ส่วนที่ 4 ตอนที่ 178 โมรา

ความลับแห่งจินเหลียน

“เปล่า ไม่ได้แบ่งแยกแบบนี้” อวิ๋นอวิ้นส่ายหน้าพูด “โชคดีที่ได้มีโอกาสเห็นหยกเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นเกียรติกับฉันมาก หยกไม่เพียงดูจากสีหรือชนิด แต่ยังต้องคำนึงถึงคุณค่าในตัวมันด้วย” ประโยคนี้มีความหมายกำกวมแฝงอยู่สองอย่าง   

 

ใช่ หยกยังต้องเน้นเรื่องคุณค่าในตัวมัน อย่างเช่นหยกราชางู ราชาหยก รวมถึงหินหยกเมื่อสักครู่ที่ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งเจียระไนออกมา ไม่ใช่แค่เรียกร้องอยากเจอแล้วจะได้เจอสมใจ ได้มีโอกาสแค่มองก็ถือว่าเป็นสิริมงคลแล้ว

 

อวิ๋นอวิ้นลุกยืนขึ้นมองไปทางซีเหมินจินเหลียน “ครั้งนี้ ฉันก็แพ้แล้ว แต่นัดเดิมพันของจริงระหว่างเราเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ผู้ชนะยังไม่ถูกตัดสินหรอกนะ”

 

“ฉันรู้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “ตั้งแต่แรกฉันก็เชื่อมาตลอดว่าผู้ชนะครั้งสุดท้ายก็ยังคงเป็นฉัน!”

 

อวิ๋นอวิ้นยิ้มและกล่าวลากับสวี่เซวียนหยวนพร้อมเดินมุ่งไปทางประตู เมื่อเดินถึงหน้าประตูถึงแล้ว เธอถึงพูดขึ้นว่า “ฉันจะรอ”

 

 เมื่ออวิ๋นอวิ้นจากไป ประธานเซี่ยที่พานักประเมินราคาสองคนติดสอยห้อยตามต่างพากันแยกย้ายบอกลา จ่านป๋ายมองไปที่เช็คเงินสิบล้านบนโต๊ะ เขาคว้ามาและบรรจงพรมจูบด้วยความซะใจ “หาเงินตามทิศทางลมนี่ ง่ายจริงๆ!”

 

สุดท้ายเขาก็ถูกซีเหมินจินเหลียนกลอกตาใส่

 

“นี่คืออะไรกันแน่?” รอให้แขกเหรื่อในงานกลับกันจนหมดแล้ว สวี่อี้หรานก็เป็นคนแรกที่พุ่งกระโจนไปบนโต๊ะนั้น มองไปทางหยกแก้วลายน้ำมหัศจรรย์ไม่หยุด

 

จ่านมู่ฮวาเองก็เดินเข้าไปดูอย่างละเอียดพร้อมถามขึ้นอย่างแปลกใจ “ดูแล้วเหมือนเป็นลายน้ำกำลังไหลผ่าน ตรงกลางที่สีดูเหมือนจะดำแต่ไม่ดำ จะขาวก็ไม่ขาวนั่นคืออะไร?”

 

“ผมมองไม่ชัด มองนานแล้วตาลาย!” สวี่อี้หรานส่ายหน้าพูด

 

“จินเหลียน…จินเหลียน…” จ่านมู่ฮวาพูด “คุณลองเข้าไปดูใกล้ๆ สิว่าข้างในเป็นอะไร”

 

“คุณยังมองไม่ชัด แล้วฉันจะมองออกได้อย่างไร?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด

 

“ถ้าอย่างนั้นคุณตัดสินจากผิวได้ยังไงว่าข้างในหยกเป็นสีอะไร?” จ่านมู่ฮวาถามด้วยความสงสัย

 

ซีเหมินจินเหลียนจู่โจมด้วยการกลอกตาใส่เขา คนคนนี้ก็หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ เธอจะรู้ได้อย่างไรกัน? เธอใช้แค่พลังในการมองทะลุผ่านมาตัดสินเท่านั้น แต่คนที่เดิมพันคงไม่นำทักษะที่โดดเด่นของตัวเองถ่ายทอดให้กับคนนอกหรอก ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถของเธอก็ยากจะถ่ายทอดด้วย      

 

แต่ซีเหมินจินเหลียนคิดถึงหินหยกที่เคยเห็นในงานเลี้ยงคล้ายวันเกิดของผู้อาวุโสอวิ๋นครั้งก่อน มันไม่ได้มืดแปดด้านเมื่อมองตาเปล่า ดังนั้นเธอจึงเข้าใจมากกว่าพวกเขาหน่อย สิ่งที่อยู่ตรงกลางดูแล้วเหมือนไข่ใบหนึ่ง แต่ยังมีความแตกต่างกับไข่ตรงกลางของราชาหยก

