บทที่ 657 ความไม่สมบูรณ์
ภายในพระราชวังแห่งจักรวรรดิไฮลซ์ศักดิ์สิทธิ์…

รูดอล์ฟที่สองเองก็ได้อ่าน ‘พื้นฐานกลศาสตร์ควอนตัมและการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ ที่สภาเวทมนตร์ไม่คิดเก็บเป็นความลับจากช่องทางข่าวกรองทั้งหลายของเขาเช่นกัน

นับแต่ ‘เหตุการณ์’ ที่เกิดขึ้นในปราสาทใต้ดินของราชันย์แห่งสุริยา เขาก็ให้ความสนใจกับงานศึกษาวิจัยของสภาเวทมนตร์และได้ประโยชน์จากมันมิน้อย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่มีทางปล่อยรายงานที่บรรยายถึงกฎเกณฑ์ขั้นพื้นฐานที่สุดของโลกจุลภาคให้หลุดมือไป แม้ว่าตอนนี้มันจะเป็นเพียงคำอธิบายไร้หลักฐานยืนยันก็ตาม อย่างไรเสีย ในฐานะอัศวินผู้ใช้เวท เขาหาได้มีโลกแห่งปัญญา จึงมิหวาดเกรงว่ามันจะถูกทำลายล้างสิ้น แต่แน่นอนว่า ผลกระทบก็คือ ผลงานการวิจัยของสภาเวทมนตร์มิอาจช่วยให้เขาพัฒนาตนเองได้โดยตรง เขาทำได้เพียงมองหาแรงบันดาลใจจากงานวิจัยเหล่านั้นเพื่อค้นหาเส้นทางของตนเอง

“ไร้สาระ! แก่นแท้ของโลกนี้เป็นเหมือนลูกเต๋าหรืออย่างไร นิยัตินิยมใช้การไม่ได้ และข้อบัญญัติแรกเริ่มเหล่านั้นก็มิอาจนำทางไปสู่ผลลัพธ์พิเศษเช่นนั้นรึ กระบวนการหลายๆ อย่างผันกลับไม่ได้อย่างนั้นน่ะรึ” ไม่ว่าความทรงจำของเขาจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์สักเพียงใด รูดอล์ฟที่สองก็เชื่อใน ‘นิยัตินิยม’ จากก้นบึ้งของหัวใจเขา นั่นคือแก่นสาระสำคัญของประสบการณ์และปัญญาความรู้ของเขาในอดีต เขาจึงอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์งานเขียนชิ้นนี้ด้วยความโกรธา

ทว่า เมื่อเขาอ่านต่อไป ใบหน้าเขาก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นสนใจ ฉับพลันนั้น ร่างกายของเขาก็บิดเป็นเกลียวแล้วแผ่ออกกว้าง ราวกับว่าตัวเขาสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง

เมฆหมอกที่แตกตัวพลันพังครืน ก่อนที่รูดอล์ฟที่สองจะกลับมาเป็นปกติ เขาพูดกับตัวเองด้วยความปีติกึ่งๆ สับสนมึนงง “การซ้อนทับของควอนตัมอย่างนั้นรึ”

แม้ว่าเขาจะค้นพบหนทางสู่การแปรสภาพให้อยู่ในสภาวะเช่นนั้นได้จากการศึกษาปริศนาทั้งหลายของบรรดาปีศาจแห่งบรรพกาลและพระเจ้าตอนที่เขายังเป็นธานอส เขาก็รู้เพียงการประยุกต์ใช้ แต่มิเคยรู้เลยว่าสภาวะนั้นคือสิ่งใดและมีรากฐานมาจากทฤษฎีใด ด้วยเหตุนี้ เส้นทางของเขาจึงมีภยันตรายติดตามมาเป็นพรวน และผู้ที่เลือกเส้นทางนั้นก็จำต้องมีโชคเล็กน้อยเพื่อให้การณ์นี้สำเร็จ

