เมิ่งฉีและเซี่ยเจียงเฟิงเห็นสภาพที่น่าสงสารน่าเวทนาของจางลี่แล้ว พวกเขาก็รู้ว่าขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวรักษานางนั้นคงต้องถอดเสื้อผ้าของนางออกอย่างแน่นอน พวกเขาที่เป็นผู้ชายทั้งแท่งเช่นนั้นจึงไม่สะดวกที่จะเข้ามาด้วย จึงไม่ได้ขยับตัว เมื่อเมิ่งเสียนไม่เห็นว่าทั้งสองคนขยับตัว เลยเดาออกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่สะดวกเกิดขึ้นแน่ เขาจึงไม่ขยับตัวด้วย ทั้งสามคนนั่งเงียบๆ อยู่ภายในห้อง

 

 

ทันทีที่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปลานบ้านเพื่อรักษาอาการของจางลี่สองแม่ลูก ก็ได้ยินเสียงสะอื้นของซุนเชี่ยน จึงเดินเร็วขึ้นสองถึงสามก้าว ครั้นถึงภายในห้อง ก็เห็นซุนเชี่ยนยืนอยู่ข้างๆ เตียงร้อน กำลังมองดูจางลี่สองแม่ลูกที่ถูกพันทั่วร่างกายด้วยผ้าพันแผล แล้วน้ำตาเม็ดใหญ่ก็ไหลหล่นลงมา

 

 

เมื่อได้ยินเสียงของนาง ซุนเชี่ยนเงยหน้าขึ้น เบิกตาที่บวมแดงเล็กน้อย แล้วตะโกนว่า “น้องหญิงเล็ก!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก เดินไปข้างๆ นาง แล้วโอบไหล่ของนาง

 

 

น้ำตาของซุนเชี่ยนไหลพรากไม่หยุดและร้องไห้หนักมาก “ข้าคิดไม่ถึงว่าแม่ลูกคู่นี้จะบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้” รุนแรงขนาดที่นางก้าวเข้าประตูมา ทันที่ที่เห็นสภาพของแม่ลูกคู่นี้ นางก็หน้ามืดจนเกือบจะล้มลงกับพื้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งเงียบ ไม่ได้พูดอะไร แต่เสียงของซุนเชี่ยนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง จึงกล่าว “เฉียวหมิ่นที่พวกเจ้าพูดถึง นางบ้าไปแล้วหรือ ลงมือโหดเ**้ยมเช่นนี้ ไม่กลัวเทวดาฟ้าดินลงโทษหรือถูกฟ้าผ่าหรือไง”

 

 

แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอเฉียวหมิ่นมานานถึงสี่ห้าปี แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่าจิตใจของนางบิดเบือนและเปลี่ยนไปมาก ใบหน้าของนางถูกทำลายและถูกส่งตัวไปรับโทษที่สถานีส่งสาร ขณะเดียวกัน จูหลานกลับแต่งงานกับหญิงอื่นและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข นางจะทนกับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน จางลี่แม่ลูกจึงเปรียบเสมือนหนามยอกอกในสายตาของนาง หนึ่งเดือนมานี้ สาเหตุที่ยังไม่จัดการสองแม่ลูกนี้ อาจเป็นเพราะว่าภายในใจของนางยังวาดฝันว่าจูหลานจะถอดทิ้งจางลี่ แล้วมาแต่งงานกับตนและยกย่องตนเป็นภรรยาเอก ไม่มีใครรู้เลยว่านางกลับมาแล้ว ข่าวนี้ทำร้ายความรู้สึกของนางโดยตรง ทำให้นางชำระแค้นที่จางลี่สองแม่ลูก คนเช่นนี้เข้าสู่ความบ้าคลั่งขั้นสุดและตกอยู่ในสภาพเป็นบ้าเสียสติไปแล้ว ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป หลงเหลือไว้เพียงความเกลียดชังเท่านั้น

 

 

