หลังจากที่เธอกลับไป ยู่ยี่ก็ขึ้นรถ ฉันทัชจึงเอนตัวไปคาดเบล์ทให้เธอ “ช็อปปิ้งเป็นยังไงบ้าง”
“ดีมาก อากาศเริ่มอุ่นขึ้น รู้สึกดีที่ได้อยู่กลางแดดเลย” ยู่ยี่ถอนหายใจ
“คุณคิดว่าเราควรบอกพ่อแม่เกี่ยวกับข่าวการท้องเมื่อไหร่” ฉันทัชกำลังฟังความเห็นของเธอ
ยู่ยี่ไม่มีคำพูดใดๆ เธอไม่ได้คิดลึกถึงขนาดนั้น ถ้าเขาบอกพ่อแม่ของเขา ก็หมายความว่า…
“ยังไม่ได้คิดหรอ ข่าวแบบนี้ผมปิดพวกเขาไปตลอดไม่ได้ ยังไงนี่ก็เป็นหลานของเขา…” เขาหันกลับมามองสีหน้าของเธอ
หลังจากคิดแล้ว ยู่ยี่ก็พูดว่า “คุณอยากบอกเมื่อไหร่ก็ได้ ฉันได้หมด”
ก็แค่บอกข่าวเรื่องท้อง ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องไม่ยอมรับ
เขายิ้ม มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัย มืออีกข้างหนึ่งจับมือถือไว้ และลูบเบาๆจนเกิดความร้อน
หลังจากกลับมาถึงที่อพาร์ตเมนต์ เขาก็ยกมือมาจับแก้มของเธอ และจูบอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาคุณแม่ธันยวีร์
คุณแม่ธันยวีร์ตื่นเต้นมาก ยู่ยี่ได้ยินอย่างชัดเจน แล้วก็รู้สึกดีใจมาก “กลับฮ่องกงเมื่อไหร่ ท้องนานหรือยัง ร่างกายรู้สึกไม่สบายอะไรไหม เธอชอบกินอะไร เธอมีคนดูแลไหม”
ฉันทัชยกนิ้วเรียวยาวนวดหว่างคิ้วเบาๆ และตอบอย่างหมดคำจะพูด “แม่ นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แถมคำถามของแม่ก็เยอะเกินไป ถามทีละคำถาม ผมจะตอบทีละข้อ…”
ระหว่างที่ตอบคำถาม ก็ปรากฏความอบอุ่นขึ้นมาบนใบหน้าของเขา เขามีความอดทน และไม่แสดงความเบื่อเลย
ยู่ยี่ชอบความจริงจังของเขามาก มันดูมีเสน่ห์น่าลุ่มหลง
หลังวางสาย ฉันทัชก็โอบกอดเธออย่างไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัว “ขอบคุณนะ…”
เธอกอดคอของเขา ขยับเข้ามาใกล้ และจูบ จากนั้นจึงตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ”
“ไปกินซุปปลาสำลีไหม” ฉันทัชพูด
ยู่ยี่ส่ายหน้า เธอไม่คิดจะไป เธอกินซุปปลาจนสะอิดสะเอียนแล้ว ไม่อยากจะได้กลิ่นนั้นอีก
มีเต้าหู้อยู่ในตู้เย็นพอดี เธอเลยคิดจะทำซุปเต้าหู้ รสชาติบางเบา แล้วทำให้กินได้ไม่น้อย
รายการทีวีมีช่องสำหรับเด็ก ยู่ยี่ชอบดูมาก ฉันทัชก็ชอบเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจข่าวธุรกิจในเวลาเดียวกัน และเลือกที่จะดูรายการเด็กเป็นเพื่อนเธอ แถมยังดูอย่างเพลิดเพลิน ไม่ละสายตาไปไหน
อเมริกา
ตอนที่หัสดินกำลังจะพักผ่อน พยาบาลก็เข้ามาบอกว่าผลออกมาแล้ว ให้เขาไปพบหมอที่ห้องตรวจได้เลย
เขาหยิบเสื้อสูทขึ้นมาจากเตียงของโรงพยาบาลสวมลวกๆ และขยับเท้าเดินตามพยาบาลไป