‘ลูเซียน อีวานส์ ได้แรงบันดาลใจจากเส้นทางสู่ความเป็นอมตะ ซึ่งทำให้เขาเชื่อมโยงปริศนาของเหล่ามนุษย์ครึ่งเทพกับปริศนาของโลกจุลภาคอย่างนั้นหรือ’ รูดอล์ฟที่สองคิดในใจ งานเขียนชิ้นนี้ตรงกับสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุด แต่เขากลับรู้สึกวิตกกังวลไม่น้อยเลย เพราะมันหาได้มีหลักฐานที่น่าชื่อถือหรือการพัฒนาใดๆ ตามมา ‘ลูเซียน อีวานส์ ยังเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการซ้อนทับของควอนตัมไว้กับตัวอยู่อีกหรือเปล่านะ ดูจากที่มันเกี่ยวกับมนุษย์ครึ่งเทพแล้วนี่’

ณ เวลานั้น นิยัตินิยมในหัวของเขาก็มีอยู่ริบหรี่มากแล้ว เพราะสถานะของตัวเขาเองได้เป็นเครื่องบ่งบอกถึงอะไรหลายๆ อย่าง ‘ดูเหมือนว่านิยัตินิยมจะเป็นแก่นแท้ของโลกมหัพภาค การแปรสภาพคนผู้หนึ่งให้อยู่ในสภาวะการซ้อนทับของควอนตัม คนผู้นั้นจักเข้าสู่โลกจุลภาคและจำกัดนิยัตินิยมทิ้งไป และสุดท้ายก็กลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพผู้หวนกลับมาจากสายธารแห่งโชคชะตาใช่หรือไม่’

เขาพยายามทำความเข้าใจเนื้อหาในรายงานของลูเซียนจากประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจและเอ่ยขึ้นว่า “ข้าต้องได้เห็นการทดลองและปรากฏการณ์เพื่อพิสูจน์ว่ามันเป็นความจริงแทนที่จะหลับหูหลับตาเชื่อ มิเช่นนั้นคงจะมีปัญหายุ่งยากตามมาไม่น้อยหากว่ามีการพิสูจน์ว่ามันเป็นไม่จริงในภายหลัง”

ภายในจักรวาลอะตอม ลูเซียนกำลังเหม่อมองออกไปยังท้องนภาประดับด้วยดวงดาวดารดาษที่นอกหน้าต่าง กระดาษกองหนาวางอยู่บนโต๊ะเขา โดยมีคำและสัญลักษณ์ เช่น ‘พลังแห่งความรู้สึกนึกคิด?’ ‘พลังศรัทธา?’ และ ‘การรวมกลุ่มของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดพิเศษ?’

คำเหล่านั้นคือความคิดแปลกๆ ที่เขาคิดขึ้นมาได้หลังจากศึกษาบรรดาพระเจ้าเทียมเท็จ

แต่แล้วจู่ๆ เสียงของพิน็อคคิโอก็ดังขึ้น “นายท่าน ท่านดักลาสกับท่านเฟอร์นันโดมาเยือนที่นี่ขอรับ”

ลูเซียนหลุดจากภวังค์ความคิดในทันที เขาซ่อนกองกระดาษบนโต๊ะนั้น แล้วตรงออกไปต้อนรับแขก

เฟอร์นันโดยังคงสวมชุดคลุมเวทมนตร์สีแดงสด เขาถามเสียงดังทันทีที่พวกเขาพบหน้ากัน “การซ้อนทับของควอนตัมที่เจ้าสาธยายในรายงานได้รับแรงบันดาลใจจากเส้นทางสู่ความเป็นอมตะกับสถานะภายในนั้นใช่หรือไม่”

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาค้นพบความเชื่อมโยงนี้หลังจากที่ใจเย็นลงแล้ว

ในรายงานของลูเซียน มันมิเพียงอธิบายถึงเมฆหมอกแห่งความน่าจะเป็นเท่านั้น แต่เขายังนำเสนอแนวคิดการซ้อนทับของควอนตัม และถึงกับอธิบายการทดลองอย่างจำเพาะเจาะจงไปพร้อมกันอีกด้วย

