เหมือนเงา
“คุณฝันถึงสิ่งที่คุณคิดในวันนั้น นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาออกนะ” หลี่เจิ้งคุ้นเคยกับเฉินเกอ และจากมุมมองของเขา มันไม่เหมือนว่าเฉินเกอจะทำอะไรอย่างซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงใครและจากนั้นก็ออกมากระซิบกระซาบข่มขู่ฆ่า
“ผมรู้ว่าคุณไม่เชื่อผม แต่ว่ามันไม่ใช่ความฝัน” เจียหมิงลดเสียงลงต่ำและน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นประหลาด “คุณไม่เคยสงสัยเลยเหรอว่าเงาของคุณกำลังทำอะไรตอนที่คุณยืนอยู่หน้ากระจกแล้วก้มลงล้างหน้า? เขาจะก้มหน้าตามสะท้อนการเคลื่อนไหวของคุณ หรือว่าเขาจะยังยืนตัวตรงอยู่ในกระจก มองลงมาที่คุณ? คุณไม่เคยเจอสถานการณ์ที่มีคนในห้องน้ำสาธารณะห้องติดกันขอกระดาษทิชชู่จากคุณ แต่พอคุณออกมา คุณก็พบว่าตลอดเวลานั้นคุณอยู่ในห้องน้ำคนเดียวเหรอ? คุณไม่เคยเจอเหรอว่าเวลาคุณโทรหาเพื่อนสนิทหรือว่าครอบครัวของคุณแล้วพวกเขาเอาแต่บอกว่าสายจากคุณมันเสียงดังวุ่นวายเหมือนรอบตัวคุณมีสิ่งต่าง ๆ มากมากมายยืนอยู่ด้วย?”
เจียหมิงกำขอบเตียงแน่นขึ้นเรื่อย ๆ “ผมเคยเจอมาหมดแล้ว”
“ผมคิดว่าพวกเราควรจะเรียกหมอกลับมา” หลี่เจิ้งนั้นเป็นพวกที่ไม่นับถือพระเจ้า และในมหาวิทยาลัยเขายังเรียนมาในด้านอาชญวิทยาและจิตวิทยา เขาไม่คิดว่าเจียหมิงโกหก ดังนั้นในกรณีนี้ จิตใจของเขาต้องมีอะไรผิดปกติ เขาน่าจะป่วยด้วยโรควิตกกังวลบางชนิด
“ก่อนที่หมอจะเข้ามา คุณฟังอีกสักสองสามเรื่องได้ไหม?” เจียหมิงเพยิดหน้าไปทางเฉินเกอ “มันเกี่ยวกับผมและเขา”
“ผมคิดไม่ออกเลยว่าพวกคุณสองคนจะสนิทกันถึงขนาดนั้น” หลี่เจิ้งพยักหน้า
“หลังจากออกจากบ้านเจียงหลง ผมก็ตกใจเกินกว่าจะนึกทางกลับบ้านได้ ผมวิ่งไปอย่างไร้จุดหมายอยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าจะกลับถึงบ้าน ตอนนั้น ผมยังอาศัยอยู่ในห้องเช่าหนึ่ง และเจ้าของห้องเช่าก็เป็นหญิงชราคนหนึ่ง เธออาศัยอยู่ที่ชั้นแรก ครอบครัวของผมอยู่บนชั้นที่สอง และชั้นที่สามเป็นห้องเก็บของ
“ตอนที่ผมกลับไป มันก็ดึกมากแล้ว หลังจากเข้าไปที่นั่น สัตว์เลี้ยงของหญิงชราก็เอาแต่ร้องเสียงแหลม มันไม่ใช่เสียงร้องเหมียวให้เกาคางลูบหลัง แต่ว่าเป็นเสียงแหลมและน่ากลัว
“บางทีอาจจะเพราะถูกสัตว์เลี้ยงปลุก หญิงชราเปิดประตูออกมาดู จากนั้นเธอก็บอกบางอย่างแก่ผม
“ตอนเดินพวกคุณสองคนอย่าส่งเสียงดังนัก มันดึกมากแล้ว พวกคุณสองคนทำอะไรอยู่จนดึกป่านนี้?”
เจียหมิงยังจำสีหน้าบนใบหน้าหญิงชราได้เพราะว่าเขาลอกเลียนแบบมันมาให้ผู้ฟังดูได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ผมรีบขอโทษหญิงชรา แต่เมื่อผมขึ้นมาถึงชั้นสองผมถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ผมหันกลับไปมอง แต่ในทางเดินมืด ๆ มีแค่ผมคนเดียว แล้วทำไมหญิงชราถึงบอกว่า ‘สอง’?
