บทที่ 656 ทัศนคติที่แตกต่าง

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 656 ทัศนคติที่แตกต่าง
แลร์รี่อ่านรายงานของลูเซียนจนกระทั่งยามราตรีมาเยือน หลังจากที่ความขัดแย้งในใจเลือนหายไป เขาก็ตระหนักได้ว่างานเขียนชิ้นนี้ได้นำพาความตื่นรู้มาให้แก่เขาอย่างใหญ่หลวงเป็นล้นพ้น

‘…ตอนนี้ ทั้งหมดที่ข้าอยากพูดก็คือ นิยัตินิยมอาจมีความผิดปกติบางอย่าง เพราะกระบวนการบางอย่างคือความน่าจะเป็นและผันกลับไม่ได้…’ ขณะอ่านทวนประโยคนั้น แลร์รี่ก็ถูหัวคิ้วพลางพึมพำว่า “โลกใบนี้จะโกลาหลวุ่นวายและไร้ระเบียบเพียงใดกันนะ หากไร้ซึ่งรูปแบบที่เคร่งครัดทั้งหลาย จริงๆ มันอาจจะไม่ถึงขั้นนั้น ไม่สิ บางครั้ง บางสิ่งบางอย่างก็ตกอยู่ในความโกลาหลอย่างสิ้นเชิงและไม่อาจคาดเดาได้เลยสักนิด”

“บ้าจริง ข้าควรจะหยุดคิดถึงปัญหานี้เสียก่อน ทฤษฎีในจินตนาการเรื่องโลกจุลภาคไม่ควรจะนำเข้ามาเกี่ยวข้องกับโลกมหัพภาค แม้ว่ามันจะใช้การได้ดีในโลกจุลภาค แต่ข้าก็เชื่อว่าปัจจัยบางอย่างจะไปทำลายฟังก์ชั่นคลื่นและกำหนดผลลัพธ์ในระหว่างการประมาณค่านอกช่วง” แลร์รี่สบถเสียงแผ่วและตัดสินใจแสดงความเห็นเกี่ยวกับงานเขียนชิ้นนี้ด้วยมุมมองทางจุลภาคเพียงอย่างเดียว กันมิให้ศีรษะของเขาระเบิด

นั่นเป็นเพราะดูเหมือนว่าทฤษฎีจะขัดแย้งกับความเป็นจริง ไม่มีทางที่คลื่นความน่าจะเป็นจะมีอยู่ทุกหนทุกแห่งได้หรอก พวกมันจะปรากฏอยู่ในห้องทดลองของเขา สำนักงานใหญ่ขององค์กรเจตจำนงแห่งธาตุ และหอคอยเวทมนตร์อัลลินในเวลาเดียวกันได้หรือไม่

ครู่ใหญ่ผ่านไป แลร์รี่ก็นำเอาบันทึกผลการทดลองและรายงานการวิจัยเกี่ยวกับโลกจุลภาคมาวิเคราะห์ด้วยมุมมองของความน่าจะเป็น หลักความไม่แน่นอน และหลักการสลับที่ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ แต่เขากลับรับไม่ค่อยได้ มันคือคำอธิบายทางทฤษฎีที่สอดคล้องกับตัวมันเองที่สุดในตอนนี้ ซึ่งสามารถแก้โจทย์บางโจทย์ที่ยังแก้ไม่ตกจนถึงตอนนี้ได้!

โดยไม่ทันรู้ตัว รุ่งเช้าก็มาถึงเสียแล้ว แลร์รี่หยิบปากกาขนนกขึ้นมาเขียนหลังจากคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ‘…อย่างน้อยในโลกจุลภาค ก็ไม่มีการทดลองใดที่สามารถพิสูจน์ว่าคำอธิบายตามความน่าจะเป็นของท่านอีวานส์เป็นสิ่งที่ผิด นอกจากนี้ มันยังแก้โจทย์หลายๆ ข้อที่เกิดขึ้นในการให้คำอธิบายฟังก์ชั่นคลื่นของท่านโอลิเวอร์ได้อีกด้วย…’

‘…หลักการสลับที่ยังรวมคุณสมบัติความเป็นอนุภาคและคลื่นของอิเล็กตรอนจากมุมมองเชิงปรัชญาเข้าด้วยกัน ทำให้เรา “เห็น” สิ่งมหัศจรรย์มากมายภายในโลกจุลภาคได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น…ส่วนเรื่องที่ว่าหลักความไม่แน่นอนเป็นคุณสมบัติแท้จริงของอนุภาคหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการสังเกตการณ์หรือไม่นั้น เรายังต้องตรวจสอบด้วยการทดลองทางเวทมนตร์เสียก่อน’

เขายังไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดความน่าจะเป็นและความไม่แน่นอนของโลกจุลภาคจึงไม่ส่งผลต่อโลกมหัพภาค มันอาจเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขที่ไม่เคยมีผู้ใดคาดคิดถึงหรือเคยค้นพบมาก่อนก็เป็นได้!

‘บางที ปัจจัยหรือเงื่อนไขเหล่านั้นอาจเป็นธรรมชาติของดวงวิญญาณและเวทมนตร์ และเป็นเหตุผลว่าทำไมรูปแบบเวทมนตร์ทั้งหลายจึงสำแดงฤทธิ์เดชได้…’ หลังจากเขียนคำพิจารณาเสร็จ แลร์รี่ก็เริ่มครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย

โดยที่มิมีผู้ใดรู้ตัว จอมเวทรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับกระแสของการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย บัดนี้ได้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนักเวทรุ่นก่อนหน้า ซึ่งรวมถึงมหาจอมเวทหลายๆ ท่าน กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงได้บีบบังคับให้พวกเขาต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยสัญชาตญาณทางอาร์คานาของตนเอง

ในขณะเดียวกันนั้น เดียป ผู้ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานาจากการชนะรางวันอีวานส์ สาขาอาร์คานา ก็มีปฏิกิริยาคล้ายๆ กันเมื่อได้อ่าน ‘พื้นฐานกลศาสตร์ควอนตัมและการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’

เขาเคยคิดว่า การคิดค้นทฤษฎีทวิภาคของคลื่น-อนุภาคในอนุภาคขนาดจิ๋ว ทำให้เขาถือเป็นจอมเวทที่เปิดใจกว้างกับความคิดน่าพิศวงมากแล้ว แต่เขากลับพบว่าจินตนาการของเขานั้นยังไม่เพียงพอสำหรับการอ่านรายงานฉบับนี้ คำอธิบายตามความน่าจะเป็นของฟังก์ชั่นคลื่น เมฆหมอกแห่งความน่าจะเป็นที่พบเห็นได้ทุกหนทุกแห่งแต่มิอาจยอมรับได้ และคุณค่าทางอาร์คานาที่ไม่อาจระบุได้ในขณะเดียวกัน…ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เหนือจินตนาการและการรู้จำของเขายิ่งนัก!

‘นี่มันคือความท้าทายที่หักล้างรุนแรงต่อนิยัตินิยม อย่างน้อยก็ในขอบเขตของอนุภาค!’ ท่ามกลางความตกตะลึงและความต่อต้านในใจ เดียปรู้สึกเหมือนได้รับการยกระดับ คล้ายกับว่าเขาคือนักรบผู้ได้รับคำสั่งให้บุกทำลายระเบียบอันล้าสมัย เหมือนอย่างวีรบุรุษในตำนานผู้กลบฝังอาณาจักรเวทมนตร์!