“เป็นความจริงที่ข้าได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากที่นั่นขอรับ” ลูเซียนยอมรับ ‘อย่างตรงไปตรงมา’

ขณะที่ลูเซียนเดินนำทั้งสองไปยังห้องรับรอง ดักลาสก็เอ่ยขึ้น “แต่มันคือสถานะที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ครึ่งเทพ อนุภาคขนาดเล็กจิ๋วอย่างอิเล็กตรอนจะมีคุณสมบัตินั้นได้อย่างไรกัน ตัวอย่างและการเปรียบเทียบง่ายๆ ดูจะไม่เหมาะสมนะ”

น้ำเสียงเขาฟังดูมั่นใจแน่วแน่เหมือนเดิม ปริศนาของเหล่ามนุษย์ครึ่งเทพและความเป็นอมตะทำให้เขาต้องรอบคอบมากขึ้น แต่ความเชื่อของเขาก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ นั่นคือความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับโลกใบนี้ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเชียวนะ

“ในตอนที่ข้าประมวลผลการทดลองและพิจารณาคำอธิบายของฟังก์ชั่นคลื่นอยู่นั้น ข้าได้ค้นพบว่ามันจะแก้โจทย์ได้ง่ายกว่ากลังจากที่นำสถานะนั้นเข้าไปใช้ ข้าจึงทำเช่นนั้น มันเป็นเพียงการสันนิษฐานด้วยความใจกล้า และสิ่งที่เราควรจะทำในขั้นตอนต่อไปก็คือการพิสูจน์มันด้วยการทดลองที่ถูกต้องแม่นยำขอรับ” ลูเซียนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

เฟอร์นันโดพยักหน้า “ข้าตรวจดูบันทึกการทดลองของข้าแล้ว บางที การอธิบายตามความน่าจะเป็นคือวิธีการหนึ่งที่ทำได้ แต่ความน่าจะเป็นและความไม่แน่นอนไม่ควรจะเป็นแก่นแท้ของอิเล็กตรอน ควรจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก มันต้องมีสถานการณ์บางอย่างที่นำไปสู่ความไม่แน่นอนและความน่าจะเป็นของอิเล็กตรอนแน่ๆ ด้วยเหตุนี้ สภาวะควอนตัมจึงหายไปเมื่ออนุภาคเล็กจิ๋วเปลี่ยนผ่านไปสู่มหัพภาค ตราบใดที่เราค้นพบปัจจัยเหล่านั้นได้ เราก็จะแปรสภาพและกลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพได้โดยมีข้อบกพร่องและปัญหายุ่งยากน้อยกว่าแบบที่ธานอสและไวเค็นทำ”

เป็นที่ชัดเจนว่าการอธิบายตามความน่าจะเป็นถือเป็นทฤษฎีที่ดีที่สุดในตอนนี้จากมุมมองของผู้ที่เน้นย้ำเรื่องการทดลอง ทว่า เฟอร์นันโดได้ข้อสรุปนี้จากกฎของเหตุและผลแบบดั้งเดิม ในเมื่อตอนนี้ผลลัพธ์จากความน่าจะเป็นและความไม่แน่นอนปรากฏขึ้น มันย่อมต้องมีเหตุผลที่ทำให้มันเกิดขึ้นแน่นอน

“มิมีสัญญาณใดที่บ่งบอกถึงมันเลยจนกระทั่งตอนนี้ มันจึงใช้ได้เพียงคำว่าแก่นแท้ของอิเล็กตรอนเป็นคำอธิบายขอรับ” ลูเซียนเอ่ยเสียงนุ่มทว่ายืนกรานหนักแน่น “หรือหากจะคิดอีกแบบหนึ่ง จากงานศึกษาวิจัยช่วงนี้ของเรา ยังมีการทดลองอีกมากมายที่สนับสนุนปัจจัยภายนอกนะขอรับ อย่าเพิ่มแก่นแท้ขึ้นหลายเท่าโดยมิจำเป็นสิขอรับ”

