พระพันปีลูบบนหลังมือของรยูฮาอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง  

 

 

“องค์รัชทายาททรงฉลาดหลักแหลมอยู่เสมอ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว จนกว่าจะได้ขึ้นครองราชย์ก็ต้องระวังไปจนถึงเรื่องความฉลาดที่มากเกินไปนั้น เขาอาจจะติดอยู่กับความรื่นเริงในชีวิตจนเสียเวลาช่วงหนึ่งในชีวิตไป จึงทำให้ถูกติฉินนินทา เชื่อว่าเจ้าคงฟังออกว่าข้าหมายความว่าอย่างไร” 

 

 

บทสนทนาของทั้งคู่สั้นกว่าครั้งไหน จากนั้นไม่นานรยูฮาก็จับมือของพระพันปีเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงวางลงหันหลังออกจากวังชังชุนไป นางทั้งเดินเล่นในพระราชวังพร้อมกับกลับตำหนักมาอ่านหนังสือ และซ่อมแซมดาบไปด้วยก็แล้ว แต่คำพูดของพระพันปีก็ไม่ยอมออกไปจากหัว พระอาทิตย์กำลังตกเหนือภูเขาทางทิศตะวันตก หลังคาถูกย้อมไปด้วยสีทองของอาทิตย์อัสดง และตอนนั้นเองที่ฮอนเปิดประตูทั้งสองข้างเข้ามาในห้องของนาง 

 

 

“พระชายา ข้ามาแล้ว” 

 

 

“อย่าพรวดพราดเปิดประตูเข้ามาสิเพคะ ฝ่าบาท” 

 

 

“เพราะข้าคิดถึงเจ้าอย่างไรเล่า คิดถึงอยู่ตลอดทั้งวัน” 

 

 

ฮอนพูดราวกับบ่นพึมพำแล้วเหวี่ยงตัวไปยังที่นอน ไม่ว่าใบหน้าของนางในที่ยืนห้อมล้อมอยู่จะยิ้มหรือไม่ยิ้ม เขาก็มุดตัวลงไปในผ้าห่มเพื่อสูดกลิ่นกายเลือนรางของรยูฮาอย่างแน่วแน่ 

 

 

“…ออกไป” 

 

 

รยูฮาคิดว่าคงต้องให้นางในออกไปก่อนเสียตั้งแต่ตอนนี้ จึงส่งสัญญาณมือไปทางพวกนาง ไม่มองก็รู้ว่าข้างนอกบรรดาหญิงสาวที่พากันเสียดายต่างกระซิบกระซาบจนโกลาหลขนาดไหน 

 

 

“คิดถึงหม่อมฉันขนาดนั้นหรือเพคะ” 

 

 

“ไม่นะ ข้าหมายถึงนิยายพื้นบ้านต่างหาก ไหนๆ แล้วก็เอาออกมาเถอะ” 

 

 

รู้สึกได้ถึงความสบายใจบนใบหน้าของฮอนที่กำลังยกยิ้ม รยูฮาข่มใจที่อยากจะตีเขาสักครั้งด้วยสันหนังสือไว้อย่างยากเย็น แล้วหยิบที่ใส่ของที่เต็มไปด้วยหนังสือที่อยู่ใต้เตียงออกมา 

 

 

“ของว่างเล่า” 

 

 

“…เฮ้อ” 

 

 

“ไม่มีหรือ” 

 

 

“ไม่มีเพคะ” 

 

 

“ปากมันว่าง” 

 

 

“บอกว่าไม่มีไงเพคะ หรือจะเสวยนิ้วมือของหม่อมฉันก็เชิญเลยเพคะ” 

 

 

รยูฮาพูดพร้อมนั่งลงบนที่นอนแล้วยื่นนิ้วชี้ออกมา ฮอนมองตามอย่างไม่สะดวกใจนักก่อนจะจับนิ้วนั้นไว้แล้วเอาเข้าปากจริงๆ  

 

 

“อึก” 

 

 

รยูฮาขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดแล้วพยายามจะเอานิ้วออกมา แต่ฮอนกลับยึดไว้แน่นราวกับจะไม่ยอมปล่อยแล้วเริ่มเคี้ยว หญิงสาวคนนี้แม้แต่ปลายนิ้วก็มีรสหวานออกมาหรือนี่ 

 

 

“ปล่อยเถอะเพคะ” 

 

 

คิดว่าเป็นของว่างจริงๆ หรือ ดูเหมือนฮอนที่กำลังเอานิ้วอีกข้างเข้าปากจะไม่ได้ยินเสียงของรยูฮา เป็นผู้ชายแบบไหนกันแน่ รยูฮาคิดแบบนี้ไม่ได้เกินไปเลย ภาพนิ้วที่เข้าออกตรงริมฝีปากแดงภายใต้ขนตาแพยาวนั้นจะบอกว่าแสดงออกถึงความต้องการทางร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายที่กลายเป็นเจ้าของนิ้วมือนั้น ยิ่ง… 

 

 

“นี่มัน…” 

 

 

ตอนนี้ปลายลิ้นของฮอนกำลังเกี่ยวเอานิ้วที่สี่เข้ามาก็รู้สึกได้ถึงความแปลกปลอม พอจะเอาออกจากปากก็เจอเข้ากับรอยแผลเหมือนกับถูกฉีกขาดเพราะอะไรบางอย่าง เป็นรอยเล็กมากๆ แต่ในสายตาของฮอนกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ 

 

 

“คืนแรกของเราน่ะหรือ” 

 

 

“ใช่แล้วเพคะ” 

 

 

ฮอนลูบคลำแผลเป็นด้วยปลายนิ้วเบาๆ วันนั้นไม่ควรพูดว่ามีคนที่รักอยู่แล้วหรือพูดออกไปว่าไม่ได้รู้สึกรักใคร่เลย ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงได้เข้าหอและไม่เกิดรอยแผลเป็นนี้ 

 

 

“ขอโทษที่ข้าทำให้มือน่ารักนี้มีแผลเป็น” 

 

 

“ไม่ใช่มือที่น่ารักเสียหน่อยเพคะ” 

 

 

เป็นไปตามที่รยูฮาพูด มือที่จับดาบกวัดแกว่งมาเป็นเวลานานนิ้วมือก็ยืดยาวออกไป ตรงฝ่ามือก็มีทั้งหนังด้านและรอยแผลเป็น เล็บก็ไม่ได้ดูดีเหมือนหญิงสาวคนอื่นในวัง มองหนังด้านนั้นน่ารักได้อย่างไร ฮอนแตะริมฝีปากลงบนปลายนิ้วนั้นแล้วพูดเสียงเบา  

 

 

“เหมือนโดนวางยาในมื้อเย็น” 

 

 

“จริงหรือเพคะ” 

 

 

รยูฮาขมวดคิ้วแล้วก้มตัวลงไปเพื่อสำรวจสีหน้าของฮอน แล้วแขนที่ไม่ยอมพลาดโอกาสของฮอนก็โอบไหล่หญิงสาวดึงเข้ามาในที่นอนอย่างรวดเร็ว 

 

 

“ข้าแน่ใจว่าโดนวางยาในสำรับอาหารแน่นอน ซอรยูฮา ไม่ใช่เจ้าใส่ลงไปหรือ” 

 

 

“ทำไมใช้คำพูดแบบเป็นกันเองอีกแล้วเพคะ” 

 

 

“จะดูว่าถ้าพูดแบบนี้แล้วจะจูบอีกหรือไม่” 

 

 

ใบหน้าของรยูฮาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มประหลาดใจ ดูเหมือนข่าวลือที่ว่าทรงเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้เชี่ยวชาญทั้งสุราและนารีคงไม่ใช่เรื่องเกินจริงนัก 

 

 

“คราวหน้าฝ่าบาทต้องนำสุรามาด้วยนะเพคะ จะมาตัวเปล่าไม่ได้นะเพคะ” 

 

 

รยูฮาขยับตัวออกอย่างคล่องแคล่ว เกือบจะเรียบร้อยอยู่แล้วเชียว ฮอนถอนลมหายใจออกมาอย่างเสียดาย เปิดหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ด้านข้าง 

 

 

อ้างว่าอยากอ่านหนังสือสักเล่มเพื่อให้ได้มาหารยูฮา แต่เนื้อหาในเล่มกลับดูไม่มีทีท่าว่าจะเข้าสายตา หน้าหนังสือถูกเปิดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นก็หยุดการเคลื่อนไหวแล้ววางลงข้างหมอนอย่างเรียบร้อย 

 

 

“ว่าแต่พระพันปีทรงตรัสอะไรหรือ” 

 

 

“ไม่ใช่เรื่องจะมาสงสัยเรื่องที่ผู้หญิงคุยกันนะเพคะ” 

 

 

“ข้าสงสัยเกี่ยวกับเจ้าทุกอย่าง ตื่นนอนเมื่อไหร่ กินอะไร คุยอะไรกับใคร ไปจนถึงคิดอะไรอยู่ รู้หรือไม่ว่าข้าอิจฉาใครมากที่สุดในโลก” 

 

 

รยูฮาจัดหนังสือที่ฮอนขว้างวางไว้ด้านข้าง และในที่สุดก็หันไปมองเขา 

 

 

“คนที่อยู่สูงรองลงมาแค่พระราชาจะคิดอิจฉาริษยาใครอีกหรือเพคะ” 

 

 

“มินอา” 

 

 

คำตอบของเขาค่อนข้างจะเหนือความคาดหมาย พอได้ฟังสาเหตุที่บอกต่อมาก็น่าจะเป็นเช่นนั้น 

 

 

“มินอาอยู่ข้างเจ้ามาตั้งแต่เด็กๆ รู้จักเจ้าในมุมที่ข้าไม่รู้ หากข้าไม่นึกอิจฉามินอาที่แม้แต่ตอนอาบน้ำก็ไม่อยู่ห่างจากเจ้า… ข้าก็คงเป็นสามีที่ใช้ไม่ได้มิใช่หรือ” 

 

 

น้ำเสียงของฮอนที่พูดเสริมด้วยคำถามสุดท้ายอย่างระมัดระวังอ่อนหวานราวกับจะหลอมละลาย พูดแบบนี้ด้วยใบหน้าแบบนี้มันออกจะเล่นผิดกติกาไปหน่อย รยูฮายกมือขึ้นปัดจมูกรอบหนึ่งราวกับกำลังหลงเสน่ห์ของอีกฝ่าย เหมือนที่ฮอนเคยทำภายใต้แสงจันทร์เมื่อนานมาแล้ว  

 

 

“ฝ่าบาททรงจำเรื่องเมื่อตอนเป็นเด็กไม่ได้สินะเพคะ ในความทรงจำที่หายไปอาจจะมีหม่อมฉัน…” 

 

 

รยูฮากำลังจะพูดต่อแล้วก็เม้มปากลง ท่านแม่ย้ำตลอดว่าต้องไม่ให้องค์รัชทายาทจำความได้ ถึงไม่ได้ถามสาเหตุแต่ก็ไม่นึกจะต่อต้านคำพูดของท่านแม่ผู้ซึ่งฉลาดหลักแหลมอยู่เสมอ 

 

 

“พระพันปีคงบอกไว้สินะ” 

 

 

ฮอนพูดดักคอ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องแก้สถานการณ์ ฮอนยอมรับความเงียบนั้นของรยูฮาแล้วพูดต่อ 

 

 

“ตอนที่เสด็จแม่จากไป ข้าก็ป่วยหนัก จนความทรงจำก่อนหน้านั้นถูกลบไปหมด ที่ได้ยินมาคือก่อนเกิดเรื่องนั้นพระพันปีทรงอ่อนโยนมาก” 

 

 

สัญชาตญาณของรยูฮาที่เอียงหูฟังเงียบๆ จับคำพูดสุดท้ายได้แล้วถูกผลักเข้าสู่ความคิดอันดิ่งลึกลงไป พระพันปีผู้ซึ่งเคยอ่อนโยนก่อนที่ความทรงจำจะถูกลบไป ท่านแม่ผู้ที่บอกว่าห้ามให้ความทรงจำกลับคืนมา นางรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงอันแปลกประหลาดในความสัมพันธ์นั้น ทั้งคู่รู้อะไรบางอย่าง บางอย่างที่ถูกปิดบังซ่อนเร้นไว้มันคืออะไรกัน 

 

 

“คิดอะไรอยู่หรือ” 

 

 

ความลื่นไหลของความคิดถูกตัดขาดไปเพราะน้ำเสียงอันนุ่มนวล รยูฮาลูบไล้ใบหน้าของฮอนอีกครั้งแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง  

 

 

“หม่อมฉันจะออกไปเอาของว่างเข้ามาเพคะ ดูเหมือนว่ามินอาจะไม่อยู่” 

 

 

 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

วันแล้ววันเล่าผ่านไปอย่างเงียบสงบชนิดที่ว่าน่าแปลกใจ ลมที่พัดมาจากทางเหนือหอบเอาน้ำค้างแข็งอันหนาวเย็นมาด้วย แต่เพราะเข้าสู่ปีที่อุดมสมบูรณ์ ราษฎรจึงไม่อดอยาก การบุกรุกทางฝั่งชายแดนก็ลดลง เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวที่บรรดาสัตว์หากินพืชผลบนภูเขาจนตัวอ้วนพีกำลังเตรียมตัวหลับยาว ฤดูแห่งการล่าสัตว์  

 

 

“รายละเอียดและงบเกี่ยวกับงานแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

สีหน้าของพระราชาผู้ซึ่งรับเอากระดาษม้วนหอบหนึ่งมาสดใสขึ้น ทรงใช้นิ้วคลี่กระดาษออกทีละแผ่นแล้วอ่านอย่างละเอียด พอประทับพระราชลัญจกรลงไป บรรดาขุนนางต่างลอบมองอย่างใจหายใจคว่ำถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา 

 

 

“ทำได้ดีมากไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง จัดเตรียมตามนี้” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”