เสียงคำรามแห่งความเปลี่ยนแปลงดังกึกก้องพร้อมกับการพังทลายไม่เหลือซากของยุคเก่าและเสียงแห่งความหวังจะกู่ร้องถึงความหวังใหม่

ภาพอนาคตนั้นทำให้เลือดในกายเขาเดือดพล่าน เขาทั้งหวาดกลัวและหลงใหล เหมือนกับตอนที่เขานำเสนอทฤษฎีทวิภาคของคลื่น-อนุภาค

“มันจะส่งผลให้เกิดการรื้อถอนระบบอาร์คานาทั้งหมดแล้วสร้างขึ้นไหมหรือไม่นะ มันจะพลิกสภาเวทมนตร์ให้เดินหน้าสู่บทใหม่หรือไม่” เขาพึมพำและอ่านต่อไปด้วยความปีติยินดีอย่างแปลกประหลาด ด้วยหวังว่าจะเข้าใจในสิ่งที่ลูเซียนเขียนในทุกๆ แง่มุม

เมื่อไร้ซึ่งอาการต่อต้านใดๆ เขาก็พบว่างานของท่านอีวานส์อธิบายปรากฏการณ์ทางการทดลองหลายๆ อย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบและก่อตั้งเป็นรากฐานทางทฤษฎีสำหรับกลศาสตร์ควอนตัมกับกลศาสตร์คลื่น แม้ว่ามันจะดูน่าขันและขัดแย้งกับตนเองเมื่อเป็นเรื่องของโลหมหัพภาคก็ตาม!

‘หากเราไม่พิจารณาถึงการเปลี่ยนผ่านจากจุลภาคไปมหัพภาค งานเขียนของท่านอีวานส์ที่อัดแน่นด้วยทฤษฎีทั้งสามจะถือเป็น “ความจริงสัมพัทธ์” ที่ปรับใช้กับโลกจุลภาคได้ดีที่สุดในตอนนี้ ไม่ว่ามันจะดูไร้สาระน่าขันเพียงใด ข้าก็ต้องยอมรับว่ามันมีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลการทดลองหลายประการทีเดียว ข้าขอแนะนำให้จอมเวททุกท่านศึกษาการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยตามคำอธิบายนี้จนกว่าจะมีการพิสูจน์ว่ามันมิเป็นความจริง ทว่า จงอย่าเร่งร้อนสร้างโลกแห่งปัญญาโดยยึดถือจากมัน…’

‘ข้าเชื่อว่าการพิสูจน์รากฐานทฤษฎีทั้งสามว่าเป็นความเท็จนั้นจะนำไปสู่การพัฒนาโลกแห่งจุลภาคให้เจริญงอกงาม ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรในท้ายที่สุด และไม่ว่าคำอธิบายนี้จะเป็นเรื่องผิดพลาดหรือไม่ กระบวนการก็ยังเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์และเก็บเกี่ยวผลในตัวมันเองอยู่ดี…’

ขณะที่เขาเขียนคำพิจารณา เดียปก็รู้สึกได้ถึงแนวโน้มตามกาลเวลาเป็นครั้งแรก เขาแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะกระโจนเข้าไปและทิ้งสัญลักษณ์บ่งบอกตัวตนไว้บนยุคสมัย ให้สมกับเส้นทางแห่งอาร์คานาที่เขาเลือก!

ภายในองค์กรหอคอย นีชกากับซาแมนธา ที่เทียวมาสอบถามศาสดาพยากรณ์ได้หลายวันแล้ว ต่างกำลังตกตะลึงอึ้งงันกับรายงานในมือตน ส่วนเบิร์กเนอร์นั้นเดินไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง ขณะเหม่อมองอาคารบ้านเรือนที่เล็กเท่ามดและเจิดจรัสดั่งดาวบนฟ้า เขาก็ถอนหายใจออกมา “ในที่สุดมันก็มา…”

เหมือนกับภาพในญาณหยั่งรู้ของเขา ระเบิดที่จะทำให้รากฐานของโหราศาสตร์ปั่นป่วนได้มาถึงแล้ว! หลังจากทำลายล้างทฤษฎีเก่าๆ ไปทีละอย่างๆ ในที่สุดลูเซียน อีวานส์ ก็หันมาจดจ่อที่นิยัตินิยม หนึ่งในรากฐานของระบบเวทมนตร์และอาร์คานา ณ ปัจจุบัน!

