ส่วนที่ 4 ตอนที่ 181 วัฒนธรรมหยก

ความลับแห่งจินเหลียน

หลินเสวียนหลานเตรียมตัวจะสตาร์ทรถจากไปพอดี ตอนนี้ซีเหมินจินเหลียนก็ออกมาจากข้างใน แล้วตะโกนเรียกขึ้นว่า “พี่หลิน เดี๋ยวก่อนค่ะ!” 

 

หลินเสวียนหลานทำได้แค่เพียงหยุดรถไว้ ก่อนซีเหมินจินเหลียนจะหันหน้าไปมองจ่านป๋าย “คุณให้พวกเขาทั้งสองเข้าไปนั่งก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันตามเข้าไป” 

 

เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนออกมา สวี่อี้หรานกับจ่านมู่ฮวาก็ยืนนิ่งไม่ขยับเป็นที่รู้กัน ได้ยินเธอพูดแบบนี้ พวกเขาก็ทำได้แค่เพียงเดินตามจ่านป๋ายเข้าไปแต่โดยดี 

 

ซีเหมินจินเหลียนเปิดประตูรถเข้าไปนั่งข้างตำแหน่งคนขับ “ไหนๆ ก็มาแล้ว ทำไมไม่เข้าไปข้างในก่อนล่ะคะ” 

 

หลินเสวียนหลานมองใบหน้าด้านข้างของเธอและยิ้มเอื้อนเอ่ยออกมาว่า “เห็นคุณมีธุระ ส่วนผมก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร ก็เลยนำพวกภาพสเก็ตเครื่องประดับหยกที่ออกแบบช่วงนี้มาส่ง…ยอดขายของบริษัทช่วงนี้ไม่เลว รายการเดินบัญชีผมส่งให้คุณในอีเมลแล้ว ถ้าคุณว่างก็อย่าลืมดูนะครับ หรือหากมีปัญหาก็ติดต่อกับแผนกการเงินได้เลย” 

 

“โอเคค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนมองดอกกุหลาบสีเหลืองช่อใหญ่นั้นพร้อมถามขึ้นว่า “นี่ให้ฉัน หรือว่า…” 

 

“ผมเอามาให้คุณ” หลินเสวียนหลานยิ้มมีเลศนัย “แต่คิดว่าคุณคงไม่ต้องการมันแล้วล่ะ…” 

 

“แต่ว่าฉันก็ชอบดอกกุหลาบสีเหลืองนะคะ!” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางนำช่อดอกไม้มากอดไว้ในมือ 

 

“คุณชอบก็ดีแล้ว” หลินเสวียนหลานยิ้ม “พวกเขาบอกว่าดอกกุหลาบสีเหลืองไม่สวย แต่ผมว่าสีของมันสดเลยซื้อมา” 

 

“ช่วงนี้บริษัทยุ่งมากไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม 

 

“ครับ?…” หลินเสวียนหลานไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงถามออกมาเช่นนี้ หรือกลัวว่าเวลาทำงานของเขาจะว่างเกิน? 

 

“นี่ก็เย็นแล้ว เข้ามากินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยไปเถอะค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนใช้ดอกกุหลาบปิดบังหน้าพร้อมพูด 

 

หลินเสวียนหลานนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้นว่า “ที่บ้านคุณก็มีกับข้าวเหรอ หรือว่าเรียกเดลี่เวอรี่?” จากที่เขาพอรู้จักซีเหมินจินเหลียนมา เธอไม่ได้มีพรสวรรค์ในการทำอาหารเลย เมนูพื้นฐานง่ายๆ เธอก็พอจะรู้ว่าทำยังไง แต่ฝีมือก็ย่ำแย่มาก ขนาดเมนูง่ายๆ อย่างมะเขือเทศผัดไข่ เธอก็ผัดจนมันไหม้ติดกระทะ 

 

ส่วนจ่านป๋าย เรื่องอื่นไม่มีปัญหา แต่ถ้าพูดถึงเรื่องกินเขาก็ทำได้แค่ขับรถออกไปซื้อของข้างนอก 

 

“เอ่อ…เอ่อ…วันนี้อากาศดีนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนตั้งใจเลียนแบบสีหน้าเวลาสวี่อี้หรานพูดอย่างจริงจัง 

 

หลินเสวียนหลานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ถ้าอย่างนั้นผมจะไปซื้อกับข้าวที่ตลาด ตอนนี้ยังไม่ดึก น่าจะยังทัน คุณอยากจะกินอะไรครับ” 

 

ซีเหมินจินเหลียนยิ้มทั้งใบหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฉันก็คิดแบบนี้อยู่เหมือนกันค่ะ” 

 

“คุณอยากกินอะไรครับ” หลินเสวียนหลานพูด “ฤดูกาลนี้ปูกำลังตัวใหญ่ๆ เดี๋ยวผมไปซื้อมานึ่งสักหลายๆ ตัวหน่อยดีไหม ผัดนู่นนี่สักนิด กินกับเหล้าหยางเหมยเป็นอย่างไรครับ?” 