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตอบกลับนางด้วยน้ำเสียงที่ซ่อนจิตสังหารไว้ไม่อยู่ “ให้ฟ้าผ่าตายคงง่ายไปสำหรับนาง คนอย่างนางต้องทนทุกข์ทรมารร้อยแปดพันเก้า ถูกทรมารทุกวิถีทางถึงจะสาสม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมักจะยิ้มอย่างเฉยเมย น้อยมากที่จะพูดเช่นนี้ ทำให้ชิงหลวนและจูหลีตกใจกับน้ำเสียงที่เย็นชาของนาง ทั้งสองต่างตัวสั่น ซุนเชี่ยนก็ตื่นตระหนกตกใจจนลืมร้องไห้ไปเลย อ้าปากค้างและเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างตะลึงงัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเพิกเฉยต่อปฏิกิริยาของพวกเขาทั้งสาม ปล่อยให้ซุนเชี่ยนยืนอยู่ตรงหน้าของจางลี่สองแม่ลูกที่กำลังหายใจอ่อนแรง นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายอาฆาตอย่างเต็มเปี่ยม นางบ่นพึมพำและเป็นการรับประกันว่า “ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับสองแม่ลูก ข้าจะฝังกลบพวกเขาทุกคนเพื่อล้างแค้นกับพวกเจ้า”

 

 

ชิงหลวนและจูหลี่ต่างตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของนาง แต่ซุนเชี่ยนกลับมองนางอย่างประหลาดใจนัก

 

 

ภายในห้องเงียบสนิท

 

 

ซุนเชี่ยนใช้เวลาสักพักหนึ่งถึงจะได้สติกลับคืนมา แล้วเช็ดน้ำตาและพูดว่า “น้องหญิงเล็ก จะให้ข้าช่วยเจ้าอย่างไรได้บ้าง”

 

 

“เจ้าและพี่ชายใหญ่กลับบ้านไปก่อนเถิด กลับไปปลอบประโลมพ่อแม่ก่อน อย่าให้พวกท่านต้องเป็นกังวล หากพวกเขาไม่สบายใจ อยากมาดูอาการ ก็ให้บอกไปว่าแม่ลูกคู่นี้ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส ยังไม่สะดวกที่จะให้คนเข้าเยี่ยม ไว้ค่อยให้พวกเขามาในภายหลัง”

 

 

ซุนเชี่ยนพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะกลับไปพร้อมกับพี่ชายใหญ่ทันที”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับอีกครั้ง “ในฝั่งของรั่วหลานมีสาวใช้เพียงสองคนคงไม่พอ หลังจากที่พวกเจ้ากลับถึงบ้านแล้ว ให้พี่ชายใหญ่หาองครักษ์สักสองคนมาเฝ้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้น”

 

 

“อืม ได้” ซุนเชี่ยนตอบ พร้อมกับปาดน้ำตา แล้วเดินไปที่อ่างล้างหน้าเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สะอาด ไม่ให้ดวงตาของนางแดงก่ำไปมากกว่านี้ จากนั้นมองไปที่จางลี่สองแม่ลูกซึ่งนอนอยู่บนเตียงร้อน แล้วก็หันหลังเดินจากไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถอดรองเท้า นั่งลงข้างๆ จางลี่สองแม่ลูก โดยไม่สนใจคลาบเลือดที่อยู่บนเตียง นางเอื้อมมือไปจับแขนของจางลี่ก่อน เพื่อจับชีพจรอย่างละเอียด รู้สึกว่าชีพจรที่เต้นแรงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้นางใจชื้นขึ้นมาบ้าง จึงหันไปสั่งชิงหลวน “ไปเอาซุปโสมที่ต้มเสร็จแล้วเข้ามา”

 

 

ชิงหลวนหันหลังออกไป แล้วรีบยกชามที่ใส่ซุปโสมไว้เข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงอยู่ที่เดิม และกำลังยกศีรษะของจางลี่ขึ้น และใช้สายตาส่งสัญญาณให้จูหลีช่วยป้อนซุปโสมให้แก่นาง

 

 

ไม่รู้ว่ารู้สึกถึงลมหายใจของจูเสี่ยว หรืออยากตื่นให้เร็วขึ้นกันแน่ จางลี่ที่หมดสติอยู่กลับให้ความร่วมมือโดยดื่มซุปโสมทั้งชามจนหมด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจมาก วางนางลง แล้วเช็ดมุมปากของนาง จากนั้นจับมือของนางวางลงบนอกของจูเสี่ยวอีกครั้ง พร้อมกับกระซิบ “ลี่เอ๋อร์ เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเสี่ยวเอ๋อร์ยู่เคียงข้างเจ้าตลอด เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องการการดูแลจากเจ้า เจ้าต้องสู้นะ เข้มแข็งไว้ แล้วรีบตื่นขึ้นมาดูแลนาง”

 

 

เมื่อใช้ไม้นั้นกับจูเสี่ยวแล้ว ทำให้ชิงหลวนและจูหลีสงบสติอารมณ์ได้มาก ไม่แสดงสีหน้าตกใจอีกต่อไป และมองหน้านางอย่างมีความหวัง หวังว่าจะเกิดปาฎิหาริย์เช่นนั้นอีกสักครั้ง

 

 

ทว่า กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงแล้ว จางลี่ไม่เพียงไม่ฟื้น ใบหน้าของนางกลับเริ่มแดงก่ำขึ้น หายใจก็เร็วขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจมาก นางนั่งลงทันทีและรีบสั่ง “รีบไปเอายาที่ลดไข้มาเร็ว”

 

 

ชิงหลวนและจูหลีคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ชิงหลวนรีบวิ่งออกไปด้วยความตื่นตระหนก แล้วยกชามที่ใส่ยาลดไข้เข้ามา ทั้งสามคนรีบป้อนยาให้นางดื่ม ไม่มีใครคาดคิดว่าความร้อนภายในร่างกายของจางลี่ไม่เพียงแต่ไม่ลดลง สีหน้ากลับแดงก่ำยิ่งขึ้น หายใจก็เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก

 

 

ร่างกายของจางลี่ถูกพันด้วยผ้าพันแผล จึงไม่สามารถเช็ดตัวนางเพื่อทำให้ร่างกายเย็นลงได้ วิธีเดียวที่ทำได้คือ เอาผ้าขนหนูชุบน้ำให้เปียกแล้วนำมาวางไว้บนหน้าผากของนางเพียงเท่านั้น

 

 

เมื่อคิดถึงวิธีนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตะโกนขึ้นทันที “ผ้าเปียก!”

 

 

ชิงหลวนรีบเอาผ้าขนหนูเปียกพับแล้ววางบนหน้าผากของจางลี่

 

 

จูหลี่ก็ไม่ได้อยู่เฉย รีบไปรองน้ำเย็นเข้ามาอีกหนึ่งกะละมัง

 

 

และไม่รู้ว่าทำเช่นนี้วนซ้ำไปแล้วกี่รอบ แต่ไข้ของจางลี่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย ขณะเดียวกัน จางเสี่ยวที่นอนยู่ข้างๆ กลับส่งเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดและแผ่วเบา เวลานี้เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกช็อคมิน้อย นางหันกลับไปมอง สีหน้าของจูเสี่ยวก็เริ่มแดงก่ำ เดิมที่หายใจอ่อนแรง แต่ตอนนี้กลับหายใจเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก

 

 

ชิงหลานและจูหลีก็เห็นสภาพของจูเสี่ยวเช่นกัน ไม่ต้องให้เมิ่งเชี่ยนพูด ก็รู้ว่าเขากำลังไข้ขึ้น ขณะนั้นหัวใจของพวกเขาทั้งสองกระตุกหนึ่งที

 

 

บนหน้าผากของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ปรากฏเม็ดเหงื่อเช่นเดียวกัน นางรีบพูดอย่างเป็นกังวล “ยา!”

 

 

ชิงหลวนก็ตื่นตระหนกตกใจและรีบวิ่งออกไป แล้วรีบนำชามใบเล็กเข้ามา ยังคงใช้วิธีเดิม เมิ่งเชี่ยนโยวและจูหลีช่วยป้อนยาให้กับจูเสี่ยว ไม่รู้ว่าเพราะรู้สึกไม่สบายจนทนไม่ไหว หรือเป็นเพราะเมิ่งเชี่ยนโยวป้อนยาเร็วเกินไปกันแน่ ป้อนยาเสร็จ ถ้วยยายังอยู่ในมือของเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่ได้วางลง ยาที่ป้อนจูเสี่ยวก็ไหลออกมาตามมุมปากทั้งหมด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจขึ้นทันที และหยิบมุมเสื้อของนางขึ้นมาเช็ดที่มุมปากของจูเสี่ยว โดยลืมไปว่ามีผ้าขนหนูอยู่ข้างๆ เสียงของนางสั่นเครือ “เสี่ยวเอ๋อร์ แข็งใจไว้ แม่เจ้าอยู่ข้างๆ หากเจ้าเป็นอะไรไป นางคงไม่อยากไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป