ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “ตระกูลพวกเขาถือว่าลงทุนลงแรงไปมาก แต่ปัญหาก็คือหากตระกูลอวิ๋นไม่ได้รู้เรื่องเดิมพันหินตั้งแต่แรก ทำไมพวกเขาถึงสร้างตัวได้เร็วขนาดนี้? ถ้าหากฉันจำไม่ผิด บริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ก็ก่อร่างสร้างตัวมาจากหยกนี่”
จ่านป๋ายสีหน้าฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “นี่คือปัญหาหลักเลย ผมเคยสืบค้นประวัติบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่มาก่อน แรกๆ คนที่เริ่มเดิมพันหินหยกนั้นก็อวิ๋นอวิ้นแค่คนเดียว จนถึงหลายปีมานี้ บริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่มีคนคอยมาด้วยความเลื่อมใสคอยรับผิดชอบเรื่องการจัดซื้อโดยเฉพาะ ส่วนอวิ๋นอวิ้นก็ถือเป็นตำนานของโลกเดิมพันหินที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้ต่อใคร!”
ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ ตำนานที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อใครในโลกเดิมพันหิน? หากพูดแค่เดิมพันหินอย่างเดียว เธอก็ไม่ได้แพ้จริงๆ! แน่นอนคงเป็นเพราะว่าเธออาจจะไม่เคยเจอราชาหวังคนนั้น
“เสี่ยวป๋าย…” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นว่า “คุณว่าหากอวิ๋นอวิ้นเจอกับผู้อาวุโสคนแปลกพิลึกนั่นแล้วอะไรจะเกิดขึ้น คิดว่าเธอยังจะเป็นตำนานเทพที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้ต่อใครอยู่อีกหรือเปล่า”
“ตอนนี้เธอก็แพ้หลายรอบจนเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว” จ่านป๋ายพูด
ซีเหมินจินเหลียนมองไปยังนอกหน้าต่างรถอยู่นานถึงเอ่ยขึ้นว่า “เธอไม่ได้แพ้หรอก”
“ครับ?” จ่านป๋ายมองเธอจากมุมข้าง ไม่เข้าใจว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร
“ไม่ต้องพูดถึงครั้งอื่นๆ แต่นัดเดิมพันที่สวี่หยวนนั้น เธอจงใจทำ!” ซีเหมินจินเหลียนสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด “คุณอย่าถามฉันเลยว่าทำไม แต่ความรู้สึกของฉันมันบอกว่า เธอมีความสุขที่ได้แพ้…ไม่สิ เธอมีความสุขมาก!”
“ว่ากันว่าจิตใจของผู้หญิงอยากเสียกว่างมเข็มในมหาสมุทรซะอีก” จ่านป๋ายพูดด้วยใจจริง “ทำไมเธอถึงทำอย่างนั้น?”
“ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เดิมทีคิดว่าคุณฉลาดกว่าฉันและจะช่วยฉันคิดได้ สุดท้าย…” ซีเหมินจินเหลียนเม้มปากพูด “คุณกับฉันก็โง่เง่าพอๆ กัน”
“คุณรู้ไหมว่าหากคนโง่อยู่ด้วยกันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?” ในแววตาลุ่มลึกของจ่านป๋ายเผยยิ้มเจ้าเล่ห์
ซีเหมินจินเหลียนคิดไปมาอยู่นาน ท้ายที่สุดก็เรียกสติคืนกลับมาได้ หากไม่สนว่าอยู่บนรถเธอคงจะกระทืบเขาให้แล้ว “คุณนั่นแหละที่โง่!”
“จินเหลียน อย่าครับ!” จ่านป๋ายเกือบเหยียบคันเร่งไปแล้ว ได้แต่กระเสือกกระสนพูดขึ้น “อย่าเล่นแบบนี้นะ! มันอันตรายมาก!”
ซีเหมินจินเหลียนเองก็ตกใจเหมือนกัน เธอไม่กล้าเล่นอะไรผลีผลามอีกแล้ว เบี่ยงหน้าหนีใส่เขา รถของสวี่อี้หรานที่ตามทั้งคู่อยู่ด้านหลังเห็นสถานการณ์ของรถที่ส่ายไปส่ายมาเหมือนงูเลื้อยเมื่อสักครู่ก็ได้แต่สบถด่าออกมา “เขาขับบ้าอะไรของเขา?”