 

“เหล้าหยางเหมย?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เคยได้ยินชื่อเหล้าชนิดนี้มาก่อน 

 

“ความจริงก็แค่เหล้าขาวธรรมดา และอาศัยจังหวะต้นฤดูร้อนที่หยางเหมยสดๆ วางขาย หาขวดโหลใหญ่ๆ สักใบนำเหล้ากับหยางเหมยมาหมักเข้าไปในนั้น เมื่อหยางเหมยแช่ในเหล้า บวกกับน้ำตาลกรวด รอให้ผ่านสักหลายเดือนแล้วค่อยกิน รสชาติของเหล้าเปรี้ยวหวานถูกปาก รสชาติไม่เลว เหมาะกับผู้หญิง น้องสาวของผมก็ชอบ” หลินเสวียนหลานอธิบาย 

 

“แม้ฉันจะไม่ดื่มเหล้า แต่ได้ยินแล้วยังอยากกินเลย น่าจะไม่เลวอย่างที่คุณพูด!” ซีเหมินจินเหลียนเม้มปากและเผยยิ้มออกมา ไม่ใช่ว่าเธอดื่มเหล้าไม่เป็น เพียงแต่แค่ไม่อยากดื่มเท่านั้น เมื่อก่อนตอนอยู่ที่ชนบท ในชุมชนก็มีหมักเหล้าข้าว เธอเคยดื่มนานๆ ครั้ง 

 

หลินเสวียนหลานยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นคุณรอผมก่อนแล้วกัน อืม…เตรียมอาหารเย็นให้คนพวกนั้นด้วยใช่ไหม?” 

 

“เตรียมเถอะค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม เพราะไล่ยังไงคงไม่ไปแล้ว 

 

“โอเค!” หลินเสวียนหลานพยักหน้า เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนลงจากรถแล้วเขาจึงสตาร์ทรถขับไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ภายในย่านนั้น ครั้งนี้เขามีประสบการณ์แล้ว ไม่ต้องให้ซีเหมินจินเหลียนแกล้งพาไปที่ตลาดสดเล็กๆ อีก 

 

ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องรับแขกได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงสวี่อี้หรานกับจ่านมู่ฮวากำลังทะเลาะกันอยู่ จึงได้แต่ขมวดคิ้วถาม “พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่” 

 

“คุณซีเหมิน คืออย่างนี้…” สวี่อี้หรานรีบพูด 

 

“จินเหลียน อย่าไปฟังเขานะ เขาไม่ได้หาเงินเองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเงินทองมีค่า!” จ่านมู่ฮวารีบชิงพูดขึ้นก่อน 

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ซีเหมินจินเหลียนหันไปถามจ่านป๋าย 

 

จ่านป๋ายฝืนยิ้มออกมา “ก็ไม่ใช่ว่าพวกเราจะเจรจาเรื่องลงทุนภาพยนตร์เพื่อโปรโมทวัฒนธรรมหยกยุคโบราณหรอกเหรอครับ?” 

 

“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า พร้อมกับโอบช่อดอกกุหลาบสีเหลืองนั่งลงบนโซฟาถาม “แล้วพวกเขาสองคนเถียงอะไรกัน” 

 

“ความหมายของคุณชายใหญ่จ่านก็คือ ต้องหาผู้กำกับและนักแสดงแถวหน้าในประเทศ เพราะไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนถึงความเป็นจีน ที่จะตีเข้าสู่ตลาดโลก” จ่านป๋ายอธิบาย 

 

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า นี่เป็นสิ่งที่เธอคิดไว้ตั้งแต่แรก 

 

“แต่พอคุณชายสวี่รู้เข้า เขากลับบอกว่าหากจะไปตีตลาดโลก ก็ไม่สู้หาบริษัทภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดมาช่วยถ่ายให้ดีกว่า ส่วนนักแสดงจะเป็นคนในประเทศก็ได้ และยังสามารถร่วมมือกับดาราต่างประเทศได้อีก” จ่านป๋ายยิ้ม “จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็ทะเลาะกันครับ” 

 