แพทย์ที่ดูแลกำลังพลิกเวชระเบียนอยู่ หัสดินนั่งอยู่บนโซฟา เมื่อเขา แพทย์ก็พยักหน้าและขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาดูจริงจังและเคร่งขรึมเล็กน้อย
ท่าทางดังกล่าวทำให้คิ้วของหัสดินขมวดขึ้น ราวกับจะบอกลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
“คุณทราบอาการของคุณหรือไม่” แพทย์ถามเป็นภาษาอังกฤษ
หัสดินพยักหน้า โดยบอกว่าเขารู้ดี “ท่อน้ำอสุจิอักเสบเรื้อรังมักเกิดขึ้นบ่อยๆ ดังนั้นต้องทำการผ่าตัดท่อน้ำอสุจิ”
แพทย์ผู้รักษาพูดด้วยความไม่เชื่อ “คุณล้อเล่นหรอ คุณคิดจะทำร้ายตัวเองหรอ”
หัสดินไม่เข้าใจปฏิกิริยาของเขา “คุณหมายความว่ายังไง”
“คุณเป็นโรคท่อน้ำอสุจิอักเสบเฉียบพลัน และสามารถฟื้นตัวได้ด้วยยาภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่คุณเคยใช้ยาที่ทำให้อาการแย่ลง”
เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หัสดินไม่สามารถแยกแยะข้อมูลดังกล่าวได้ วินาทีต่อมา เขาก็ถามอย่างจริงจังว่า “คุณพูดจริงหรอ”
“ผมเป็นหมอ ไม่จำเป็นต้องโกหก” แพทย์ผู้รักษายักไหล่
“ตรวจร่างกายผมต่อ ผมต้องการตรวจต่อ” หัสดินยังคงไม่เชื่อ และเรียกร้องจะตรวจอีก “เปลี่ยนหมอตรวจให้ผมอีกครั้ง!”
สุดท้ายก็ไดเเปลี่ยนหมอและทำการตรวจต่อไป จนถึงขั้นรอผลการตรวจ
ผลออกมาตอนดึกซึ่งสอดคล้องกับข้อสรุปของแพทย์คนนั้น
“พวกเราขอเอาชื่อรับประกันสำหรับผลการตรวจนี้ ไม่มีปัญหาแน่นอน” แพทย์ผู้รักษารับรองความถูกต้องของอาการและผลการตรวจซ้ำ
ในท้ายที่สุด แม้แต่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็ยังตื่นตระหนก และแพทย์ผู้มีอำนาจหลายคนก็รวมตัวกันเพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีปัญหา
เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนี้ หัสดินก็กลับไปที่ห้องผู้ป่วยโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขานั่งบนเตียงของโรงพยาบาล ยกมือขึ้นมาดึงเนคไทออก
เขารู้สึกเสมอว่าต้องมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้!
ผลลัพธ์ที่ได้รับในโรงพยาบาลที่อเมริกานั้นไม่ผิดอย่างแน่นอน หมอไอแซ็คต่างหากที่เป็นคนผิด
เขาไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้วถึงสองครั้ง ถ้าการตรวจครั้งแรกผิดพลาด แล้วครั้งที่สองล่ะ
อาการของดนัยฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้นสองสามวัน เขาก็ขึ้นเครื่องบินและรีบกลับไปที่เมืองs
เป็นเที่ยวบินตอนเที่ยง เมื่อมาถึงเมืองsก็เกือบจะเย็นแล้ว ดนัยเริ่มหิว ตั้งใจจะไปหาของกิน แต่หัสดินบอกว่ามีเรื่องต้องจัดการจึงรีบกลับก่อน
เขาไม่ได้กลับไปที่บ้านตระกูลภูษาธร เขาไปที่โรงพยาบาล แต่หมอไอแซ็คไม่อยู่ เขาเลิกงานแล้ว ดังนั้นแฟนเขาจึงโทรหาหมอไอแซ็คแทน
หมอไอแซ็ครับสาย ระหว่างคุยโทรศัพท์ หัสดินไม่ได้เปิดเผยอะไรเลย เขาแค่บอกว่าเขากลับมาจากอเมริกาแล้ว และเอาของขวัญมาให้ ให้ไปรอเขาที่โรงแรมฮิลตัน
สำหรับคำพูดของหัสดิน หมอไอแซ็คเชื่ออย่างไม่ลังเล ก่อนหน้านี้เมื่อหัสดินไปต่างประเทศ ก็มักจะมีของขวัญมาให้เป็นครั้งคราว
หลังจากเก็บของเรียบร้อย หมอไอแซ็คก็ไปที่โรงแรมฮิลตันที่จองไว้ล่วงหน้าแล้ว
เมื่อผลักประตูห้องส่วนตัวเข้าไป หมอไอแซ็คก็ทักทายเขา แล้วนั่งลง หัสดินเอาแต่เล่นแก้วไวน์อยู่ตรงหน้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เริ่มตึงเครียดจนหายใจไม่ออก หมอไอแซ็คเริ่มกระสับกระส่าย รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีภายในใจ
“หมอไอแซ็ค คุณมีเรื่องปิดบังผมอยู่หรือเปล่า” หัสดินเปิดปากพูด ตาของเขาหรี่ลง และน้ำเสียงก็ลากยาว
หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อย หมอไอแซ็คแอบลูบมือของตัวเองใต้โต๊ะ และส่ายหน้า “ผมไม่รู้ว่าคุณชายหมายถึงอะไร”
หัสดินยืนขึ้น แก้ววายถูกโยนลงบนพื้นจนแตกละเอียด “ไม่รู้หรอ จะให้ผมพูดออกมาใช่ไหม งั้นก็ดี เรื่องอาการป่วยของผมคุณคิดว่าเป็นยังไงบ้าง ต้องตัดออกไหม หรือไม่ต้องตัดมันออกแล้ว”
หมอไอแซ็คยังคงไม่พูด หัสดินเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อของเขาแน่น
เมื่อถูกรัดคอ ใบหน้าของหมอไอแซ็คก็แดงก่ำ เขาหายใจไม่ออก เขาตกใจกลัวจึงรีบพูดขึ้นว่า “คุณชาย ผมพูดแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัสดินก็ยกมือขึ้นและโยนเขาลงไปที่พื้น “พูด!”
“ตอนแรกเรื่องนี้เป็นการวินิจฉัยที่ผิด ผมกำลังจะไปบอกคุณชาย แต่นายหญิงมาหาผม และเธอบอกว่าเธอรักคุณมาก เธอคิดว่านี่เป็นโอกาส เธอไม่อยากให้ปล่อยไป ให้ผมปล่อยเลยตามเลย” หมอไอแซ็คนั่งนิ่งอยู่กับพื้นขณะพูด
คำพูดพวกนี้ตอนแรกเรนนี่เป็นคนสอนเขา พวกเขาลงเรือลำเดียวกันแล้ว ใครก็หนีไม่ผล
“เพียงเพราะคำพูดของเธอ คุณเลยหลอกผมหรอ” หัสดินหัวเราะอย่างเย็นชา ยกเท้าวางบนเก้าอี้ แลดูโหดเหี้ยม
“ผม….ผม…ตอนนั้นผมต้องการเงิน….นายหญิงให้เงินผมมาก้อนหนึ่ง…ตอนนั้นผมก็โดนลวงเหมือนกัน…”
ระหว่างพูดหมอไอแซ็คก็ตบตัวเอง เขารู้อยู่ในใจ ถ้าเขาบอกความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็จะไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้ ดังนั้นจึงต้องพูดอย่างนี้
หัสดินฟังด้วยนัยน์ตาลึกที่เริ่มมืดมิดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หไอแซ็คที่มองอยู่กลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
“หึ ความสามารถดีมาก แม้แต่ฉันยังกล้าวางแผนใส่ ดีมาก ฝากไว้ก่อน!”