“เห็นๆ อยู่ว่าเขาก็ขับรถ คุณก็คิดว่าเขาขับเครื่องบินเหรอไง!” จ่านมู่ฮวาที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“คุณเคยขับเหรอ? มีประสบการณ์มากอย่างนั้นสิ?” สวี่อี้หรานเหลือบสายตามองไปที่ชายคนข้างๆ ยิ่งดูก็ยิ่งไม่เข้าตา ตอนแรกเขาคิดจะขับรถตามจ่านป๋ายกับซีเหมินจินเหลียนอยู่ดีๆ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงมาร่วมด้วย อีกทั้งยังมาขึ้นรถของเขาอีก หากไม่เห็นถึงผลประโยชน์ในการทำธุรกิจของสองตระกูลที่มีมาโดยตลอด เขาคงไม่อดทนให้มาด้วยกันหรอก คงจะใช้เข็มฝังให้เป็นบ้าไปแล้ว!
“คุณว่าอะไรนะ?” จ่านมู่ฮวานิ่งไปเล็กน้อย นี่ก็เป็นคำพูดที่หมอมองโกลเอ่ยออกมาเหรอ?
“ผมเริ่มหงุดหงิดแล้วนะ ไม่คิดว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้” สวี่อี้หรานพูดด้วยท่าทีจริงจัง “รอให้ถึงซูโจวแล้วคุณก็รีบลงไปซะ อย่าบอกว่ารู้จักกับผมล่ะ!”
“หมอมองโกล คุณลองพูดอีกรอบสิ!” จ่านมู่ฮวาเพิ่งเข้าใจขึ้นมาได้ว่าถูกเขาเล่นงานซะแล้ว
“ผมไม่ใช่สัตวแพทย์!” สวี่อี้หรานอธิบายออกมาอย่างจริงจัง “อีกอย่าง ผมไม่ได้อนุญาตให้คุณขึ้นรถผมสักหน่อย!”
“ขึ้นรถของคุณ ผมก็ยังนึกว่านั่งเรือโจรซะอีก!” จ่านมู่ฮวาพูดจาขึ้นอย่างดุดัน
“ผมไม่ได้เป็นโจร ผมเป็นหมอ!” สวี่อี้หรานพูดอย่างจริงจังอีกครั้ง
จ่านมู่ฮวาเบือนหน้าหนีขี้เกียจจะไปต่อความกับเขา คุยกับเขาแล้วอารมณ์เดือดพล่าน
และสิ่งที่ทำให้จ่านมู่ฮวากับสวี่อี้หรานคิดไม่ถึงก็คือ…ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายมาซูโจวก็เพื่อมาตามหาสาวปักผ้าจากมือด้วยความประณีต อยู่ซูโจวมาสามวัน พวกเขาทั้งคู่ตามหาช่างสาวคนนี้ทั้งถนนและตรอกซอกซอยจนหมด แต่ผลที่ตามมาก็คือซีเหมินจินเหลียนซื้อผ้าปักมาเยอะมาก
ตอนกลางคืนจ่านป๋ายนั่งพิงเก้าอี้มองไปที่ซีเหมินจินเหลียนอย่างจนปัญญา “พรุ่งนี้จะยังหาอีกเหรอครับ?”
“ฉันคิดว่า พวกเรามาผิดทาง!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายศีรษะพูด “พวกเราควรจะเริ่มหาจากตระกูลอวิ๋น!”
“ทางตระกูลอวิ๋น ก็หมดหนทางในการตามหาแล้วจริงๆ นอกเสียจากอวิ๋นอวิ้นจะพูดออกมาเอง”จ่านป๋ายสีหน้าขมขื่น สามวันที่อยู่ซูโจวมานี้ได้แต่ตามหาร้านเย็บปัก แต่ไม่ได้ค้นหาประวัติความเป็นมาของผ้าเช็ดหน้าในมือเธอเลย คนส่วนมากเมื่อมองลวดลายถักทอเสร็จก็ได้แต่ชื่นชม แต่ไม่รู้ว่ามาจากร้านไหนกันแน่
แม้ว่าจะเป็นงานเย็บปักทั้งหมด แต่ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายรู้ดีว่าลายถักนี้…ไม่เหมือนกับร้านอื่น เพราะแต่ละร้านต่างมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของตัวเอง ไม่เผยแพร่ต่อคนนอก
จนกระทั่งบ่ายวันนี้ผ่านพ้นไป จ่านป๋ายกับซีเหมินจินเหลียนก็ได้ยินจากปากคนชราวัยแปดสิบว่า…ฝีมือในการปักเช่นนี้ไม่ได้อยู่แค่ซูโจว เพราะว่ามีการสืบทอดอย่างแพร่หลาย ชื่อเสียงจึงกระจายไปยังวงนอก ราชวงศ์หมิงและชิงเคยใช้เป็นเครื่องบรรณาการ เลยมีผู้สืบทอดแต่ละที่มากมาย ทั่วประเทศในทุกท้องที่ต่างก็มี แค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียว หากอยากตามหาเจ้าของมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
สิ่งสำคัญก็คือ…หากเจ้าของผ้าเช็ดหน้าไม่ได้เป็นช่างเย็บผ้า ทำแค่เป็นงานบ้านอดิเรกส่วนตัวเท่านั้น แล้วจะไปตามหาได้จากที่ไหนอีก?
ซีเหมินจินเหลียนหมดอารมณ์จะพูดคุยกับจ่านป๋าย กลับไปที่เซี่ยงไฮ้ก่อนดีกว่า หากอยากหาจริงๆ งมเข็มในมหาสมุทรอย่างนี้ สู้ไปหาที่ตระกูลอวิ๋นให้จบๆ
“จินเหลียน ความจริงแล้วพวกเราสามารถทำเรื่องสกปรกได้” จ่านป๋ายนั่งพิงบนเก้าอี้พร้อมยิ้ม
“หา?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ “เรื่องสกปรก?”
“ฉินเฮ่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณมาโดยตลอด เขายังเคยตามจีบคุณ แต่ไม่รู้ว่าต่อมาเป็นเพราะอะไรถึงได้ไปหมั้นกับอวิ๋นเจีย” จ่านป๋ายบีบหว่างคิ้ว
“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า แม้เธอจะไม่ชอบฉินเฮ่า แต่คนที่สุภาพบุรุษ อีกทั้งยังโปรไฟล์ดีโดดเด่นกว่าใครกลับไปแต่งงานกับอวิ๋นเจีย ทำให้ในใจของเธอรู้สึกแทนเขาว่ามันไม่คู่ควรกันเลย
“เราก็ให้ฉินเฮ่าไปถามอวิ๋นเจียเรื่องอดีตของอวิ๋นอวิ้นก็ได้นี่ครับ” จ่านป๋ายพูด
ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิดอยู่นานพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง “กลับเซี่ยงไฮ้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ!”
“ความจริงผมว่าฉินเฮ่า…มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ” จ่านป๋ายส่ายหน้าพูด “จากนิสัยของเขาแล้ว แม้จะทำเพื่อตระกูล แต่คงไม่ยอมรับปากหมั้นกับอวิ๋นเจียคนสติเพี้ยนคนนั้น นี่ต้องมีอะไรบางอย่าง”
“ปัญหาของตระกูลอวิ๋นกับตระกูลฉินไม่เกี่ยวกับพวกเราสักหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูดขึ้นว่า “ฉันแค่อยากรู้ว่าพ่อของฉันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ทำไมตอนนั้นแม่ของฉันถึงตาย และคุณย่าของฉันใช่อวิ๋นอวิ๋นคนที่คุณพูดไว้หรือเปล่า เรื่องอื่นมันก็ไม่สำคัญทั้งนั้น”
ที่จริงสิ่งที่เธออยากรู้มากที่สุดก็คือ ผู้ชายคนที่ควรเรียกเขาว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่ไหม ทำไมหลายปีมานี้ถึงไม่มีข่าวคราวอะไรเลย?
ยิ่งไปกว่านั้นหากคนตายจากไป แม้จะรู้หน้าค่าตาในตอนนั้น แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว มีชีวิตอยู่ถึงสำคัญที่สุด
เส้นทางซูโจวไม่พบข้อมูลใดๆ วันถัดมาซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายขับรถกลับมาที่เซี่ยงไฮ้ จากนั้นก็เตรียมลงทุนกับภาพยนตร์ เพื่อนำหยกตีตลาดโลก จ่านป๋ายกับทางอเมริกาติดต่อกันได้และรู้ว่าคุณสมิธกำหนดนัดเดิมพันหินไว้ในต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ก่อนหน้านี้เขายังเตรียมตัวจะไปซื้อหินหยกที่พม่าด้วย
เมื่อจ่านป๋ายพูดกับเขาว่าจะลงทุนถ่ายโฆษณาหนังเกี่ยวกับวัฒนธรรมหยก คุณสมิธท่านนี้ถึงกับรีบหาช่องทางแทรกตัวธุรกิจทันที หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายตกลงเสร็จก็สามารถเริ่มลงมือได
จ่านมู่ฮวาค่อนข้างมีความสัมพันธ์อันดีกับวงการบันเทิง เมื่อซีเหมินจินเหลียนโทรศัพท์ไปบอกเขาว่าอยากจะร่วมมือกับเขาเพื่อถ่ายหนังโฆษณาวัฒนธรรมหยก ให้บริษัทจินเหลียนตีสู่ตลาดโลก จ่านมู่ฮวาก็ตาเปล่งประกาย ซีเหมินจินเหลียนยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยประโยคถัดมาก็ตกลงแล้ว และรีบพูดคุยถึงรายละเอียด
เพราะว่าเวลาค่อนข้างจำกัด และไม่สามารถยืดออกไปได้ ไม่อย่างนั้นการแข่งขันเดิมพันหินของคุณสมิธทางนั้นคงไม่รอพวกเขาแน่ ดังนั้นซีเหมินจินเหลียนจึงหวังไว้ให้จ่านมู่ฮวารีบดำเนินการ
ตอนที่จ่านมู่ฮวารีบมาถึงย่านหลานกุ้ยคฤหาสน์จินเหลียนก็รีบเอื้อมมือไปกดกริ่งทันที ด้านหลังมีเสียงพูดเคร่งขรึมดังแว่วเข้ามาว่า “เจ้าของไม่อยู่บ้าน มีธุระโปรดฝากข้อความไว้!”
ไม่ต้องหันหลังกลับไปจ่านมู่ฮวาก็รับรู้ได้เลยว่าคือใคร เมื่อหันกลับไปก็กัดฟันมองไปที่สวี่อี้หรานพร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจังและดุดัน “คุณรู้ได้ยังไงว่าจินเหลียนไม่อยู่บ้าน?”
“อ้อ…คุณซีเหมินไม่อยู่บ้านหรอกเหรอ?” สวี่อี้หรานกวนประสาท “ผมมาส่งดอกไม้!”
จ่านมู่ฮวากวาดสายตาไปมองตะกร้าหน้ารถจักรยานของสวี่อี้หรานมีดอกกุหลาบสีม่วงเข้มกำใหญ่ ดอกไม้พันธุ์ดี แต่น่าเสียดายที่ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เก่ากึกห่อไว้
“คุณให้ดอกกุหลาบผู้หญิงทั้งที ก็ไม่รู้ว่าควรจะห่ออย่างไรเหรอ?” จ่านมู่ฮวาแค่นเสียงใส่
“ดอกไม้ที่ดีก็เหมือนผู้หญิงสวย ไม่ต้องประดับตกแต่งอะไรมากมายก็สามารถสวยได้เหมือนกัน พวกที่ต้องห่อกระดาษอะไรนั่น หึ…ตั้งโต๊ะอะไรไม่ได้หรอก!” สวี่อี้หรานไม่เคยยอมใคร แต่เวลานี้เขาตั้งใจมองไปยังดอกกุหลาบสีชมพูที่ห่อด้วยกระดาษไหมในมือของจ่านมู่ฮวา
“ผมขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับคุณแล้ว!” จ่านมู่ฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ตัดบท เคยเห็นคนหน้าไม่อายมาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้
รถสีน้ำเงินคันหนึ่งขับเคลื่อนมาจอดอย่างเชื่องช้าหน้าคฤหาสน์จินเหลียน ไม่นานรถก็หยุดนิ่งจนจอดสนิท ประตูเปิดออก หลินเสวียนหลานถอดแว่นตาและมองไปยังสองคนที่อยู่หน้าประตู ได้แต่ถอนหายใจ เขาก็มาได้จังหวะจริงๆ
เมื่อจ่านป๋ายขับรถมาและเห็นพวกเขาทั้งสามคนก็นิ่งอึ้งไป นี่ล้อเล่นอะไรกันเนี่ย? เขารู้ว่าซีเหมินจินเหลียนนัดจ่านมู่ฮวามาพูดเรื่องลงทุนภาพยนตร์ แต่คิดไม่ถึงว่าสวี่อี้หรานกับหลินเสวียนหลานก็จะมาร่วมด้วย?
“วันนี้นึกอะไรกันเหรอ?” จ่านป๋ายยิ้ม “ไหนๆ ก็มากันแล้ว เชิญเข้าข้างในเถอะ”
“ผมคงไม่เข้าไปหรอก” หลินเสวียนหลานหยิบม้วนกระดาษออกมาจากกระเป๋าเอกสารและยื่นไปให้จ่านป๋าย “นี่เป็นภาพสเก็ตของหยกรูปแบบต่างๆ คุณช่วยเอาไปให้คุณซีเหมินดูหน่อยแล้วกัน ได้ไหม?”
“อ้อ โอเค!” จ่านป๋ายรับมา
หลินเสวียนหลานหมุนตัวเปิดประตูเข้าไปนั่งบนรถ มองช่อดอกกุหลาบสีเหลืองที่ผลิบานน้อยๆ และถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา…