เซี่ยเจียงเฟิงล้มนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง

 

 

เมิ่งฉีก็ไม่พูดเช่นกัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ตรงประตู เม้มปาก สีหน้าหม่นหมอง ผ่านไปชั่วครู่ถึงจะเอ่ยปากสั่งหลินเปียว “เรียกทหารองครักษ์ผู้นั้นเข้ามา ข้าจะถามเขาเองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

เหวินเปียวขานตอบแล้วเดินออกจากลานหน้าบ้านไป

 

 

“พี่รองไปนั่งรอที่ห้องรับแขกเถิด ปล่อยให้คุณชายเซี่ยนั่งรออยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ด้านในมีคนนอนอยู่สองคนแล้ว อย่าเพิ่มอีกคนเลย”

 

 

เชี่ยเจียงเฟิงโบกมืออย่างอ่อนแรง “ข้าไม่มีธุระอะไร ข้านั่งรออยู่ตรงนี้จนกว่าสองแม่ลูกจะฟื้น ก็พอใจแล้ว”

 

 

“แม่ลูกคู่นี้ถูกช่วยออกมาแล้ว แต่สถานการณ์ของจูหลานและพ่อแม่ของเขายังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร คงต้องไปถามให้แน่ชัดก่อน ไปที่ห้องรับแขกกันเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงจึงลุกขึ้นและเดินตามเมิ่งฉีออกจากเรือนไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับชิงหลวนกับจูหลีว่า “พวกเจ้าสองคนเฝ้าอย่าให้คาดสายตานะ หากพวกเขามีอาการผิดปกติ ให้รีบมารายงานข้าทันที”

 

 

ชิงหลวนและจูหลีรับคำ จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตามมาที่ห้องรับแขก

 

 

ทั้งสามคนนั่งลง โดยเมิ่งฉีสั่งให้คนชงชาขึ้นมา ทหารองครักษ์สามนายก็เดินเข้ามา แล้วตะโกนด้วยความเคารพ “นายหญิง คุณชายรอง คุณชายเซี่ย”

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดถึงพบเพียงสองแม่ลูกเท่านั้น แล้วจูหลานกับพ่อแม่ของเขาล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อเนื่องกันหลายคำถาม

 

 

ทหารองครักษ์นายหนึ่งเอ่ยปากตอบ “พวกเราห้าคนได้รับคำสั่งจากท่านหัวหน้ากัว ครั้นเข้าเมืองแล้วให้แยกกันปฏิบัติหน้าที่ โดยพวกเราสามคนไปที่จวนของตระกูลจู ซึ่งมีคนเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูอยู่จำนวนไม่น้อย และไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าออก พวกเราทั้งสามจึงเดินอ้อมไปด้านหลัง ค้นหาพื้นที่ที่ไม่มีผู้คน แล้วจึงปีนกำแพงเข้าไป เสียเวลาไปไม่น้อยถึงจะหาคุณชายจูจนพบ คุณชายจูตอนนี้ปลอดภัยดี เพียงแต่ซูบผอมไปมาก เมื่อได้ยินว่าท่านส่งพวกข้ามา จึงรีบขอร้องให้พวกข้าไปช่วยภรรยาและลูกของเขา และบอกอีกว่าก่อนหน้านี้พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกถูกขังไว้ที่เดียวกัน ทว่า ไม่รู้ว่าเมื่อวานเฉียวหมิ่นไปได้ยินข่าวอะไรมา จากนั้นก็ลากภรรยาและลูกแยกออกไปทารุณกรรม เขาถูกคนเฝ้าไว้ ตั้งใจจะหนีออกไปอยู่หลายหน แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงรู้สึกเป็นกังกลมาก ได้ฟังเพียงเท่านี้ พวกเราก็แยกกันออกไปค้นหา จนในที่สุดก็เจอแม่ลูกทั้งสองติดอยู่ในห้องเก็บฟืน เมื่อมองเห็นพวกเขาอิดโรยเหมือนกำลังจะตาย พวกเราทั้งสามคนจึงปรึกษากันแล้วรีบแอบช่วยสองแม่ลูกออกมาก่อน โดยไม่เหลือเวลาติดต่อคนอื่นเลย จึงกลับมาอย่างเร่งรีบ ระหว่างทางก็ได้พบกับท่านนี่แหละขอรับ”