“ถ้าให้บริษัทภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดมาถ่าย งบประมาณทุนที่พวกเขาคาดการณ์ไว้คงเพิ่มเป็นเท่าตัว นอกจากนี้ผู้กำกับต่างประเทศคนดังๆ พวกนั้น พวกเราต่างก็ไม่คุ้นเคยกันทั้งนั้น ถึงเวลานั้นจะได้ร่วมมือกันหรือเปล่าก็เป็นปัญหาทั้ง ไหนจะค่าตัวของดาราชั้นนำที่สูงจนน่าตกใจอีก บวกกับขั้นตอนต่างๆ ที่ยุ่งยาก หากอยากจะฉายภายในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เกรงว่าคงทำได้แค่ฝันเท่านั้นแล้ว” จ่านมู่ฮวาส่ายหน้าพูด “นี่ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก แต่หมอมองโกลคนนี้ไม่เข้าใจ…” 

 

“ทำไมผมจะไม่เข้าใจ?” สวี่อี้หรานแค่นเสียงใส่ ก่อนพูดขึ้นว่า “ผมมั่นใจว่าคุณแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรคือน้ำตาลหรือเกลือ แล้วคุณจะไปรู้อะไร? ผมบอกให้บริษัทภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดถ่ายให้ เพราะที่บ้านของผมมีบริษัทถ่ายหนังอยู่ที่นั่น” 

 

“คุณมีบริษัทถ่ายภาพยนตร์ที่ฮอลลี้วูดเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนตกใจ 

 

สวี่อี้หรานพยักหน้าพูด “แน่นอนสิ เมื่อปีก่อนคุณพ่อมอบบริษัทหลายแห่งมาให้ผมเล่นเลย ในนั้นมีบริษัทถ่ายภาพยนตร์อยู่ที่ฮอลลี้วูด ขั้นตอนทั้งหมดครบทุกอย่าง…แถมคุณพ่อยังเลี้ยง…” พูดถึงเท่านี้เขาก็ไม่กล้าพูดต่อ 

 

ส่วนจ่านมู่ฮวากับจ่านป๋ายเข้าใจดี ทั้งคู่สบตากัน อดไม่ได้ที่จะยิ้มกรุ่มออกมา หัวหน้าตระกูลสวี่คนนี้เด็ดใช้ได้เลย ยังรับเลี้ยงดาราหญิงฮอลลี่วู้ด ไหนจะให้ลูกเขารับรู้อีก 

 

ตอนแรกซีเหมินจินเหลียนยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่สุดท้ายเธอก็เรียกสติกลับมาได้พร้อมยิ้มกริ่ม 

 

“ยังไงความสัมพันธ์ของคุณพ่อกับทางนั้นก็ไม่เลว บวกกับในมือของผมก็ได้เซ็นสัญญากับดาราดังหลายคน จัดการอย่างรอบคอบทุกขั้นตอน พวกเราไม่ต้องใช้คนในประเทศถ่าย ส่วนเรื่องเงินคุยกันได้ หากพวกคุณไม่สะดวกเรื่องทุน ผมก็พร้อมที่จะลงทุนด้วยอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์” สวี่อี้หรานพูด  

 

“คุณตัดสินใจแทนตระกูลสวี่ได้ด้วยเหรอ?” จ่านมู่ฮวาถาม “คุณพ่อของคุณคงได้เดือดร้อนกับนิสัยของคุณมามากสินะ? คุณน่าจะรู้นี่ว่าครั้งนี้อาจจะเสียเลือดฟรีๆ โดยไม่ได้อะไรเลย!” 

 

“ให้พ่อทุ่มเงินนิดหน่อยมาให้ผมเล่น ผมว่าเขาน่าจะให้ไหวอยู่!” สวี่อี้หรานพูด 

 

“เรื่องอื่นช่างมันเถอะค่ะ แต่นักแสดงหญิงฉันต้องการจางต่งเอ่อร์!” ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่นานถึงพูดขึ้นว่า “แล้วก็เรื่องของผู้กำกับ ฉันหวังว่าจะเป็นคนประเทศเรา อย่างน้อยก็พอจะรู้จักตำนานเทพของจีนบ้าง” 

 

“จินเหลียน คุณอยากได้ผู้กำกับคนไหน” จ่านมู่ฮวาถาม หากซีเหมินจินเหลียนพูดแบบนี้ แสดงว่าในใจมีคนที่เลือกไว้อยู่แล้ว 

 

“แซ่เดียวกับคุณชายสวี่!” ซีเหมินจินเหลียนพูด 

 

“เขา?” จ่านมู่ฮวางงงัน ได้แต่พยักหน้าอยู่ในใจ ที่แท้ก็สายตาเฉียบคม ให้เขามาเป็นผู้กำกับหนังเกี่ยวกับตำนานเทพจีนถึงเหมาะสมที่สุด หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงได้สบประมาทแน่ 

 