นอกจากนี้ เขายังเดินหน้าปฏิเสธคุณค่าและความสำคัญของการสำรวจ เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำหนดตำแหน่งและกำลังแรงของอิเล็กตรอนในเวลาเดียวกันไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเท่าไหร่!

เสียงถอนหายใจของศาสดาพยากรณ์ปลุกให้นีชกาตื่นจากภวังค์ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “นี่มันไร้สาระและน่าขันเสียจริง มันเป็นเพียงคำอธิบายที่ไร้ซึ่งการอ้างอิงทางทฤษฎีและฝืนกฎของโลกมหัพภาคอย่างยิ่ง! ข้าเชื่อมั่นในกฎพื้นฐานของโลกที่ควบคุมทุกสรรพสิ่งอย่างเข้มงวด มันคือเป้าหมายและแรงผลักดันให้เราเดินหน้าศึกษาวิจัยทางอาร์คานาเชียวนะ”

“ข้าเองก็มีจุดยืนหนักแน่นในเรื่องนิยัตินิยมเช่นกัน ทว่า เรามิอาจสะท้อนความดื้อรั้นเหล่านั้นผ่านทางทัศนคติเกี่ยวกับอาร์คานาได้ บางที ลูเซียนอาจจะพิสูจน์คำอธิบายของเขาด้วยการทดลองเมื่อถึงจุดใดจุดหนึ่งก็เป็นได้ ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่เราควรทำตอนนี้คือการพิสูจน์ว่ามันมิเป็นความจริงด้วยผลการทดลอง จนกว่าจะถึงตอนนั้น การหลับหูหลับตาเชื่อและความดื้อแพ่งมิมีทางช่วยอะไรได้หรอก”

ศาสดาพยากรณ์แก้ไขทัศนคติของนีชกาให้ถูกต้อง “แน่นอนว่าข้าเองก็เชื่อว่า แม้ลูเซียนจะสามารถสาธยายคำอธิบายตามความน่าจะเป็น เมฆหมอกแห่งความน่าจะเป็น การซ้อนทับของควอนตัม และหลักความไม่แน่นอนได้ เขาคงจะต้องมองข้ามปัจจัยต่างๆ ที่มีอิทธิพลกระทบไปเป็นแน่ มิเช่นนั้น โลกของเราย่อมไม่เป็นดังที่เห็นในยามนี้หรอก”

ซาแมนธาพยักหน้า ดวงตาของนางเหม่อมองออกไปไกล “ข้าไม่อาจจินตนาการโลกแห่งความน่าจะเป็นที่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างอันประกอบเป็นตัวข้าคือความไม่แน่นอนได้เลย…”

นางอยู่ฝ่ายลูเซียนมาตลอดเมื่อเป็นเรื่องของทฤษฎีทวิภาคของคลื่น-อนุภาคในแสง แต่ครั้งนี้นางเลือกที่จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาอย่างไม่ลังเล มิมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัว เป็นเพียงมุมมองต่อการมองโลกและความเชื่อที่มีต่อเวทมนตร์และอาร์คานาของนางเองเท่านั้น!

หลังจากที่นีชกากับซาแมนธาจากไป เบิร์กเนอร์ก็มองเหม่อออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีที่มีดวงดาวดารดาษอีกครา

คล้ายกับว่าเขาจะเห็นภาพหลอนว่ายุคสมัยเก่าอันเจิดจรัสรุ่งโรจน์ได้พังทลายลงอย่างไม่อาจหยุดยั้ง และจากเถ้าธุลีนั้นก็ปรากฏยุคสมัยใหม่ที่ยอดเยี่ยมมหัศจรรย์เสียยิ่งกว่าขึ้นมาแทน

“ความไม่แน่นอนเช่นนั้นหรือ”

เขาถามตัวเองเสียงแผ่วเบา

ภายในสวนวิญญาณ…

ตอนที่เขาได้อ่านรายงานของลูเซียนเป็นครั้งแรก แอตแลนต์ ‘เนตรแห่งคำสาป’ พบว่ามันเป็นเรื่องเหลือรับเหมือนกับคนอื่นๆ ในสายตาเขา เป็นที่ชัดเจนว่าโลกใบนี้สมเหตุสมผล เข้าใจใด้ และคาดเดาได้ด้วยกฎของเหตุและผล

ทว่า ขณะที่เขาแสดงอาการต่อต้าน ใบหน้าเขากลับค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป นั่นเป็นเพราะคำบรรยายแสนละเอียดถี่ถ้วนของลูเซียนเกี่ยวกับเมฆหมอกแห่งความน่าจะเป็นและสถานะซ้อนทับช่างดูคุ้นตาเขาเสียเหลือเกิน!