“ในตอนนั้น ผมก็สันหลังเย็นวาบ ผมวิ่งไปที่ประตู คุ้ยหากุญแจ คุณก็รู้ว่าทุกอย่างมันจะเปลี่ยนเป็นยุ่งยากเมื่อคุณตื่นตระหนก ผมพยายามหากุญแจประตู แต่มันก็ไม่เจอ จากนั้นก็เกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้น
“มีเสียงเคาะดังมาจากชั้นที่สามเหมือนลูกบอลเด้งขึ้นลงกับพื้นซ้ำ ๆ
“ตอนที่ผมย้ายเข้าไป หญิงชราก็บอกผมแล้วว่าชั้นสามน่ะว่างอยู่ และมันก็ถูกใช้เป็นที่เก็บเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ๆ และของอื่น ๆ ผมเคยถามเธอว่าทำไมถึงไม่ให้เช่าที่นั่นและเธอก็บอกแค่ว่าครอบครัวของลูกชายเธอเคยอาศัยอยู่ที่ชั้นสามแต่ว่าครอบครัวสามคนนั้นเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์ ถึงแม้ว่าเธอจะให้เช่าชั้นสามได้ เธอก็ไม่ต้องการ เพราะว่าเธออยากจะเก็บมันเอาไว้เป็นความทรงจำ
“เสียงแปลก ๆ ดังมาจากชั้นสามที่น่าจะว่างเปล่า ผมไม่กล้าอยู่ในทางเดินให้นานเกินไปแล้ว ในที่สุดผมก็หากุญแจเจอในกระเป๋าเสื้อของผม และในตอนนั้น เสียงนั่นก็หยุด ผมหันไปมองทางบันไดอย่างสงสัย และที่ตรงมุมเลี้ยวขึ้นชั้นสาม ผมก็ขาสีเทา ๆ คู่หนึ่ง จากมุมนั้น นั่นเป็นทั้งหมดที่ผมเห็นได้
“ผมกลัวมากและเปิดประตูเร็วเท่าที่ทำได้
“หลังจากเข้าไปในบ้านแล้วผมก็ยังตื่นตกใจอยู่ ผมปิดประตูนิรภัยชั้นนอก และตอนที่ผมกำลังจะปิดประตูชั้นใน ผมก็สงสัยมาก และในที่สุดผมก็เอนตัวออกไปนิด ๆ เพื่อมองขาที่อยู่บนบันได
“ตอนที่เอนตัวมองผ่านช่องว่างที่ประตู ผมก็ปรับมุมและนั่งลงช้า ๆ ผมมองขึ้นไปและเห็นขาคู่นั้นอีกครั้ง ตอนที่ผมกำลังมองขึ้นไปเรื่อย ๆ หัวของเด็กผู้ชายคนหนึ่งจู่ ๆ ก็ปรากฏในสายตาผม!
“ท่าของเขาประหลาดมาก ขาของเขาตรง และว่าหัวนั้นแทบจะแตะกับพื้น นั่นไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายมนุษย์ธรรมดาจะทำได้
“ผมกระแทกประตูปิดและพยายามเปิดไฟในห้องนั่งเล่น ผมรู้ว่าสวิตช์อยู่ที่ไหน และมือของผมก็เอื้อมไปก่อนที่ผมจะทันได้แตะสวิตช์ ปลายนิ้วของผมก็ปัดผ่านบางอย่าง มันเหมือนผิวหนังมนุษย์ มันเหมือนกับผมกำลังแตะโดนมือของมนุษย์อีกคนที่ในบ้านของผมเอง
“พอกดสวิตช์ ไฟติด และมอบความรู้สึกปลอดภัยให้ผมอย่างที่ผมต้องการแล้ว ผมก็เริ่มเรียกหาภรรยา แต่ว่าไม่มีการตอบรับ
“ผมกลัวมาก ดังนั้นจึงรีบเปิดไฟทั้งหมดในห้อง ในที่สุด ผมก็เจอโน้ตที่ภรรยาของผมทิ้งเอาไว้ตรงโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่น
“เธอบอกว่าพ่อบุญธรรมของผมป่วยหนักมากและโรงพยาบาลก็บอกให้เธอไปที่นั่น เธอทำอาหารไว้ให้ผมทิ้งไว้ในตู้เย็น และถ้าผมจะกิน ก็แค่ต้องเอามาอุ่น
“ผมทิ้งกระดาษโน้ตไว้ที่เดิม ภรรยาของผมไม่ได้อยู่บ้าน ผมมองมือตัวเอง ผมแน่ใจว่าผมแตะถูกนิ้วของคนอื่นเมื่อครู่นี้ ดังนั้น มันก็มีแต่ต้องมีคนอื่นอยู่ในห้องนี้นอกจากตัวผมเอง
“ผมไม่กล้านอน ผมตรวจดูทุกซ่อนทุกมุมที่น่าจะเป็นสถานที่ซ่อนตัวได้ แต่ไม่เจออะไร ผมพยายามโทรหาภรรยา แต่ว่าไม่มีคนรับสาย
“ผมกลัวมาก ผมเปิดทีวีและเร่งเสียงดังสุด จากนั้นผมก็ชงกาแฟเข้ม ๆ ให้ตัวเองกินหลายแก้ว ผมวางแผนจะอยู่ในห้องนั่งเล่นตลอดทั้งคืนและจากนั้นก็ย้ายออกไปจากที่น่ากลัวนี่ในเช้าวันรุ่งขึ้น
“ผมไม่ได้สนใจรายการในทีวีนัก ผมเอาแต่เติมกาแฟเพื่อสู้กับความง่วงงุนที่กำลังคืบคลานมา ในที่สุด ฟ้าก็สาง ผมทนไม่ไหวแล้วและเดินไปใช้ห้องน้ำ
“หลังจากเข้าห้องน้ำเรียบร้อย ผมยืนอยู่หน้าอ่างล้างมือ คิดจะใช้น้ำเย็น ๆ ล้างหน้าเสียหน่อย พอเปิดก็อก ดูน้ำที่ไหลออกมา ผมก็เริ่มรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองผมอยู่ ผมสงสัยว่าคนผู้นั้นที่ตามผมมาซ่อนอยู่ในห้องน้ำ ผมมองไปรอบ ๆ ห้องทางหางตา แต่ว่าห้องน้ำก็เล็กเกินกว่าที่ใครจะซ่อนอยู่ได้
“พอยืดตัวขึ้น ผมก็มองที่ภาพสะท้อนโทรม ๆ ของตัวเองในกระจก ผมส่ายหน้าและตัดสินใจจะย้ายออกโดยเร็ว ย้ายไปที่ที่มีคนอยู่มากกว่านี้
“พอวางผ้าเช็ดหน้าลง ผมก็ยังไม่สามารถสลัดความรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องออกไปได้ ยังไม่ทันได้มีโอกาสคิดเรื่องนี้ โทรศัพท์ก็ดัง ผมตกใจแทบตาย ผมรีบไปรับสาย– เป็นภรรยาผมโทรมา
“ท้องฟ้าสว่างแล้ว และภรรยาของผมก็บอกว่าเธอโทรหาผมหลายครั้งเมื่อคืนนี้ เธอเป็นห่วงมากเพราะว่าไม่มีคนรับสาย
“ตอนที่เธอพูดอย่างนั้น ผมก็เหงื่อหยดเป็นเม็ด เป็นเธอที่ไม่รับสายผมตลอดคืนนั้น ไม่ใช่ตรงข้ามกันอย่างนี้
“ผมมองไปยังสายโทรศัพท์อย่างไม่รู้ตัวและเกือบจะบอกเธอแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่จู่ ๆ เธอก็ถามผมว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องกับผมหรือเปล่า เธอได้ยินเสียงใครสักคนกำลังพูดบางอย่างย้ำ ๆ และเสียงก็คล้ายกับพ่อบุญธรรมผมมากอย่างน่าสงสัย เขากำลังพูดว่า ‘ดูด้านหลังแกสิ ดูด้านหลังแก…’
“ผมรีบหันหน้ากลับไป แต่ว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น มองเข้าไปในห้องน้ำ ผมก็เห็นแค่เงาสะท้อนของตัวเอง ยืนถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือมองกลับมาที่ผม
“ผมบอกภรรยาให้อยู่กับพ่อบุญธรรมของผมที่โรงพยาบาล หลังจากวางสาย ผมก็นั่งกลับลงไป แต่ยิ่งผมคิด ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี”
← ตอนก่อน