เฟอร์นันโดถลึงตาใส่เขา มิอาจเข้าใจอาการหลบเลี่ยงของลูกศิษย์ได้เลยสักนิด “เราสามารถยอมรับทฤษฎีที่รวมขอบเขตกว้างขึ้นได้อย่างอาจหาญก่อนที่เราจะพิสูจน์มันอย่างถี่ถ้วน เจ้าลืมเรื่องนั้นไปแล้วรึ เจ้าอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างอนุภาคเล็กจิ๋วกับมหัพภาคได้อย่างไร เจ้าอธิบายถึงการเปลี่ยนถ่ายได้อย่างไร แล้วเจ้าอธิบายการพังทลายของฟังก์ชั่นคลื่นได้อย่างไรเล่า”

“ข้าเองก็มีกรอบความคิดของตัวเองในเรื่องความไม่แน่นอน และข้าก็คิดค้นการทดลองทางความคิดเพื่อพิสูจน์ว่ามันไม่เป็นจริงแล้วด้วย” ดักลาสเอ่ยแทรกหลังจากรับฟังทั้งสองโต้เถียงกันมาสักพัก จากนั้นเขาก็หยิบกระดาษกับปากกาออกมาวาดรูปเพื่อแสดงการทดลองของเขา ซึ่งเป็นวิธีการโดยอ้อมที่ปรับปรุงมาเพื่อคำนวณแรงกำลังของอิเล็กตรอนพร้อมกับระบุหาตำแหน่งของมัน

เห็นได้ชัดว่าเฟอร์นันโดเคยเห็นการทดลองนี้มาก่อน เขาจึงจดจ้องลูเซียนอย่างดุดันและใจจดใจจ่อ เฝ้ารอคำตอบจากเขา

ลูเซียนหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน มันแตกต่างจากตัวอย่างดั้งเดิมในห้องสมุดห้วงจิตของเขาเล็กน้อย แต่กลไกนั้นเหมือนกันมากทีเดียว หลังจากตั้งใจอ่านสักพัก เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านประธาน การเปลี่ยนแปลงของมวลจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ในสนามแรงโน้มถ่วงนะขอรับ ท่านมิได้คำนึงถึงปัจจัยนั้น…”

ดักลาสกับเฟอร์นันโดจดจ้องลูเซียนมาสักพักแล้ว หลังจากที่ทั้งสองได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น สายตาพวกเขาก็หลุบลงมองแผ่นกระดาษ

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ในที่สุดดักลาสก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูขื่นขมชอบกล “ข้าลืมทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปที่ศึกษาในช่วงที่ผ่านมาไปเสียสนิทเลย”

หลังจากนั้น อาการเศร้าซึมขมขื่นของเขาก็หายไป แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจดังเดิม “ข้ายังเชื่อว่ากลศาสตร์ควอนตัมของเจ้านั้นมิครบถ้วนสมบูรณ์ อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็มิได้พิจารณาถึงวิธีการที่โลกจุลภาคเปลี่ยนถ่ายไปสู่โลกมหัพภาค บางที นั่นอาจเป็นปริศนาของเหล่ามนุษย์ครึ่งเทพและความเป็นอมตะก็ได้”

ข้อสรุปนั้นชัดเจน มันย่อมต้องมีปัจจัยภายในที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ผิดปกติของโลกจุลภาคที่มิได้เป็นไปตามโลกมหัพภาค

เฟอร์นันโดสะกดข่มโทสะของตนลงไป แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าจะนำเสนอข้อสันนิษฐานเพื่ออธิบายการพังทลายของฟังก์ชั่นคลื่น…”

ผลการทดลองและเส้นทางสู่ความเป็นอมตะได้ลดระดับความต่อต้านในใจพวกเขาต่อการอธิบายตามความน่าจะเป็นและทฤษฎีทวิภาคอนุภาค-คลื่นลงพอสมควร ในทางกลับกัน พวกเขาเริ่มจะมองหาความไม่สมบูรณ์ในทฤษฎีของลูเซียนและหวังใจว่าจะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้จากมุมมองที่สูงกว่า