เพราะสวี่อี้หรานมีบริษัทถ่ายภาพยนตร์ที่ฮอลลีวูด เสริมกับการใช้อำนาจของเขาเข้ามาแทรกแซง หากภาพยนตร์ในประเทศอยากตีตลาดต่างประเทศบ้าง เกรงว่าคงยากแล้ว มีคนที่รู้จัก แน่นอนว่าเรื่องทุกอย่างผ่านไปได้ง่ายขึ้น 

 

ทั้งสามคนเจรจาคุยกันเรื่องปัญหาต่างๆ อย่างละเอียด เพราะว่าเวลากระชั้นชิด ถัดมาถึงเป็นเรื่องของบทภาพยนตร์ 

 

ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิดอยู่นานถึงพูด “คืนนี้ฉันจะเขียนร่างบทภาพยนตร์ออกมาคร่าวๆ จากนั้นพวกคุณหานักเขียนบทมาเขียนเป็นบทภาพยนตร์ก็ได้แล้ว เรื่องอื่นช่างมัน แต่ก่อนที่หนังจะถ่ายอย่าลืมเอามาให้ฉันดูด้วยล่ะ” 

 

“เรื่องนี้ง่ายมาก!” จ่านมู่ฮวาพูด 

 

“จางต่งเอ๋อร์ของคุณช่วงนี้มีตารางถ่ายละครหรือเปล่า ไม่ใช่พอถึงเวลาบอกไม่ว่างนะ?” ซีเหมินจินเหลียนพูด เมื่อก่อนที่เคยดูข่าวบันเทิง ดาราส่วนใหญ่มักพูดว่าช่วงนี้ยุ่งมากมีคิวถ่ายละครแน่นไม่ขาดสาย 

 

จ่านมู่ฮวายิ้ม “ถึงจะมี แต่ผมก็ไม่มีทางให้เธอไปร่วมงานกับที่อื่นหรอก ขอแค่คุณตัดสินใจแน่นอนแล้วว่านางเอกเป็นเธอ!” 

 

“ฉันไม่เคยเห็นใครสวยกว่าเธอมาก่อน!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม 

 

“พระเอกล่ะ คุณอยากให้เป็นใคร” จ่านมู่ฮวาถาม เวลาคับขัน ตอนนี้เขาต้องวางแผนให้รัดกุม 

 

ซีเหมินจินเหลียนมองเขาแล้วได้แต่ยิ้มไม่ได้พูดอะไรออกมา จ่านมู่ฮวาสับสนอยู่นานและฝืนยิ้มขึ้น “ผมเล่นไม่ได้นะ หากพ่อรู้คงต้องฆ่าผมแน่” 

 

ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าเขาเล่นไม่ได้ เธอก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น แต่สวี่อี้หรานกลับรู้สึกว่าน่าสนใจจึงพูดขึ้นว่า “หากทำได้จริง ถ้าคุณจ่านถ่ายภาพยนตร์คงน่าดูกว่าดาราดังคนอื่นๆ แน่ๆ” 

 

“ทำไมคุณไม่ไปถ่ายเองซะล่ะ?” จ่านมู่ฮวาก่นด่า “หุบปาก ไม่มีอะไรก็อย่ามาพูดแทรก!” 

 

“ผมไม่ได้หล่อเท่าคุณนี่นา!” สวี่อี้หรานปั้นหน้าตาไม่รู้สึกรู้สา 

 

“ค่อยตัดสินใจเรื่องพระเอกเถอะ คุณค่อยๆ ดูก็ได้แล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนพูด 

 

เวลานี้กริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น จ่านป๋ายรีบวิ่งออกไปเปิดประตู ก็เห็นหลินเสวียนหลานถือถุงกับข้าวถุงเล็กถุงน้อยอยู่ เมื่อเขาเห็นจ่านป๋ายจึงพูดขึ้นว่า “ผมมาทำกับข้าว จินเหลียนบอกว่ามื้อเย็นนี้อยากกินปู!” 

 

“อ้อ…เข้ามาก่อนสิ!” จ่านป๋ายรีบหลีกทางให้เขาเข้าไปข้างใน 

 

 จ่านมู่ฮวากับสวี่อี้หรานมองหน้าสบตากัน ไม่นานสายตาของทั้งคู่ก็ตกไปอยู่ที่เรือนร่างของหลินเสวียนหลานที่กำลังเดินเข้าไปในครัวอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว 

 

“เขาก็ดูไม่เลวเลย!” สวี่อี้หรานรีบเปิดปากพูด 

 

จ่านมู่ฮวาพยักหน้าเช่นกัน อีกอย่างหลินเสวียนหลานก็เกิดมาในตระกูลสูงส่ง บุคลิกท่าทางของเขาไม่ใช่แค่ดาราทั่วไปที่จะเลียนแบบได้ 

 

“หยุดคิดเลยนะ!” ซีเหมินจินเหลียนว่าออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “หยุดคิดไร้สาระกันเลย!”