ทันใดนั้น วิถีทางแห่งการเป็นมนุษย์ครึ่งเทพที่เบเนดิกต์ที่สามเสนอให้ก็พลันผุดขึ้นในหัวเขา!

‘นี่มัน…นี่มันรูปแบบของสิ่งมีชีวิตหลังจากการแปรสภาพมิใช่หรือ ลูเซียนได้รับแรงบันดาลใจจากเส้นทางสู่ความเป็นอมตะเช่นนั้นหรือ’ แสงไฟในดวงตาเขากระพริบวูบวาบขณะที่เขาตกตะลึงอึ้งงันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

‘นี่คือสิ่งที่ลูเซียน อีวานส์ ได้รับหลังจากศึกษาวิถีทางแห่งการเป็นมนุษย์ครึ่งเทพและปริศนาแห่งความเป็นอมตะอย่างนั้นน่ะหรือ เขากำลังวางรากฐานทางทฤษฎีให้กับเส้นทางสู่การเป็นมนุษย์ครึ่งเทพของเขาเช่นนั้นหรือ’

ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งตกตะลึงพรึงเพริด แอตแลนต์เริ่มอ่านรายงานฉบับนั้นด้วยทัศนคติที่เปลี่ยนไป อาการต่อต้านของเขาเลือนหายไปแล้ว เขาพบว่าทฤษฎีนี้ไม่เพียงแก้โจทย์ในขอบเขตของอนุภาคได้ในตอนนี้เท่านั้น แต่ยังเผยเส้นทางสู่การเป็นมนุษย์ครึ่งเทพให้กับเขาอีกด้วย นั่นคือสถานะของสิ่งมีชีวิตที่แท้จริง!

ภายในห้องสมุดของพระสันตะปาปา ณ นครศักดิ์สิทธิ์…

‘พื้นฐานกลศาสตร์ควอนตัมและการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเบเนดิกต์ที่สามแล้ว

“ปฏิเสธนิยัตินิยมและทฤษฎีปีศาจธานอสอย่างนั้นรึ” เขาส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเยาะหยันในทีแรก แต่แล้วกลับนิ่งเงียบเมื่ออ่านเนื้อหาต่อไปเรื่อยๆ ราวกับว่าเนื้อหานั้นทำให้เขาติดบ่วงลุ่มหลงอย่างสิ้นเชิง

ระลอกคลื่นมากมายพลันแผ่ออกไปทั่วห้องสมุด จู่ๆ พวกมันก็เหมือนจะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง!

แต่ทันใดนั้นความรู้สึกก็หายไป แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ เบเนดิกต์ที่สามเอ่ยด้วยอาการตกตะลึง “การซ้อนทับของควอนตัมงั้นหรือ”

เขาหยิบเอกสารชิ้นหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่า ลายมือบนหนังสือเล่มนั้นยังคงดูใหม่เอี่ยม หัวข้อของตำราคือ ‘ว่าด้วยเรื่องแก่นแท้ของพลังศรัทธาและวิธีการควบคุมและดูดซับอย่างมีประสิทธิภาพ’

ภายในทวารานาจักร ในตอนที่เบเนดิกต์ที่สามอึ้งงันเกินกว่าจะควบคุมตนเอง ‘ปีศาจไวเค็น’ ก็ปรากฏกายขึ้นแล้วพึมพำด้วยน้ำเสียงกึ่งประหลาดใจกึ่งยิ้มแย้ม “การซ้อนทับของควอนตัมงั้นหรือ”