หลังจากจบบทสนทนา ดักลาสกับเฟอร์นันโดก็จากไป คนหนึ่งตัวสูงดูท่าทางสบายๆ ส่วนอีกคนตัวเตี้ยดูฉุนเฉียวง่าย แต่ทั้งสองต่างดูมุ่งมั่นไม่ระย่อเหมือนกัน

นาตาชาเดินเข้ามาในห้องรับรองแล้วถอนหายใจ “ท่านประธานกับท่านเฟอร์นันโดช่างเป็นคนดื้อแพ่งจริงๆ หรืออาจเรียกได้ว่าถือทิฐิเลยทีเดียว…”

“ก็ไม่ถึงกับถือทิฐิเสียทีเดียวหรอก บางที พวกท่านอาจยืนกรานในสัจธรรม…” ลูเซียนออกความเห็นด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ซึ่งนั่นทำให้นาตาชามึนงง

เพราะได้รับรายงานเกี่ยวกับเส้นทางสู่ความเป็นอมตะ บรูก แฮทธาเวย์ และโอลิเวอร์ต่างก็เปลี่ยนทัศนคติของพวกเขาไปเล็กน้อย และมีท่าทีต่อต้านการซ้อนทับของควอนตัมและเมฆหมอกแห่งความน่าจะเป็นน้อยลง พวกเขาเริ่มพยายามพิสูจน์ความไม่สมบูรณ์ในทฤษฎีปัจจุบันของลูเซียน และพิสูจน์ว่าโลกจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงหากว่าคำอธิบายของลูเซียนใช้การได้จริง!

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา แอนนิคกับสปรินต์เข้าๆ ออกๆ ห้องสมุดบ่อยครั้งเพื่ออ่านรายงานที่ส่งเพื่อพิจารณาในช่วงนั้นๆ แต่ยังมิถูกตีพิมพ์ออกมา ความรู้ความเชี่ยวชาญทางอาร์คานาของพวกเขาจึงเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว และตอนนี้พวกเขาก็มีความรู้เพียงพอจะเข้าร่วมการศึกษาวิจัยที่ล้ำสมัยแล้ว การอ่านรายงานไม่ถือเป็นการกดดันพวกเขาเลยสักนิด หากว่าพวกมันมิได้มีความซับซ้อนเทียบเท่าทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปหรือกลศาสตร์เมตริกซ์ล่ะก็นะ

เวลาที่ทั้งสองอ่านรายงาน พวกเขาจะตรวจดูอยู่เสมอว่าอาจารย์ของตนมีผลงานการวิจัยใหม่ๆ หรือไม่ และครั้งนี้ พวกเขาก็พบกับ ‘พื้นฐานกลศาสตร์ควอนตัมและการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ ดังหวัง ทั้งสองจึงอ่านมันขณะเดินกลับไปยังสถาบัน

แอนนิคเดินสะดุดกล่องที่วางอยู่ตรงโถงทางเดิน แต่กลับลืมร่ายเวทให้ตัวเอง เขายังคงถือกระดาษรายงานไว้แน่น และดวงตายังคงจดจ้องมันไม่ไปไหน

“การอธิบายตามความน่าจะเป็น…หลักความไม่แน่นอน…” เขาเอาแต่พึมพำถ้อยคำคล้ายกันนี้ ซึ่งสปรินต์ก็มีอาการเดียวกัน เขาหาได้แสดงท่าทีว่าจะช่วยแอนนิคลุกขึ้นมา

ด้วยได้ยินเสียงดังโครมคราม ไฮดี้จึงเดินออกมาจากสถาบัน แล้วก็ได้เห็นว่าสหายสองคนกำลังยืนและนอนนิ่งราวกับรูปปั้น นางถึงกับอึ้งงัน “นี่พวกเจ้ากำลังแสดงศิลปะกันอยู่หรือไร”

