ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
บทที่****191: การแก้แค้น
“อืม!” เจ้าอ้วนเป็นคนเกลียดการมีปัญหา หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ เขาเข้าใจทุกอย่างทันที ในตอนนี้เขารุกรานอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว เขาไม่สามารถปล่อยให้นักบวชฮัวอวิ๋นถูกกดดันได้มากกว่านี้ เขาจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “พรุ่งนี้ข้าจะนำเสนอสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งธาตุทั้งห้า แน่นอนว่าเขาจะต้องไปเกิดใหม่!”
“ยอดเยี่ยม ข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้า!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างตื่นเต้น จากนั้นเขาตบบ่าของเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไปพักผ่อนเถิด ข้าจะเฝ้ารอดูเจ้าในวันพรุ่งนี้!”
“ขอรับ ศิษย์ขอตัวก่อน!” เจ้าอ้วนคำนับให้เขาพร้อมกับเดินออกมา
หลังจากที่เขากลับมายังลานม่านหมอก เขามองเห็นหานหลิงเฟิงที่หลบซ่อนอยู่ภายใน แม้ว่านางจะทำการชำระล้างร่างกายแล้ว แต่แววตาของนางยังคงแดงก่ำ ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกเห็นอกเห็นใจนางอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนกลับมาแล้ว หานหลิงเฟิงพุ่งเข้าไปกอดเขาพร้อมร้องไห้ออกมาทันที “เจ้ากลับมาสักที ข้ากลัวไปหมด!”
“มีสิ่งใดที่เจ้าต้องกลัวงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนปลอบใจด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกต่อไป!”
“พี่น้องทั้งสี่ยอมรามือไปอย่างง่ายดายงั้นหรือ?” หานหลิงเฟิงถามออกมาอย่างสับสน
“ในสายตาของข้าเจ้าพวกนั้นเป็นเพียงไก่น้อยสี่ตัวท่านั้น!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “วันนี้เจ้ายินได้ถูกทำลายโดยข้า แม้ว่าอาจารย์ของมันจะเป็นหมอเทวดา มันก็ต้องใช้เวลาสักสองถึงสามปีจึงจะกลับมาเป็นบุรุษเต็มตัวอีกครั้ง พรุ่งนี้ข้าจะต่อสู้กับพี่ใหญ่จิน ข้าตั้งใจไว้ว่าจะชำระทุกสิ่งในวันพรุ่งนี้!”
“ชำระทุกสิ่งในครั้งเดียว?” เมื่อหานหลิงเฟิงได้ยินเช่นนั้น นางตกใจทันที “เจ้าจะสังหารเขางั้นหรือ?”
“ถูกต้อง!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างเยือกเย็น “นับตั้งแต่ที่มันทำให้อาจารย์ลุงฉิงเฟิงซีต้องบาดเจ็บสาหัส ข้าจะต้องให้มันจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดด้วยชีวิตของตัวมันเอง!”
“เจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้! พวกมันเป็นศิษย์ของคุณชายใหญ่และคุณชายรอง ถ้าหากเจ้าสังหารเขา แน่นอนว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งสองจะต้องกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า!” หานหลิงเฟิงกล่าวออกมาอย่างกังวลใจ “ข้าคิดว่าเพียงแค่สั่งสอนบทเรียนให้กับเขาก็น่าจะเพียงพอแล้ว!”
“ข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้” เจ้าอ้วนส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า “มีอีกหลายสิ่งที่เจ้าไม่อาจคาดเดาได้ ตอนนี้ภายในสำนักเสวียนเทียนถูกยึดครองโดยพวกมัน และตอนนี้ข้ากับคุณชายใหญ่ได้เป็นศัตรูกันแล้ว ข้าต้องรักษาสัมพันธ์อันดีกับนักบวชฮัวอวิ๋นไว้ และพี่ใหญ่จินคือด่านแรกที่ข้าต้องจัดการ! ถ้าหากข้าไม่ส่งมันไปเกิดใหม่ ข้าจะไม่สามารถช่วยเหลือนักบวชฮัวอวิ๋นได้อีกต่อไปและเขาอาจคิดว่าข้าไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับเขา ในเวลานี้ข้าอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและอาจจะไม่มีความสุขในอนาคต!”
“แต่…” สำหรับหานหลิงเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้น นางต้องการจะกล่าวบางอย่างออกมาแต่เจ้าอ้วนแทรกขึ้นมา “ไม่มีแต่ใด ๆ ทั้งสิ้น นี่คือการทดสอบของนักบวชฮัวอวิ๋น ข้าไม่มีทางเลือกอื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องคุณชายใหญ่ เขายังมีศิษย์เพียงยี่สิบคนเท่านั้นภายในสำนักเสวียนเทียน ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่สามารถครอบครองสำนักได้ดั่งเดิม อย่างน้อยตอนนี้สำนักเสวียนเทียนก็ยังถูกปกครองโดยนักบวชฮัวอวิ๋น”
“แต่ความแข็งแกร่งของนักบวชฮัวอวิ๋นยังขาดสมดุล ข้าเกรงว่าเขาจะไม่อาจต้านทานได้ถ้าหากคุณชายใหญ่และคุณชายรองร่วมมือกัน!” หานหลิงเฟิงกล่าวออกมาอย่างกังวลใจ
“เหอะ เจ้าประมาทนักบวชฮัวอวิ๋นมากเกินไป เขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว เจ้าอย่าลืมว่าข้างกายของเขายังมีศิษย์พี่หญิงอาวุโสอยู่ โดยปกติแล้วนางมักจะไม่แสดงท่าทีใดมากนัก แต่ถ้าเหตุการณ์มันเกินการควบคุมของนักบวชฮัวอวิ๋น นางจะสามารถยืนมองอยู่เฉยได้อย่างไร? ข้าคิดว่าตราบใดที่คุณชายใหญ่ไม่ใช่คนโง่เขลา เขาจะไม่บีบบังคับจนนักบวชฮัวอวิ๋นไร้หนทาง ถ้าไม่เช่นนั้นเท่ากับว่าเขากำลังท้าทายเทพธิดาเหมยฮวา! ดังนั้นตำแหน่งในสำนักของนักบวชฮัวอวิ๋นนับได้ว่าแข็งแกร่งมาก ตราบใดที่ท่านอาจารย์ของฉุ่ยจิ้งยังไม่ตายตกไป แน่นอนว่าเขาจะยังคงแข็งแกร่งและไม่มีอะไรต้องกังวล!”
เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนคิดอย่างไร หานหลิงเฟิงหยักหน้าและกล่าวออกมาอย่างเข้าใจ “อืม เจ้ามีแผนอย่างไรบ้าง ข้าต้องการฟัง!”
“เรื่องมันเป็นเช่นนี้!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น มือของเขาเริ่มคุกคามไปทั่วร่างกายของนาง
หานหลิงเฟิงหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันทีพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างไม่อาจช่วยได้ “นี่เจ้า ตอนนี้ยังเป็นกลางวันอยู่ เจ้าช่วยควบคุมตนเองสักนิดได้หรือไม่?”
“ทำไมจะทำไม่ได้เพียงเพราะมันเป็นเวลากลางวัน? ใครจะกล้าเข้ามาภายในบ้านของข้า?” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างภูมิใจ
ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น หานหลิงเฟิงมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก จากนั้นเจ้าอ้วนก็เข้าใจและหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “อ่า ขอยกเว้นเจ้ายินไว้หนึ่งคน!”
เจ้าอ้วนถามออกไป “เหตุใดมันจึงกล้าที่จะข่มเหงเจ้าจนถึงจุดที่เจ้าหมดหนทางจะหลบหนี? แล้วอะไรทำให้มันกล้าทำเรื่องแบบนี้?”
“ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะเจ้างั้นหรือ?” หานหลิงเฟิงกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจพร้อมกับมองที่เจ้าอ้วนอย่างขุ่นเคือง นางตำหนิเจ้าอ้วนอย่างโกรธเคือง “ข้าไม่รู้ว่าไอ้สารเลวนั่นมันรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่หญิงสาวพรหมจรรย์ พอมันรู้มันจึงเริ่มข่มเหงข้า ในขณะที่ข้าเกรงกลัวต่อพี่น้องของมัน ข้าจึงต้องหลีกเลี่ยงแบบสุภาพมาตลอด ในท้ายที่สุด มันคิดว่าข้าอวดดีและเริ่มข่มเหงข้าทุกวัน ข้ารู้สึกหงุดหงิดจนถึงขั้นที่ต้องมาหลบซ่อนอยู่ที่นี่ ข้าคิดว่าด้วยขนาดของสำนักชั้นใน ข้าไม่ควรจะค้นหาข้าพบ แต่ข้าไม่เคยคาดหวังว่ามันจะมาปรากฏตัวขึ้นทันทีหลังจากที่ข้าหลบหนีมา ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าออกจากการฝึกฝนในเวลานั้นพอดี ข้าคงจะถูกทำลายโดยอสูรกายตนนั้นแล้ว! เฮ้อ…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หานหลิงเฟิงเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
เจ้าอ้วนกอดนางไว้และเริ่มปลอบใจนางด้วยความอ่อนโยน “เรื่องราวระหว่างเราเป็นความลับ แล้วเจ้ายินจะรู้ได้อย่างไร? ใครกันที่พูดบอกต่อมัน?”
“ข้า…” หานหลิงเฟินต้องการกล่าวอะไรบางอย่าง แต่นางยังคงลังเล
เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนรู้ได้ทันทีว่านางกังวล เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นพร้อมกล่าวว่า “เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องกังวล ข้าได้ประกาศเรื่องของเราต่อหน้าสาธารณะชนไปแล้ว ทุกคนรับรู้แล้วว่าเจ้าคือผู้หญิงของข้า!”
“จริงหรือ?” เมื่อหานหลิงเฟิงได้ยินเช่นนั้น นางยิ้มออกมาอย่างร่าเริงทันที “เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่ไหม?” ความจริงก็คือนางเหนื่อยกับชีวิตที่ต้องหลบซ่อนอยู่อย่างนี้ มันเป็นเพียงก่อนหน้านี้ที่เจ้าอ้วนอ่อนแอเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นที่จะต้องหลบซ่อนไว้เพื่อไม่ให้เจ้าอ้วนต้องพบเจอปัญหากับเหล่าคนที่ต้องการครอบครองนาง แต่ในตอนนี้เจ้าอ้วนแข็งแกร่งและอยู่ในระดับปฐมภูมิ ภายในสำนักเสวียนเทียนเขาไม่ต้องเกรงกลัวใครอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะปกปิดมันไว้อีก
“แน่นอน มันคือเรื่องจริง!” เจ้าอ้วนกล่าวเสริม “ตอนนี้เจ้าสามารถบอกได้หรือไม่ว่าใครเผยแพร่เรื่องนี้?”
“คือ… มันคือศิษย์น้องมู่ซื่อหรง!” หานหลิงเฟิงกล่าว “นางเป็นคนเดียวที่ข้าบอกกล่าว!”
“มู่ซื่อหรง?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหงุดหงิดทันที “บัดซบ! นังสารเลว เหตุใดเจ้าต้องบอกนาง? อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าข้ากับนางเป็นศัตรูกัน?”
“ข้ารู้ดี แต่นางเป็นหนึ่งในสี่ของเหล่าอัจฉริยะของสำนักและมีเลือดของชนชั้นสูง สถานะของนางก็สำคัญ นางหยิบยื่นความเป็นสหายให้กับข้าและข้าไม่สามารถปฏิเสธนางได้ ใช่หรือไม่?” หานหลิงเฟิงตอบกลับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ช่างเป็นการสร้างมิตรที่ดียิ่งนัก แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องบอกนางเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราจริงไหม? สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงการสร้างปัญหาให้กับตัวเจ้าเอง แต่ข้าก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน!” เจ้าอ้วนตำหนินางอย่างช่วยไม่ได้
“ข้าไม่ได้บอกนาง แต่ว่านางสามารถคาดเดาได้เอง!” หานหลิงเฟิงกล่าวออกมาอย่างหมดหนทาง “แม้ว่ามู่ซื่อหรงจะดูคล้ายกับคนแข็งทื่อ แต่ความจริงแล้วนางฉลาดมาก นางมีเบาะแสหลายอย่างและเริ่มพยายามคาดเดาความสัมพันธ์ของเรา จากนั้นนางจึงมาคาดคั้นจากข้าตรง ๆ แล้วข้าจะทำอะไรได้อีก? จึงทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น!” หานหลิงเฟิงกล่าวอย่างหมดปัญญา
“หลักฐานอะไรกัน?” เจ้าอ้วนถามอย่างมึนงง
“อย่างแรกก็คือเราค้นพบเหมืองหินจิตวิญญาณด้วยกัน นางจึงเดาว่าเรามีความสัมพันธ์กัน ถ้าไม่เช่นนั้นข้าคงจะสังหารเจ้าและเก็บรางวัลทุกอย่างไว้เพื่อตนเอง จากนั้นการฝึกฝนของข้าดีขึ้นอย่างมากในสองสามปีที่ผ่านมา ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่สามารถกระทำได้ด้วยพรสวรรค์ของข้าเอง ยิ่งไปกว่านั้นข้าประสบความสำเร็จหลังจากกินผลไม้วิญญาณ จากนั้นนางค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าไม่รู้ว่านางใช้หลักการใดเพื่อค้นพบมัน แต่นางกลับพิสูจน์ได้ว่าข้ากินผลไม้วิญญาณไปสามผล! นอกเหนือจากเจ้าไม่มีผู้ใดในสำนักเสวียนเทียนที่จะใจกว้างกับข้าเช่นนี้ เพียงแค่นี้ความสัมพันธ์ของเราก็ชัดเจนแล้ว!” หานหลิงเฟิงอธิบาย
“เหอะ!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าตนเองไม่สามารถตำหนิหานหลิงเฟิงในเรื่องนี้ได้ นี่ไม่ใช่ความผิดของนางที่ไม่ระวังตนแต่เป็นเพราะมู่ซื่อหรงฉลาดเกินไป เขาคิดได้เพียงแค่เขาโชคร้ายและกล่าวออกมาว่า “ในเวลานี้เราพ่ายแพ้จริง ๆ นังมู่ซื่อหรงต้องการจะแก้แค้นข้าแต่ไม่มีความกล้าหาญมากพอ ดังนั้นนางจึงคิดจะยืมมือของยิน นอกจากนี้นางยังใช้นักบวชฮัวอวิ๋นมาทดสอบข้าอีก นับได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอย่างแท้จริง! ทำไมก่อนหน้านี้ข้าจึงไม่เฉลียวใจเกี่ยวกับเรื่องนางสักนิดนะ?”
“อาจเป็นเพราะเจ้าคงมองแต่ความงามของนางล่ะมั้ง?” หานหลิงเฟิงเย้าแหย่เจ้าอ้วนพร้อมหัวเราะออกมา
“ความงาม? นางน่ะหรือ?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ แต่เขาก็กล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “เอาล่ะ ข้ายอมรับว่านางงดงาม แต่น่าเสียดายที่นางเปรียบเสมือนกับงูพิษและมันเกือบทำให้เจ้าต้องตาย!”
เมื่อหานหลิงเฟิงได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวว่า “ไม่ใช่เพียงข้าเท่านั้น ข้าได้ยินว่าฉิงเฟิงซีพยายามอย่างหนักเพื่อเข้าสู่ระดับจินตันและไม่ต้องการให้ผู้ใดรบกวนเขา แต่มู่ซื่อหรงบอกเขาว่านางถูกคุกคามโดยเหล่าสี่พี่น้องและขอร้องให้ฉิงเฟิงซีออกมาจัดการ ในตอนจบฉิงเฟิงซีโกรธจัดและลุกขึ้นมาต่อต้านจึงเป็นสาเหตุของอาการบาดเจ็บสาหัสในตอนนี้!”
“อะไรนะ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดทันที “นังสารเลวคนนี้มุ่งมั่นจะทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใด สถานะของนางเป็นถึงหลานสาวของนักบวชฮัวอวิ๋น นางสามารถขอร้องผู้อื่นได้ตั้งมากมายแต่กลับเลือกที่จะขอร้องลุงอาวุโสของข้า!”
“ข้าเพิ่งรู้เรื่องนี้ ข้าเกรงว่าการกระทำทั้งหมดนี้จะทำเพื่อแก้แค้นเจ้า!” หานหลิงเฟิงกล่าวออกมา
“ข้ารู้!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “บิดาผู้นี้จะไปคิดหนี้แค้นกับนางตอนนี้เลย!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหันหลังและเดินออกไปทันที
หานหลิงเฟิงรีบดึงตัวเขากลับมาพร้อมกล่าวว่า “เจ้าไม่สามารถทำได้ นางเป็นหลานสาวของนักบวชฮัวอวิ๋น เจ้าไม่มีสิทธิ์แตะต้องนาง!”
“เหอะ นักบวชฮัวอวิ๋นมีลูกหลานนับสิบคน แน่นอนว่าเขาจะไม่สนใจนาง! ตราบใดที่ข้าไม่ได้สังหารนางและสั่งสอนบทเรียนเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรต้องกังวล!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “อย่าลืมสิ นักบวชฮัวอวิ๋นต้องการให้ข้าดูแลเหล่าสี่พี่น้องนั้นอย่างดี!”
ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาคว้าไหล่ของหานหลิงเฟิงพร้อมกล่าวว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอื่น เจ้าเพียงแค่บอกข้ามาว่าข้าจะไปพบนังสารเลวนั่นได้ที่ไหน”
“เรื่องนั้น…” หานหลิงเฟิงลังเลชั่วขณะก่อนจะตัดสินใจกล่าวออกมาว่า “ในเวลานี้นางน่าจะอยู่ในภูเขาเพื่อฝึกดาบ ด้วยความเย่อหยิ่งของนางจึงทำให้ไม่มีผู้ใดเข้าใกล้พื้นที่แห่งนั้นในขณะที่นางกำลังฝึก!”