หลังจากพูดประโยคนั้นหัสดินก็กลับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นหมอไอแซ็คถึงกล้าที่จะหายใจ และกดโทรศัพท์โทรออก
เสียงที่ดังขึ้นแจ้งเตือนว่าปลายสายปิดเครื่อง หมอไอแซ็คจึงได้แต่กระวนกระวายเหงื่อแตกพลั่ก ตอนนี้เขารู้สึกกลัวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าหัสดินจะจัดการกับเขายังไง!
เรนนี่กับชฎารัตน์กำลังรับประทานอาหารเย็นในห้องนั่งเล่น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา พวกเขาก็หันกลับมาและเห็นว่าเป็นหัสดิน จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความยินดี
แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร หัสดินก็คว้าข้อมือของเรนนี่อย่างหยาบคาย และพาเธอไปที่ห้อง
ในระหว่างนั้น เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเกินไป เรนนี่จึงตามไม่ทัน และล้มลงกับพื้นหลายครั้ง ชฎารัตน์มองแล้วรู้สึกกังวล ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น!
กลับมาที่ห้อง หัสดินล็อคประตู ส่วนเรนนี่หอบและขมวดคิ้วถาม “เป็นอะไร”
“คิดว่าฉันเป็นคนโง่หรอ” หัสดินเดินเข้ามาใกล้เธอทีละก้าวด้วยดวงตาสีแดงก่ำ
ประโยคง่ายง่ายแต่ทำให้หัวใจของเรนนี่เต้นแรงขึ้นมาได้ หลังของเธอติดกับกำแพง ส่ายหน้า ไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร
“เขาบอกความจริงหมดแล้ว คุณคิดว่าคุณจะปิดบังผมได้ต่อไปหรอ”
ตอนนี้เรนนี่ถึงเข้าใจว่าการคาดเดาของเธอนั้นไม่ได้ผิดพลาด ปลายนิ้วเรียวของเธอฝังลงไปในเนื้อจนรู้สึกเจ็บปวด
“ไม่พูดหรอ” หัสดินเปล่งเสียงออกมาอย่างโหดเหี้ยมทีละคำลอดไรฟันออกมา “คุณรู้มั้ยว่าผมเกลียดอะไร ผมเกลียดคนที่แอบวางแผนลับหลังผมมากที่สุด!”
“ฉันทำอย่างนั้นแค่ครั้งเดียว ก็เพราะว่าฉันชอบคุณ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าฉันรักคุณขนาดไหน! ไม่มีคุณฉันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้! เพื่อให้ได้แต่งงานกับคุณ ฉันเลยต้องทำอย่างนี้ ฉันให้เงินกับหมอไอแซ็ค และให้เขาทำในสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันผิดมากหรอ”
เรนนี่แอบหายใจเข้าลึกๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แสดงใบหน้าเจ็บปวดและเต็มไปด้วยความเศร้า ซึ่งทำให้ผู้คนสงสาร
แต่เห็นได้ชัดว่าเธอใช้กลผิด ในเวลานี้อุบายนี้ใช้ไม่ได้กับหัสดิน เปลวไฟได้เผาความรู้สึกของเขาไปหมดแล้ว เขาก้าวไปข้างหน้าและคว้าคอเรนนี่
มือของผู้ชายแข็งแรงมาก โดยเฉพาะผู้ชายที่กำลังโกรธ จะทำให้แรงนั้นมหาศาลยิ่งกว่าเดิม หลังมือของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปน
ตอนนี้หัสดินไม่ฟังอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เขาอยากรู้เรื่องเดียวก็คือเขาถูกหลอก โดนวางแผนลับหลัง และเริ่มอยู่ห่างจากยู่ยี่มากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่อย่างนั้นเขาก็ยังสามารถตามจีบยู่ยี่ได้ต่อไป ไม่แน่ยู่ยี่อาจจะยอมตกลงแต่งงานกับเขา
ยิ่งคิดอย่างนั้น ความร้อนรุ่มในใจของเขาก็เริ่มมากขึ้น และแรงของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เรนนี่ยังคงพยายามดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย เธอพูดด้วยเปราะบาง และน้ำตาเต็มใบหน้า “หัสดิน ฉันรักคุณมากก็เลยทำอย่างนี้ เชื่อฉันเถอะนะ ฉันรักคุณจริงๆ….”