“คนเลว!” จ่านป๋ายตบหน้าตัวเองพลางถอนหายใจ ในใจบ่นด่าพึมพำ “ไม่เกี่ยวกับฉันไม่เกี่ยวกับฉัน…”
“แต่ฉันต้องทำยังไง?” จ่านป๋ายลากเก้าอี้และหยิบบุหรี่หนึ่งมวนมาจุดไฟ พ่นควันออกมาหนักๆ เขาควรทำอย่างไรดี? แม้ว่าเขาจะไม่ได้ติดบุหรี่ แต่นานๆ สูบทีก็ไม่เป็นไร แต่เพราะซีเหมินจินเหลียนเกลียดควันบุหรี่มาก วันเวลาที่อยู่ด้วยกันกับเธอ เขาก็เลิกบุหรี่ได้แล้ว แต่ตอนนี้จิตใจว้าวุ่นเหลือเกิน
นั่งพิงเก้าอี้ ภาพตรงหน้ามีแต่เงาของซีเหมินจินเหลียนวนไปมา จนเมื่อบุหรี่มวนหนึ่งหมดไป เขี่ยก้นบุหรี่ทิ้ง จ่านป๋ายสูดลมหายใจลึกๆ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “คุณจะเอายังไงกันแน่?”
ท้องฟ้ากำลังมืดมิด รุ่งอรุณค่อยๆ ย่างกรายเข้ามา เวลาเก้าโมงเช้าวันถัดมา จ่านป๋ายขับรถไปเมืองเซี่ยงไฮ้ ซีเหมินจินเหลียนกำชับให้เขารีบไปรีบมา จากนั้นก็เตรียมตัวไปเที่ยวซูโจวสักสองสามวัน
ผลสุดท้าย คุยกันเสียดิบดีว่าจะไปกันสองคนตั้งแต่ตอนแรก แต่จ่านมู่ฮวาก็หัวแข็งดื้อดันจะตามมาด้วยให้ได้ ส่วนสวี่อี้หรานไม่ได้พูดอะไรมากความ ติดสอยห้อยตามมาด้วยเช่นกัน
เห็นคนหน้าไม่อายมาก็เยอะ แต่เขาก็ยังไม่เคยเจอใครที่หน้าด้านหน้าทนขนาดนี้มาก่อน!
จ่านป๋ายเหยียบคันเร่งสุดแรง อยากที่จะสลัดรถที่ตามรั้งท้ายออกไปให้ไกล แต่สวี่อี้หรานหมอมองโกลคนนั้น แม้ปากจะบอกว่าตัวเองไม่มีใบขับขี่ แต่ทักษะการขับรถก็ไม่เลวเลย คลำทางขับตามติดก้นมาไม่ห่าง ประเด็นหลักคือซีเหมินจินเหลียนนั่งอยู่ข้างๆ รีบเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ช้าๆ หน่อย ฉันบอกให้คุณช้าหน่อยได้ยินไหม…”
“เครื่องยนต์ของผมมันแรงน่ะ” จ่านป๋ายมองเธออย่างรู้สึกผิด
“อย่ามาแกล้งทำตัวน่าสงสารนะ ฉันไม่ได้แกล้งคุณสักหน่อย!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“แต่ผมอยากจะให้คุณแกล้งผมนี่” จ่านป๋ายพูด
“เหอะ!” ซีเหมินจินเหลียนตั้งใจปั้นหน้าไม่ไยดี แต่ไม่นานก็อมยิ้มขึ้น “คุณอยากจะสลัดพวกเขาสองคนทิ้งเหรอ? แม้ว่าคุณจะสลัดไปได้จริง แต่เมื่อถึงซูโจว พวกเขาก็ต้องหาเจออยู่ดีนั่นละ”
“พวกสัมภเวสีสองตัวนั่น!” จ่านป๋ายตบไปที่พวงมาลัยรถพร้อมสบถด่า “พวกเขาสองคนจะตามมาทำไมกัน?”