 

 

หลังจากที่เขาพูดจบ สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวหม่นหมองขึ้นกว่าเดิม หากเป็นเช่นนี้ เมื่อวานถึงจะลงมือทำร้ายพวกเขาสินะ นั่นหมายความว่า เฉียวหมิ่นได้ยินข่าวเรื่องนางกลับมาแล้ว ใจคิดอกุศล จึงลงมืออย่างไม่รีรอ

 

 

หลังจากเซี่ยเจียงเฟิงฟังจบก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จูหลานและพ่อแม่ปลอดภัยดี ก็ถือว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดี

 

 

 

 

ทว่า หลังจากเมิ่งฉีฟังจบกลับอดไม่ได้ที่จะด่าทอด้วยความโมโห “เฉียวหมิ่นผู้นี้ทำร้ายได้แม้กระทั่งเด็ก หากประหารนางด้วยพันมีดหมื่นแล่ ก็ไม่มากไปหรอก”

 

 

เมื่อเขาพูดจบ บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบ

 

 

เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ทหารองครักษ์นายหนึ่งมองไปที่เซี่ยเจียงเฟิง แล้วลองหยั่งเชิงโดยพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “นายท่าน ให้พวกเราไปจัดการเฉียวหมิ่นและช่วยเหลือคุณชายจูกับพ่อแม่ของเขาออกมาดีหรือไม่ขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโจวส่ายหัวแล้วพูดอย่างใจเย็น “เฉียวหมิ่นมีตระกูลเฉียวคอยหนุนหลัง และตระกูลเฉียวก็มีผู้ว่าการเขตหนุนหลังอยู่ สถานะของพวกเราตอนนี้ หากจัดการเฉียวหมิ่น จะทำให้ตัวเองเดือดร้อนมาก ในเมื่อเฉียวหมิ่นยังไม่ได้ลงมือทำร้ายจูหลานกับพ่อแม่ของเขา แสดงว่านางยังคิดถึงความทรงจำในอดีตอยู่ ฉะนั้น ทั้งสามคนจะยังไม่ตกอยู่ในอันตรายในชั่วครู่ชั่วยามนี้หรอก รอข่าวจากองครักษ์อีกชุดนึงก่อน พวกเราต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งการครั้งนี้ แล้วพวกเราค่อยลงมือ ก็ไม่สายเกินไปหรอกหนา”

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงและเมิ่งฉีพยักหน้า

 

 

ทหารองครักษ์รับคำ แสดงความเคารพเสร็จก็เดินถอยออกไป

 

 

สาวใช้ยกน้ำชามาให้ เมิ่งเชี่ยนโจวจิบน้ำชาก่อนคำหนึ่ง เพื่อให้ความโกรธสงบลง

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงยกถ้วยน้ำชาขึ้นด้วยมือที่สั่น แล้วจิบอยู่หลายคำ รู้สึกร่างกายที่เย็นยะเยือกกลับอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

 

 

“คุณชายเซี่ย…” เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ย ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เสียงแสดงความเคารพของเหวินเปียวและทหารองครักษ์ดังมาจากนอกห้องรับแขก “คุณชายใหญ่และฮูหยินขอรับ”

 

 

“น้องเล็กและน้องชายรองอยู่ข้างในหรือไม่” เมิ่งเสียนถาม

 

 

“อยู่ขอรับ” เหวินเปียวขานตอบพลางเปิดม่านออก เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนเดินตามกันเข้ามา

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสามแลดูเคร่งเครียด เมิ่งเสียนจึงเอ่ย “เมื่อกี้เหวินเปียวรีบกลับบ้านไปเอากล่องยา เลยไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนนี้พ่อแม่เป็นห่วงกันมาก อยากมา แต่ข้ากลัวว่าพวกเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นจะกลัวไปกันใหญ่ จึงห้ามพวกเขาไว้ ข้าเลยมากับเชี่ยนเอ๋อร์สองคน ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ใครบาดเจ็บบ้าง”

 

 

“จางลี่กับเสี่ยวเอ๋อร์ร์ได้รับบาดเจ็บสาหัส” เมิ่งฉีตอบสั้นๆ

 

 

วันว่างของจูหลานกับจางลี่ จะชอบพาเด็กๆ มาค้างคืนที่บ้านของตระกูลเมิ่งวันถึงสองวัน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลนี้ค่อนข้างสนิทใกล้ชิดกัน เมื่อทราบข่าวว่าแม่ลูกคู่นี้ได้รับบาดเจ็บ ซุนเชี่ยนจึงถามด้วยความตกใจ “เพราะเรื่องของสามีหรือ”

 

 

ซุนเชี่ยนได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างที่รั่วหลานสั่งเสียไว้ก่อนหน้านี้ แต่เมิ่งเสียนไม่รู้เรื่องเลย เมื่อนางเอ่ยถามออกมา เมิ่งเสียนจึงหันหลังกลับมามองหน้านางด้วยความประหลาดใจ แล้วถามว่า “เชี่ยนเอ๋อร์ ตกลงคืออะไร เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับนางตั้งแต่แรกแล้วว่าห้ามบอกคนในตระกูลและเมิ่งเสียน เมื่อซุนเชี่ยนเอ่ยถามประโยคนี้ขึ้น ก็เสียใจทันทีและมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโหยวด้วยความขอโทษ โดยไม่รู้ว่าควรเล่าให้เมิ่งเสียนฟังดีหรือไม่

 

 

เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่ควรปิดบังอีกต่อไป เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้เมิ่งเสียนกับซุนเชี่ยนนั่งลงแล้วเล่าเรื่องที่รั่วหลานกำชับอย่างละเอียด

 

 

ก่อนที่นางจะพูดจบ เมิงเสียนก็ลุกขึ้นยืนด้วยความหวาดกลัว เหงื่อออกตามศีรษะ แล้วพูดด้วยความโมโห “ตระกูลเฉียวบ้าเกินไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นความผิดของเฉียวหมิ่นเอง พวกเราใจดีถึงปล่อยนางไป แต่เหตุใดนางถึงเนรคุณเช่นนี้”

 

 

“ตระกูลเฉียวเพียงตระกูลเดียวไม่สามารถทำเรื่องใหญ่และคิดวางแผนโหดร้ายเช่นนี้ได้หรอก หากข้าเดาไม่ผิด แม้แต่ข้าราชการหมานั้นก็ถูกสั่งมาแน่ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าเฉียวหมิ่นจะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่เด็กก็ยังไม่เว้น” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

“แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี จะให้นั่งรอเช่นนี้ต่อไปคงไม่ไหวแน่ พรุ่งนี้เป็นวันครบกำหนดที่พวกเขาให้กับรั่วหลานแล้ว วันมะรืนก็ถึงวันแรกของเดือนแล้ว หากพวกมันรู้ว่ารั่วหลานไม่ได้ทำตามที่บอก จะหาวิธีโหดร้ายกว่าเดิมในการจัดการกับครอบครัวเราหรือไม่” เมิ่งเสียนรีบถาม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างมั่นใจ “ไม่หรอก รั่วหลานไม่ได้ทำอะไรผิดสังเกต บัดนี้ พวกเขาคงรอข่าวดีจากนางอยู่ ฉะนั้น ช่วงนี้ไม่มีการดำเนินการอื่นใดหรอก”

 

 

“ดีแล้ว หากเป็นเช่นนั้น เราควรทำอย่างไรต่อไปดี” เมิ่งเสียนถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วถามอีกครั้ง

 

 

“ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบภูมิหลังและรวบรวมหลักฐานที่ทำผิดกฎหมายของข้าราชการหมานั้นแล้ว ช้าสุดจะได้ข่าวในคืนวันพรุ่งนี้ จากนั้นเราค่อยมาหารือเรื่องแผนการรับมือกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

หลายคนต่างพยักหน้าอย่างพร้อมเพียงกัน

 

 

ซุนเชี่ยนถาม “ตอนนี้ฮูหยินจูกับลูกเป็นอย่างไรกันบ้าง ข้าไปเยี่ยมพวกเขาได้หรือไม่”

 

 

“พวกเขาอยู่ตรงลานบ้านที่พี่รองส่งคนมาทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว หากซ้อใหญ่อยากจะไปเยี่ยม ก็ไปเถิด แต่ว่าอาการของสองแม่ลูกน่าสลดใจเล็กน้อย ซ้อใหญ่ต้องเตรียมใจไว้ล่วงหน้าด้วย มิเช่นนั้นอาจตกใจกลัวได้” เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับ

 

 

ซุนเชี่ยนพยักหน้า แล้วหันหลังเดินออกจากห้องรับแขก เพื่อไปพบกับจางลี่และลูกของนางตรงลานบ้านที่ทั้งสองพักรักษาตัวอยู่

 

 

จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวถึงจะพูดกับเซี่ยเจียงเฟิง “คุณชายเซี่ย จางลี่กับเสี่ยวเอ๋อร์คงต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะฟื้น เวลาไม่เช้าแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด ไว้รอสองแม่ลูกฟื้นแล้ว ข้าจะรีบส่งคนไปบอก”

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงส่ายหัว “แม่ลูกสองคนนั้นไม่ฟื้น ข้ากลับไปก็ไม่สบายใจอยู่ดี สู้อยู่ที่นี่ต่อไป รอจนกว่าพวกเขาจะฟื้นยังจะดีเสียกว่า” พูดจบ ก็หันไปพูดกับเมิ่งฉีต่อ “หวังว่าข้าจะไม่รบกวนคุณชายเมิ่งจนเกินไปนะ”

 

 

เพราะอยู่ในเรือนของเมิ่งฉี เซี่ยเจียงเฟิงจึงพูดออกไปเช่นนั้น

 

 

เมิ่งฉีอาศัยอยู่ในบ้านซึ่งก่อนหน้านี้เป็นของเมิ่งจงจวี่และภรรยา จากนั้นได้สร้างเป็นจวนที่มีลานกว้างในภายหลัง จวนนี้มีขนาดกว้างใหญ่มาก จะพักอาศัยเพิ่มอีกหลายคนก็มิใช่ปัญหา เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยเจียงเฟิงแล้ว จึงรีบเอ่ยปากพูดทันที “ไม่รบกวน คุณชายเซี่ยพักได้ตามสบายเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความรู้สึกของเซี่ยเจียงเฟิงในตอนนี้ดี รู้ว่าหากเขากลับบ้านไปก็ต้องกังวลใจอยู่ดี จึงมิได้ห้ามปราม และกล่าวไปว่า “หากเป็นเช่นนี้ เจ้าส่งคนไปบอกที่บ้านเถิด เมื่อเห็นว่าเจ้ายังไม่กลับบ้านพวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงเป็นห่วงแต่ความปลอดภัยของจางลี่สองแม่ลูกเท่านั้น จึงคิดไม่ถึงว่าต้องส่งคนไปแจ้งข่าวที่บ้านด้วย เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็พยักหน้า “อีกสักครู่ข้าจะสั่งคนกลับไป”

 

 

ทุกสิ่งที่ควรรู้ก็กระจ่างมากแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็เป็นห่วงจางลี่แม่ลูกเช่นกัน นางลุกขึ้นและพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งฉี “พี่ชายใหญ่ เรื่องวันนี้มีเพียงพวกเราไม่กี่คนและซ้อใหญ่รู้เท่านั้น ห้ามให้พ่อแม่และปู่ย่ารู้เป็นอันขาด พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลไปด้วย”

 

 

เมิ่งเสียและเมิ่งฉีตอบอย่างพร้อมเพียงกัน “เข้าใจแล้ว”

 

 

“พวกเจ้านั่งลงก่อน ข้าไปดูลี่เอ๋อร์กับเสี่ยวเอ๋อร์ก่อน หากพวกเขาตื่นแล้ว ข้าจะส่งคนมาแจ้งให้พวกเจ้าทราบ” หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังเดินออกจากห้องรับแขกไป