เพราะพัฒนาการด้านเศรษฐกิจ การเติบโตของวงสังคมจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กวีขับลำนำหลายคนได้ปรับดนตรีเบาๆ ให้กลายเป็นดนตรีลีลาศที่สามารถร้องรำทำเพลงและเผยแพร่ได้ง่ายกว่า ยังผลให้ ศิลปินแปลกๆ กลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นในนครเรนทาโต ลูเซียนเรียกพวกเขาเล่นๆ ว่า ‘ศิลปินแสดงสด’

“เมฆหมอกแห่งความน่าจะเป็น…การซ้อนทับของควอนตัม…” ทั้งสองคนเมินเฉยต่อไฮดี้

ไฮดี้ขมวดคิ้วแล้วหยิบฉวยรายงานมาจากสปรินต์ ก่อนจะเริ่มอ่านด้วยตนเอง ไม่นานนางก็กลายเป็นรูปปั้นไปเช่นกัน

จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้กับคาทรินา เลย์เนีย เชลีย์ โลวี เบลค และอัลฟาเลีย เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าที่ไฮดี้จะสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่และเอ่ยขึ้นในที่สุด “ตามที่อาจารย์ว่าแล้ว โลกจุลภาคมีความแปลกประหลาดเสียยิ่งกว่าเวทมนตร์และน่าเหลือเชื่อเสียยิ่งกว่าจินตนาการ…นี่เราเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการคิดฝันแล้วงั้นหรือ”

“แต่ข้าว่ามันอธิบายการทดลองในปัจจุบันได้ดีมาก จากมุมมองของนักปฏิบัตินิยมแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่เราไม่ควรใช้มันนะ” สปรินต์แสดงความเห็น

คาทรินาเองก็พยักหน้าเห็นด้วย “คำอธิบายเชิงทฤษฎีของอาจารย์มักจะสอดคล้องกับตัวมันเองอยู่แล้ว นิยัตินิยมใช้การได้เพียงในโลกมหัพภาค…”

พวกเขาเก่งกาจเทียบเท่าจอมเวทระดับสูงเมื่อเป็นเรื่องของการเล่นแร่เปรธาตุร่วมสมัยและกลศาสตร์ควอนตัม นอกจากนี้ การได้รับการสอนสั่งจากลูเซียนมาเป็นเวลานาน พวกเขาจึงให้ความสนใจกับผลการทดลองมากกว่าและไม่ยึดติดกับประสบการณ์และทฤษฎีเดิมๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้า

แอนนิคลุกขึ้นยืน “ข้าว่าทฤษฎีของอาจารย์อธิบายสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายของโลกจุลภาคได้ แต่ข้าก็ยังเชื่ออีกด้วยว่าสิ่งมหัศจรรย์เหล่านั้นย่อมต้องมีเหตุผลพื้นฐานเป็นของมันเอง”

ด้วยการเผยแพร่กระจายข่าวจากพวกเขา รายงานของลูเซียนจึงเป็นที่รู้กันในกลุ่มคนส่วนใหญ่ก่อนที่ปีใหม่จะมาเยือน ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าโอโนเร คลาร์ก และนักศึกษาคนอื่นๆ ของวิทยาลัยเวทมนตร์โฮล์ตที่ตำราเรียนของการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยต้องมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาอีกครั้ง จะรู้สึกว่ารายงานทั้งสามชิ้นนั้นมีความซับซ้อนอย่างยิ่งและไม่อาจยอมรับได้ แต่พวกเขาก็ยังเกิดความกลัวจนหัวใจสั่นสะท้านรุนแรงอยู่ดี

‘หากว่าทฤษฎีนี้ได้รับการพิสูจน์จากการทดลองใดๆ ก็ตาม…คนหลายคนจะไม่อาจสร้างความคืบหน้าได้อีกเลยตลอดชีวิต หากว่าศีรษะของพวกเขายังอยู่ดีล่ะก็นะ…’

………………………………………