 

ยิ่งทำให้เธอรู้สึกแปลกกว่าเก่าก็คือ ส่วนตรงกลางของหยก ไม่น่าจะเป็นเนื้อหยก แต่น่าจะว่างเปล่า เหมือนกับน้ำ…

 

ในนั้นอ้อมล้อมไปด้วยมวลสสารหลากหลายชนิด ทำให้เธอไม่สามารถใช้พลังในการมองทะลุผ่านได้ ตามประสบการณ์ที่ผ่านๆ มา สิ่งที่ใช้พลังทะลุผ่านไม่ได้ พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต แสดงว่าในน้ำมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างอยู่อย่างนั้นเหรอ? มันเป็นอะไรกันแน่

 

พูดความจริง เธอก็อยากที่จะชำแหละออกมาดูซะให้จบๆ แต่เธอรู้ดีว่าหากเจียระไนออกมาหมดแล้ว หยกที่หายากบนโลกใบนี้คงเสียหายแน่ เรื่องแบบนี้ เธอจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้น

 

อวิ๋นอวิ้นไม่ได้มองหินหยกก้อนนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่เธอได้แต่กวาดสายตามองผ่านๆ จากระยะไกล หินหยกก้อนนี้น่าจะจัดอยู่ในชนิดเดียวกันกับหยกราชางูและราชาหยก ไม่เคยได้ยินว่าข้างในหยกจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ และไม่เคยเห็นในบันทึกที่ไหน?

 

ถือว่าเธอโชคดี คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอหยกหายากต่อเนื่องขนาดนี้

 

ไม่ถูกสิ! สวี่อี้หรานเคยถามเธอว่า ในเมื่อมีหยกที่ส่องแสงได้ ถ้าอย่างนั้นมีโอกาสที่จะมีหยกมีชีวิตไหม หรือว่านี่อาจจะเป็นหยกมีชีวิต?

 

“ผมคิดออกถึงความเป็นไปได้บางอย่าง” จ่านป๋ายตักเค้กกุหลาบที่อยู่บนโต๊ะเข้าไปในปากและยิ้มออกมา

 

“ความเป็นไปได้อะไร?” ซีเหมินจินเหลียนถาม

 

“ไม่ใช่ว่ามีตำนานเรื่องโมราหรอกเหรอ? คุณดูลายน้ำตรงกลางสิ เห็นได้ชัดว่าโมรา” จ่านป๋ายพูด

 

“เหลวไหล!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “ของเหลวไหลพรรค์นั้น คุณก็เอามาพูดเรื่อยเปื่อยได้เหรอ?”

 

“นี่ไม่ใช่แค่บันทึกของโมรา” สวี่อี้หรานพูด “ในหนังสือของแพทย์มีการบันทึกเกี่ยวกับโมราด้วย เอ่อ…ไม่รู้ว่านี่คืออะไรกันแน่ ผมจำได้ว่าคัมภีร์ย่ามน้ำเงินมีบันทึกไว้อยู่…มีหินอยู่ทางตอนใต้ หากหญิงตั้งครรภ์มั่นทานสม่ำเสมอ สามารถขับไล่โรคภัยได้!”

 

“จริงเหรอ?” จ่านมู่ฮวาแววตาพลันสว่างจ้า

 

“หรือคุณอยากจะกิน?” ซีเหมินจินเหลียนถาม      

 

“ผม…” จ่านมู่ฮวารีบพูด “ผมแค่ถามเฉยๆ…ถามเฉยๆ…” หากทำไม่ดี ซีเหมินจินเหลียนคงได้นำหยกมหัศจรรย์นี้เจียระไนออกมาบีบบังคับให้เขากลืนลงไปเพื่อวิจัยแน่? ใครจะไปรู้ว่าเธออาจจะมีงานอดิเรกแบบนี้ก็ได้

 

“วางใจเถอะ ถึงคุณอยากจะกินแค่ไหน ฉันก็ไม่ยอมหรอก” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “หากพวกคุณต้องการที่จะสำรวจต่อไป ก็เชิญตามสบาย ฉันขอตัวไปนอนก่อนแล้ว!” พูดจบเธอก็หมุนตัวเดินกลับห้อง

 

“พวกนายยังจะสำรวจอีกไหม ถ้าไม่ ผมจะได้เก็บของ” จ่านป๋ายมองไปทางสวี่อี้หรานกับจ่านมู่ฮวา

 

“จริงๆเลย ไม่ใช่ของคุณสักหน่อย จะใจแคบไปเพื่ออะไร?” สวี่อี้หรานทำปากจู๋ใส่ “ดูมากหน่อยก็ไม่ทำให้หยกสึกกร่อนหรอก?”