“พวกเขาอยากจะตามก็ให้ตามมาเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“จินเหลียน คุณบอกผมมาตามตรง คุณมาซูโจวก็เพื่อจะมาเที่ยวเหรอครับ?” จ่านป๋ายถาม
“ฉันแค่อยากจะซื้อของนิดหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ซื้ออะไร” จ่านป๋ายถามอย่างแปลกใจ
“ผ้าปัก” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ที่เซี่ยงไฮ้ก็มีงานเย็บปักที่ดีๆ อยู่ หยางโจวก็มี แต่ทำไมคุณถึงอยากมาซื้อที่เมืองซูโจวให้ได้ล่ะ?” จ่านป๋ายขมวดคิ้วพูดขึ้น
“ฉันต้องการแบบนี้” ซีเหมินจินเหลียนคว้าผ้าเช็ดหน้าสี่เหลี่ยมโบราณออกมาจากกระเป๋าส่งไปให้จ่านป๋ายดู “คุณลองดูสิ นี่น่าจะมาจากร้านไหน”
จ่านป๋ายนิ่งไปเล็กน้อย เขาขับรถให้ช้าลงก่อนจะรับผ้าเข้ามาดูพลางขมวดคิ้ว “ฝีมือปักประณีตชั้นดี ไม่เหมือนกับของธรรมดาทั่วไป” ผ้าเช็ดหน้าเป็นผ้าไหมบริสุทธิ์ ผิวสัมผัสนุ่มสบาย ด้านบนปักด้วยดอกโบตั๋นกึ่งบานกึ่งตูมดอกหนึ่ง เคียงคู่กับผีเสื้อสองตัวที่กำลังดมดอมอยู่กับดอกไม้ ลวดลายธรรมดา แต่ฝีมืองดงามอ่อนช้อยมาก นี่ก็ไม่เหมือนกับสินค้าที่วางขายตามตลาดทั่วไป กระโปรงของซีเหมินจินเหลียนก็มีมูลค่ามหาศาลแล้ว คนทั่วไปคงไม่มีเงินพอที่จะซื้อได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะฝีมือการปักก็ยังไม่สู้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้
“แม้ฉันจะไม่รู้เรื่องเย็บปักถักร้อย แต่ฉันก็ยังพอรู้ว่าคนที่สามารถปักผ้าเช็ดหน้าได้ขนาดนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ และฉัน…” พูดถึงเท่านี้ เธอก็ถอนหายใจออกเบาๆ “ฉันอยากรู้ว่าทำไมอวิ๋นอวิ้นถึงเกลียดฉันเข้ากระดูกดำขนาดนี้!”
“ผมว่า ตระกูลของคุณและตระกูลของเธอน่าจะมีความสัมพันธ์บางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้” จ่านป๋ายขมวดคิ้วพูด
“ตอนที่ฉันอายุได้ประมาณเจ็ดแปดขวบ เหมือนจะมีปัญหาทางสมองนิดหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนพูดถึงเท่านี้ก็ก้มหน้าก้มตาพูด “เรื่องทั้งหมดส่วนใหญ่จะจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ตอนที่ฉันเห็นเธอ ฉันรู้สึกจำได้อย่างเลือนรางขึ้นมา เหมือนฉันจะเคยเจอเธอมาก่อน…และเป็นเพราะเธอ เธอทำให้แม่ของฉันต้องผูกคอตาย และพ่อก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย…” เมื่อพูดถึงเท่านี้เธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“คุณหมายความว่า พ่อของคุณอาจจะยังไม่ตาย?” จ่านป๋ายถามขึ้นอย่างสงสัย
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูดขึ้นว่า “ฉันก็ไม่รู้ สิ่งที่ฉันพอจะจำได้ก็มีเพียงเท่านี้ ฉันเคยถามหมอมองโกลคนนั้น เขาบอกว่าหากเขาลงมือทำ บางทีเด็กที่อายุยังไม่ถึงสิบขวบอาจจะสามารถดึงความทรงจำของเขาได้ แต่หากมีปัจจัยกระตุ้นมากก็ยังพอฟื้นคืนสภาพเดิมได้หน่อย แต่หมอที่มีฝีมือระดับสูงคงไม่ทำอย่างนี้เพื่อส่งผลกระทบต่อพัฒนาสติปัญญาของเด็กแน่ ฉันว่าน่าจะต้องมีใครทำอะไรกับความทรงจำของฉัน…”
“หมอมองโกลคนนั้นมีวิธีรื้อฟื้นความทรงจำให้คุณไหม?” จ่านป๋ายถาม
“เขาบอกว่าไม่ได้ แถมยังบอกว่าสมองของวัยผู้ใหญ่เติบโตได้ดี ความทรงจำไม่มีปัญหา หากไม่ระวัง ฝังเข็มผิดไปอาจทำให้ปัญญาอ่อนไปเลยก็ได้!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“หากฝังเข็มแล้วทำให้คนกลายเป็นบ้าได้ นั่นก็คงเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน” จ่านป๋ายหัวเราะออกมาน้อยๆ พร้อมพูดขึ้น
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา ความจริงวันนั้นสวี่อี้หรานพาเธอไปดื่มกาแฟ ผลสุดท้ายก็เจออวิ๋นเจียที่จิตไม่ปกตินั่นจ้างนักฆ่ามาสังหารเธอ สุดท้ายสวี่อี้หรานก็ใช้เข็มฝังลงไปจนนักฆ่าล้มพับนอนกองลงไป…
เพียงไม่นานซีเหมินจินเหลียนก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ตอนนี้คนคนนั้นจะเป็นอย่างไรแล้วนะ? เริ่มแรกสวี่อี้หรานยังคอยปิดบังเธอ แต่ต่อมาพอถูกเธอจี้ถามเข้า เขาเลยบอกแค่ว่าคนคนนั้นอาจจะสติไม่สมประกอบหรือไม่ก็อาจจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปเลย
ฝีมือของเขารวดเร็วมาก เร็วเสียจนทำให้เธอรู้สึกเคลือบแคลงใจ!
หากคนคนนี้เป็นแค่คนธรรมดาก็แล้วไป แต่เขาคนนี้กลับเป็นคนตระกูลสวี่ วงศ์ตระกูลวิปริตจากตงไห่
ตระกูลสวี่มีทั้งเงินมีทั้งอำนาจ เธอไม่มีทางหาเรื่องเขาได้อยู่แล้ว! และเธอก็ไม่ได้โง่ แน่นอนต้องมองออกว่าสวี่อี้หรานไม่ได้สนใจแค่จะวิจัยฝีมือทางการแพทย์กับเธอเท่านั้นแน่ๆ
ซีเหมินจินเหลียนรีบเบี่ยงประเด็น เลิกคิดถึงเรื่องนี้แล้วถอนหายใจออกมา “คุณย่าของฉันเสียไปสองปีหลังจากที่แม่ของฉันผูกคอตายไป ตอนนั้นฉันพึ่งอายุสิบขวบ ฉันแทบจะอยู่กับอาจารย์ตลอดเวลา และเรียนรู้ทักษะการแกะสลัก ได้ยินเรื่องเล่าไร้สาระเหมือนไม่มีจริงจากเขามาบ้าง และเมื่อฉันอายุสิบสี่ปี…อาจารย์ก็จากไปจากโลกใบนี้ คนในหมู่บ้านก็เลยเป็นคนเลี้ยงฉันจนโตขึ้นมา”
“หลังจากนั้น คุณก็ไม่เคยพบพ่อของตัวเองเลยเหรอครับ?” จ่านป๋ายถาม
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า “ไม่เคยเลย ตอนที่ฉันยังเด็ก ยังเคยถามคุณย่าบ้าง แต่พอเริ่มพูดขึ้นคุณย่าท่านก็เอาแต่ร้องไห้…บอกว่าพ่อตายไปพร้อมกับแม่แล้ว เขาไม่กลับมาแล้ว จากนั้นฉันก็ไม่กล้าถามอีกเลย…และก็คิดว่าเขาตายไปแล้วจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้น…เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่?” จ่านป๋ายลองถามหยั่งเชิง
“ฉันเองก็ไม่รู้” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “นี่เป็นของที่คุณย่าทิ้งไว้ให้ฉัน ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว คนแก่ในชนบทก็ไม่น่าจะมีผ้าเช็ดหน้าแบบนี้ได้หรอกใช่ไหม?”
จ่านป๋ายพยักหน้า “คนแก่ในชนบท แม้แต่เห็นก็คงยังไม่เคยเห็น”
“เพราะอย่างนี้ฉันเลยอยากมาดูที่ซูโจวตัวตัวเองว่าคนที่ปักผ้าผืนนี้คือใครกันแน่ และคุณย่าของฉันเป็นใครกันแน่ ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลอวิ๋น” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจพูด “การที่หน้าตาของฉันละหม้ายคล้ายกับอวิ๋นอวิ้นนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ ฉันว่าระหว่างฉันกับเธอน่าจะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดบางอย่าง แต่เธอไม่ได้พูดออกมา แล้วจะให้ฉันถามได้ยังไง?”
“เอ่อ…” จ่านป๋ายคิดดูและยิ้ม “ถ้าผมพูดอะไรออกมาแล้ว คุณอย่าทำร้ายผมนะ!”
“อยู่ดีๆ ฉันจะไปทำร้ายคุณทำไมกัน?” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันไม่ได้เป็นคนชอบใช้ความรุนแรงสักหน่อยนะ”
“เรื่องที่คุณชอบใช้ความรุนแรงหรือเปล่านั้น พวกเราค่อยว่ากันเถอะครับ” จ่านป๋ายยิ้มแห้ง “แต่เรื่องของตระกูลอวิ๋น ผมพอจะรู้มาบ้าง ไม่รู้ว่าคุณจะสนใจฟังไหม?”
“คุณมัวแต่ลีลาอยู่ทำไมกัน? คุณจะหาเรื่องฉันใช่ไหม!” ซีเหมินจินเหลียนด่า
“อวิ๋นอวิ้นมีพี่สาว เป็นลูกนอกสมรสของตระกูลอวิ๋น” จ่านป๋ายยิ้ม “เดิมทีเรื่องแบบนี้มันก็ธรรมดาใช่ไหมล่ะ ผู้ชายตระกูลสูงส่งก็ชอบไปมีอะไรกับผู้หญิงข้างนอกและเลี้ยงดูลูกไว้นอกบ้าน นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เหมือนอย่างจ่านมู่ฮวา แม่ของเขาก็คือเมียนอกสมรสของพ่อผม แต่ตอนนี้กลับย้ายรกรากเข้ามาอยู่ที่บ้านผมแล้ว ตอนนี้เขาก็กลายเป็นผู้สืบทอดตระกูลจ่านคนถัดไป”
“คุณเป็นทายาทที่ล้มเหลวมาก” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเรื่องนี้จึงพยักหน้า “จนเกือบจะถูกเขาฆ่าแล้ว!”
จ่านป๋ายยิ้ม “หากไม่มีคุณ บางทีตอนนั้นผมอาจจะตายไปตั้งนานแล้วจริงๆ! จินเหลียนนอกจากคุณ ผมก็ไม่เหลืออะไรแล้วครับ”
“เอาเถอะๆ อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย…มาพูดเรื่องอวิ๋นอวิ้นดีกว่า” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ตระกูลอวิ๋นก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน เมียน้อยถูกรักใคร่เอ็นดู อวิ๋นอวิ้นจึงรู้สึกไม่สบายใจ แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลักของต้นตอปัญหานี้ ประเด็นหลักก็เพราะว่าผู้ชายคนหนึ่ง!” จ่านป๋ายบีบหว่างคิ้วพูด “อวิ๋นอวิ้นกับอวิ๋นอวิ๋นรักผู้ชายคนเดียวกัน ระหว่างพวกเธอเลยเกิดความขัดแย้งขึ้นมาครั้งใหญ่!”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“รายละเอียดยิบย่อย ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว แถมคนในตระกูลอวิ๋นต่างเก็บความลับไว้ราวกับกรอกใส่ปากขวดแล้วปิดฝา เพราะฉะนั้นรู้ได้คร่าวๆ แค่ว่า อวิ๋นอวิ๋น…หรือก็คือพี่สาวของอวิ๋นอวิ้นนั้นหายตัวไป” จ่านป๋ายพูด “ผมสงสัยว่าอวิ๋นอวิ๋นคนนั้นน่าจะเป็นคุณย่าของคุณ!”
ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิดเล็กน้อยพร้อมส่ายหน้าพูดขึ้น “นี่ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร?”
“ปัญหาก็อยู่ที่ตัวผู้ชายคนนั้น ไม่มีใครรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” จ่านป๋ายพูด “ผมลองสืบหาดูแล้ว ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมาเลย”
“เป็นไปได้ยังไง?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว “ยังไม่กี่ปีนี่นา คนในตอนนั้นก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่กันหมดสิ ทำไมถึงยังหาอะไรไม่เจอเลย?”
“เพราะอย่างนั้นผมเลยคิดว่า ผู้ชายคนนั้นน่าจะเป็นกุญแจหลัก แต่ผู้ชายคนนั้นตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เรื่องนี้ก็พูดยาก คุณน่าจะรู้ว่าคุณยายของคุณเสียไปหลายปีแล้ว” จ่านป๋ายพูด
“ตอนแรกตระกูลอวิ๋นทำธุรกิจอะไรเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนมุ่นคิ้ว “ไม่น่าจะใช่ธุรกิจเครื่องประดับอัญมณีหรอกใช่ไหม?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” จ่านป๋ายส่ายหน้าพูด “ตระกูลอวิ๋นทำแต่ธุรกิจเสื้อผ้า”
“ยลเมฆาคะนึงถึงอาภรณ์เจ้า แลบุบผาหวนนึกถึงแต่หน้าเจ้า?” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนยิ้มออกมา
“ใช่แล้ว” จ่านป๋ายพยักหน้าพูด “พวกเขาเป็นตระกูลเล็กๆในประเทศจีน เริ่มจากซื้อสินค้านำเข้าจากต่างชาติ จากนั้นเริ่มมาทำธุรกิจขนสัตว์กับเย็บปักถักร้อย ธุรกิจยิ่งใหญ่มาก จนเมื่อตกมาอยู่ในมือของ อวิ๋นอวิ้นจึงได้ซื้อบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ แม้ว่าหยกจะเป็นของโบราณคู่ประวัติศาสตร์มาตลอด แต่ในตอนนั้นยังจัดว่าเป็นเครื่องประดับชั้นสูง คนทั่วไปไม่สามารถซื้อมาครอบครองได้ บริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ถือว่าทำลายตำนานนั้นให้คนทั่วไปสามารถมีหยกไว้ในครอบครอง!”