่อหนึ่งคานหาม บุตรสาวจวนจงอู่โหวก็ใช้ชายหนุ่มสี่คนหามสินเดิมหนึ่งคานหาม หากทำเช่นนี้ยังกินแรงอย่างถึงที่สุด ก็สามารถนึกภาพได้ว่า**บใหญ่เพียงใด บรรจุของเต็มเพียงใด

 

 

ขณะที่ผู้คนวิจารณ์ในความร่ำรวยของจวนจงอู่โหว ก็ยังวิจารณ์ว่าเจ้าสาวผู้นี้ได้รับความโปรดปรานในจวน มีคนที่สนใจคำนวณเงียบๆ ในใจ สินเดิมของคุณหนูจวนจงอู่โหวผู้นี้อย่างน้อยที่สุดก็มีมูลค่าหลายแสนตำลึง สถิตินี้อย่างน้อยภายในสิบปีข้างหน้าก็ไม่มีใครสามารถทำลายได้

 

 

สินเดิมใช้เวลาหามหนึ่งวันเต็มๆ กระทั่งอาทิตย์ตกดินจึงขนเข้าไปในจวนจิ้นอ๋องจนหมด เพื่อที่จะวางสินเดิม สวีโย่วยังตั้งใจรื้อห้องจำนวนมาก แม้ว่าจะทำเช่นนี้ก็ยังวางไม่หมด ในลานบ้านยังวางอยู่อีกเยอะ

 

 

คนทุกระดับชั้นในเรือนสวีโย่วต่างก็ดีอกดีใจ สินเดิมว่าที่นายหญิงมากมายเช่นนี้ พวกเขาที่เป็นคนรับใช้เหล่านี้ก็รู้สึกเป็นเกียรติ แต่ละคนยืดอกเชิดหน้าช่วยคนที่มาจากจวนโหวเฝ้าสินเดิมด้วยกันอย่างมีความสุข

 

 

จะไม่เฝ้าได้หรือ คนที่ผ่านมาดูสินเดิมแต่ละกลุ่มๆ สินเดิมของว่าที่นายหญิงทั้งเยอะทั้งมีราคาแพง ถูกคนไม่ดูตาม้าตาเรือที่ไหนหยิบไปชิ้นสองชิ้นก็ไม่งามแล้ว

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องฟังการรายงานของคนใช้แล้ว ดวงตาก็ลุกวาว สวดอมิตาพุทธกับหวังเฟยฮูหยินเต็มห้อง “ไอหยา ข้าบอกแล้วว่าคุณชายใหญ่ของพวกเรามีวาสนา ดูสิไม่ใช่ว่าแต่งเทพแห่งโชคลาภเข้ามาหรอกหรือ ข้าน่ะในที่สุดก็วางใจได้บ้างแล้ว” นางวางท่าทางเป็นแม่เลี้ยงผู้รักลูกเลี้ยง

 

 

จากนั้นก็มีฮูหยินที่หูตาไวผู้นั้นหยอกล้อสอพลอ นอกจากชมคุณชายใหญ่แล้ว ก็ยิ่งชื่นชมจิ้น

 

 

หวังเฟย พูดจาน่าฟังอย่างเช่นมารดาผู้เมตตาต่างๆ แน่นอนว่ายังมีคนที่ไม่เห็นด้วย เพียงแต่ใครบ้างในนี้ไม่ใช่ผู้มีปัญญา วันมงคลของจวนจิ้นอ๋องย่อมไม่อาจพูดจาไม่รู้กาลเทศะได้ ทำได้เพียงวางมาดดื่มชา

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องสงบอารมณ์ได้ ลูกสะใภ้ทั้งสองของนางอู๋ซื่อกับหูซื่อกลับไม่มีความสามารถนี้ ทั้งสองหาโอกาสไปดูสินเดิมของว่าที่พี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้กับตาตัวเอง เห็น**บที่วางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยในลานบ้าน เครื่องประดับที่เปล่งประกายแพรวพราวนั้น อัญมณีที่ถูกเลี่ยมไว้ใหญ่พอๆ กับไข่นกพิราบ เพียงแค่ชิ้นเดียวเกรงว่าจะมีมูลค่ามากกว่าหมื่นตำลึงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องประดับศีรษะเช่นนี้มีถึงเจ็ดแปดชิ้น อู๋ซื่อกับหูซื่อมองจนตาร้อนแล้ว

 

 

บ้านฝั่งมารดาของอู๋ซื่อคือจวนกั๋วกง นางเป็นบุตรสาวคนโตที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในจวน ตอนนั้นที่ได้ซื่อจื่อจวนจิ้นอ๋องเป็นคู่หมั้น พี่สาวน้องสาวทั้งหลายในจวนต่างก็อิจฉานาง ในครอบครัวก็ทุ่มเทสินเดิมส่งตัวนาง หวังเฟยกับซื่อจื่อก็ให้ความสำคัญแก่นาง นางเองก็เคยภูมิใจในสินเดิมจำนวนมากของตน แต่ตอนนี้เทียบกับพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้แล้ว สินเดิมสิบลี้ของนางเป็นเพียงเรื่องน่าขัน

 

 

“เสด็จแม่พูดถูกจริงๆ พี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้ของพวกเราเป็นเทพแห่งโชคลาภจริงๆ แต่งภรรยาเช่นนี้ได้ คุณชายใหญ่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว” อู๋ซื่อกล่าวอย่างมีเลศนัย

 

 

บนใบหน้าหูซื่อก็คล้ายกำลังครุ่นคิด กล่าวด้วยความอิจฉา “ใครว่าไม่ใช่เล่า น่าอิจฉาเสียจริงๆ ข้าอดทนรอเจอพี่สะใภ้ใหญ่คนดีของพวกเราไม่ไหวแล้ว”

 

 

ทั้งสองคนมองหน้าแล้วยิ้ม ในแววตามีบางอย่างแวบผ่าน ดูเหมือนทำข้อตกลงอะไรบางอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

 

ตกค่ำ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ฮูหยินสวี่มาที่ห้องเสิ่นเวย จับมือนางพูดคำพูดมากมาย ท้ายที่สุดก็ล้วงหนังสือเล่มเล็กหนึ่งเล่มยัดใส่มือเสิ่นเวยด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไอเบาๆ หลายคราแล้วจึงกล่าว “เวยเอ๋อร์ คืนเข้าหอเป็นขั้นตอนที่เจ้าสาวทุกคนจะต้องผ่าน ถึงตอนนั้นเจ้าก็ฟังสามีเจ้าก็พอแล้ว อาจจะเจ็บหน่อย เจ้า เจ้าอดทนไว้ประเดี๋ยวก็ผ่านไป ผ่านคืนพรุ่งนี้ไปก็จะดีขึ้น”

 

 

การชี้แนะลูกๆ ในคืนก่อนพิธีสมรสเดิมควรจะเป็นเรื่องของมารดา แต่น้องสามีสามที่น่าสงสารผู้นั้นของนางตายก่อนวัยอันควร ฮูหยินหลิวก็…ช่างเถอะ วันมงคลอย่าได้เอ่ยถึงนางเลย ด้วยเหตุนี้เรื่องนี้จึงตกมาอยู่ที่นางผู้เป็นป้าสะใภ้ใหญ่ผู้นี้ อย่างไรเสียเวยเอ๋อร์ก็ไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของนาง นางก็ยังไม่กล้าพูดละเอียดจริงๆ

 

 

แรกเริ่มเสิ่นเวยยังไม่ค่อยเข้าใจนัก อะไรเจ็บไม่เจ็บ ทนไม่ทน นางแต่งงาน ไม่ได้ลงสู่สนามรบ แต่เมื่อได้เห็นความอึดอัดบนใบหน้าของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ จากนั้นก็เห็นปกหนังสือเล่มเล็กในมือ ชั่วขณะก็เข้าใจแล้ว

 

 

อ้อ นี่คือการสอนเรื่องในเรือนหอก่อนแต่งงานฉบับโบราณสินะ เสิ่นเวยเป็นใคร จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร ไม่เคยกินเนื้อก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยเห็นหมูวิ่งมิใช่หรือ โดยเฉพาะยุคปัจจุบันหนังต่างประเทศเหล่านั้นเผยแพร่อยู่ทั่วไป

 

 

เสิ่นเวยอยากจะถามคำถามละเอียดหลายคำถาม แต่เห็นท่านป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยเพียงแค่สองประโยคสั้นๆ เช่นนั้นก็อึดอัดไปทั้งใบหน้า ได้ นางจะทำตัวเป็นลูกคุณหนูตัวปลอมโดยดี ไม่ทำให้คนตกใจ

 

 

ด้วยเหตุนี้เสิ่นเวยก็เกร็งหน้าตัวเองจนแดงซ่าน ก้มหน้าทำท่าทางเขินอาย แม้แต่เสียงก็เบาราวกับยุง “ทราบแล้ว ท่านป้าสะใภ้ใหญ่”

 

 

ฮูหยินสวี่เห็นท่าที ในที่สุดก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ตบไล่ของเสิ่นเวยแล้วกล่าว “เวยเอ๋อร์รีบพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเหนื่อยทั้งวัน”

 

 

ส่งท่านป้าสะใภ้ใหญ่ไปแล้ว เสิ่นเวยกลับไปถึงห้องก็เปิดหนังสือเล่มเล็กออก จุ๊ๆ คนสองคนในภาพราวกับขนมเกลียว ภาพนับได้ว่าชัดเจนอย่างยิ่ง ดูไม่ออกว่าคนโบราณที่หัวเก่าแก่จะมีด้านที่เปิดเผยเช่นนี้ เสิ่นเวยพลิกหน้าแล้วหน้าเล่า บ้างก็ตกใจ บ้างก็ถอนหายใจ ดูด้วยความสนใจใคร่รู้