 

จ่านมู่ฮวานั่งพิงเก้าอี้มองไปทางจ่านป๋ายที่กำลังเก็บหินหยกหลากชนิดอยู่ ไหนจะเก็บเช็คเงินสดทั้งสองใบเข้าไปในกระเป๋าเงินของตัวเอง พลอยอดไม่ได้ที่จะก่นด่า “หน้าไม่อาย!”

 

จ่านป๋ายทำได้แค่ยิ้ม หน้าไม่อายเหรอ? ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่หน้าไม่อายกว่ากัน? แต่ทั้งคู่ก็ทะเลาะกันมาหลายปีแล้ว เขาเลยไม่สนใจที่เขาจะทะเลาะกันต่อไปแบบนี้

 

เมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อย จ่านมู่ฮวาก็ลุกขึ้นกล่าวลา จ่านป๋ายกับสวี่อี้หรานต่างแยกย้ายกลับห้องของตน แต่เมื่อเห็นไฟในห้องของซีเหมินจินเหลียนยังเปิดอยู่ เขาจึงรีบเปลี่ยนทางไปยังห้องของเธอ

 

ประตูล็อค แต่นั่นก็ไม่ยากสำหรับเขา ไม่ถึงสามวินาที ประตูก็เปิดออก ซีเหมินจินเหลียนนอนอยู่บนโซฟามองไปยังแชนเดอเรียบนเพดานอย่างเลื่อนลอย

 

“ฉันบอกตั้งหลายครั้งแล้วใช่ไหมว่าห้ามคุฯมางัดประตูห้องฉัน!” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเสียงฝีเท้า ก็รู้ว่าคือเขา “อีกอย่างที่นี่ไม่ใช่บ้านตัวเอง อยู่บ้านคนอื่นต้องสำรวมหน่อยสิ”

 

“ผมไม่ได้งัดประตู แค่ไขกุญแจเท่านั้น” จ่านป๋ายพูดและนั่งลงไปข้างๆ เธอพร้อมถาม “ทำไมถึงยังไม่นอนอีกครับ?”

 

“เลยเวลานอนแล้ว ฉันเลยนอนไม่หลับน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

จ่านป๋ายเห็นเธอใส่เสื้อกระโปรงยาว กระโปรงจากบนโซฟายาวจนลากคลุมพื้นปกปิดเรียวขาอันขาวนวลของเธอไว้ครึ่งหนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะเผลอใจสั่นไหวจนยื่นมือไปแตะเท้าเธอ

 

“คุณจะทำอะไร?” ซีเหมินจินเหลียนรีบชักหน้าถาม

 

จ่านป๋ายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ซีเหมินจินเหลียนก็พูดขึ้นว่า “คุณไปอเมริกา ไม่ใช่ว่ายังมีเรื่องอื่นอีกเหรอ ในเมื่อยังไม่นอน ก็พูดอะไรหน่อยสิ!”

 

“เรื่องอะไรครับ” จ่านป๋ายถามอย่างคลุมเครือ

 

“คุณก็บอกว่าจะไปตรวจรักษาที่อเมริกาไม่ใช่เหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถามออกไปตรงๆ

 

“ผลเป็นอย่างไร มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” จ่านป๋ายพูด “คุณเคยบอกว่า ถึงยังไงผมก็ยังเป็นคนของคุณ ชั่วชีวิตนี้อย่าคิดจะหนีไปไหน”

 

“ฮะ…” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มแย้ม “พรุ่งนี้ฉันจะให้หมอมองโกลคนนั้นมาจับชีพจรคุณ!”

 

“ผมไม่ได้ป่วยสักหน่อย จะให้หมอมองโกลมาจับชีพจรเพื่ออะไรกัน” จ่านป๋ายพูด ได้ยินมาว่าขั้นตอนการตรวจจับชีพจรของหมอมองโกลคนนั้นก็แปลกประหลาดมาก ถึงเวลานั้นหากให้เขามาจับชีพจร ไม่เท่ากับว่าเปิดโปงเรื่องของตัวเองทั้งหมดต่อหน้าเขาหรืออย่างไร?

 

“ไม่อย่างนั้น หรือจะให้ฉันจับชีพจรของคุณ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม

 

“คุณทำเป็นเหรอ” จ่านป๋ายแสดงอาการสงสัย

 

“ไม่เป็นหรอก” ซีเหมินจินเหลียนตอบตามความจริง แต่ตอนนี้เธออยากจะลองจับดู

 

“ไม่เอา” จ่านป๋ายรีบปฏิเสธ ถ้าให้จูงมือปกติกับเธอก็ไม่มีปัญหา เขารู้สึกชอบมาก แต่ตั้งแต่ตอนที่เธอบอกเขาว่าเธอสัมผัสเขาแล้วรู้สึกว่าอ่อนโยนเหมือนหยก ในใจของเขาก็แปรปรวน ทำไมสัมผัสเขาเธอถึงต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย?

 

เมื่อส่องดูกระจก หน้าตาของตัวเองก็ดีกว่าคนธรรมดาอยู่ไม่น้อย แต่เทียบกับจ่านมู่ฮวาและหลินเสวียนหลานแล้วก็ยังไม่โดดเด่นอยู่ดี ทำไมเธอถึงมีความคิดไร้สาระแบบนี้ได้?

 

มองซีเหมินจินเหลียนที่กำลังเบิกตากว้างจ้องมองมาที่เขา จ่านป๋ายก็นั่งคุกเข่าอยู่ข้างเธอและถามหยั่งเชิงขึ้นว่า “คุณหนูจินเหลียนของผม คุณจะสนใจสุขภาพร่างกายของผมไปทำไม หรือว่าคุณจะแต่งงานกับผมครับ?”

 

“ฉันไม่ได้อยากจะแต่งงานกับคุณสักหน่อย เพียงแต่อยากจะจับคุณมัดแล้วตีสักรอบ!” ขนตายาวของซีเหมินจินเหลียนปิดซ่อนดวงตาที่เจ้าเล่ห์อยู่ในนั้น

 

“คุณจะเล่น?” จ่านป๋ายถาม “คุณเล่นจนชอบแล้วสินะ? หากคุณชอบ ผมก็ยินดีที่จะถูกคุณกระทำชำเรา…”

 

“คุณพูดอะไรเนี่ย?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “ฉันไม่คุยเรื่องไร้สาระกับคุณแล้ว ฉันจะนอน พรุ่งนี้คุณเอาของส่งกลับไปก่อน จากนั้นเรียกจ่านมู่ฮวามาคุยเรื่องภาพยนตร์ ฉันก็ว่างอยู่พอดี จะได้เตรียมตัวเขียนบทภาพยนตร์คร่าวๆ” 

 

“ตกลงครับ” จ่านป๋ายยืนขึ้นพยักหน้าพูด “คุณรีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องรีบตื่นนะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน!” พูดจบตนเองก็เดินออกไปจากห้อง แต่ตอนที่เขากำลังจะปิดประตูให้เธอนั้น เขาก็เห็นว่าเธอยังคงนอนเหม่อลอยอยู่บนโซฟา

 

เขาถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ซีเหมินจินเหลียนค่อนข้างอ่อนไหว และชอบเก็บความคิดของตัวเองฝังไว้ลึกๆ แต่เขากับเธอรู้จักกันมาสักพักแล้ง จึงพอคาดเดาออกบ้าง…เธอเคยพูดเอง เธอศรัทธาในทางสายกลาง แน่นอนว่าต้องเก็บตัวมากกว่าคนธรรมดา

 

จ่านป๋ายเดินเข้าไปในห้องตัวเอง ปิดประตูลงและพิงตัวอย่างไร้เรี่ยวแรงแนบกับกำแพง เงาของสวี่อี้หรานค่อยๆ แวบผ่านเข้ามาในใจ เขาทำอะไรกันแน่? ถึงทำให้ซีเหมินจินเหลียนดูหวาดกลัวเขาได้ขนาดนี้?

 

ตระกูลสวี่มีอำนาจยิ่งใหญ่จริง และสวี่อี้หรานก็เป็นถึงทายาทคนเดียวของตระกูลสวี่จากตงไห่ ดูอย่างนี้แล้ว นายท่านตระกูลสวี่คงพอใจซีเหมินจินเหลียนอยู่ไม่น้อย แต่จากนิสัยของซีเหมินจินเหลียน  ขอแค่ไม่คุกคามเธอ เธอก็คงไม่หวาดกลัวขนาดนี้ เกิดเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้กันแน่?

 

หลินเสวียนหลานสุภาพเรียบร้อย ชายหนุ่มรูปร่างงามสง่า นิ่งสงบกว่าสวี่อี้หราน…จ่านป๋ายออกแรงกำมือ ถ้าหากเขาเป็นผู้หญิง เขาคงชอบผู้ชายแบบนี้ การมีตัวตนของคนคนนี้ทำให้เขาเหมือนกำลังแบกรับของหนักและเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก!