คำพูดของซย่าโหวฉิงเทียนทำให้ตี้อู่เฉินได้สติขึ้นมา
‘นั่นสินะ!’
‘หากว่าอวี้หลัวช่าคือเทพธิดา นางก็คงจะไม่ปฏิบัติเช่นนี้กับเขาหรอก’
‘แต่ว่า เหตุใดนางถึงได้หน้าตาคล้ายกันถึงเพียงนี้’
‘นี่มันเรื่องอะไรกันแน่นะ’
ตี้อู่เฉินจ้องมองอวี้หลัวช่าด้วยอาการงงงวย แยกแยะไม่ออกอยู่เป็นนาน
‘หากเทพธิดาและอวี้หลัวช่ายืนเคียงข้างกัน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เหมือนกัน ทำผมแต่งหน้าเหมือนกัน เกรงว่าแม้กระทั่งหัวหน้าเผ่าก็คงจะแยกไม่ออกเป็นแน่’
‘หรือว่าเทพธิดามีพี่น้องฝาแฝด’
“ท่านไม่ใช่เทพธิดาจริงๆ หรือ”
ตี้อู่เฉินยังคงไม่ล้มเลิกความคิด
“ข้าไม่เคยไปเหยียบแผ่นดินอู๋โยวสักครั้ง แล้วจะเป็นเทพธิดาของพวกเจ้าได้อย่างไรกัน!”
อวี้เฟยเยียนเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
เมื่อครู่ตอนที่ผ้าคลุมหน้าของนางถูกกระตุกลง สีหน้าท่าทางของตี้อู่เฉินดูไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ
เทพธิดาแห่งเผ่าตันขวา รูปร่างหน้าตาเหมือนกันกับนาง นี่ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม! นางกับเผ่าตันขวาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยด้วยซ้ำ!
“เทพธิดาของพวกเจ้าหน้าตาเหมือนข้าอย่างนั้นหรือ”
อวี้เฟยเยียนเอ่ยถาม
“เหมือนกันทุกประการ เพียงแค่นิสัยเท่านั้นที่แตกต่าง”
ตี้อู่เฉินพยายามทบทวนความจำอย่างเต็มที่
หลายปีที่ผ่านมา เทพธิดาได้รับความคุ้มครองจากหัวหน้าเผ่าเป็นอย่างดี นอกเสียจากวันก่อกำเนิดของราชาโอสถที่นางจะปรากฏกายสักครั้ง ในเวลาปกตินางแทบไม่เคยออกหน้ามาให้เห็นเลย
ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะเคยพบเทพธิดาเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ตี้อู่เฉินก็จดจำรูปโฉมของนางได้เป็นอย่างดี
นึกไม่ถึงเลยว่าบนแผ่นดินหลัวอวี่จะมีผู้ที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกับเทพธิดามากขนาดนี้ ต่อให้เป็นพี่น้องแท้ๆ ก็ไม่น่าจะเหมือนถึงเพียงนี้
เหนือความคาดหมายจริงๆ!
“เหอะๆ หากเป็นเช่นนี้ละก็ ต่อไปข้าก็จะอาศัยใบหน้านี้แหละ ปลอมตัวเข้าไปอยู่กับชาวตันขวา!”
อวี้เฟยเยียนยิ้มกริ่ม
“เชื่อแน่ว่าจะต้องตบตาผู้คนมากมายได้!”
คำพูดของอวี้เฟยเยียนทำให้ตี้อู่เฉินถึงกับงงงวย
‘แย่แล้ว! เขาดันหลุดปากความลับของตันขวาออกไปแล้วเสียด้วย’
หากว่าอวี้เฟยเยียนเดินทางไปที่อู๋โยวแล้วร่วมมือกับพวกตันซ้าย มาหาเรื่องชาวตันขวาละก็ ใบหน้านี้ของนางก็จะถือเป็นเครื่องมืออันร้ายกาจที่จะใช้ในการชักนำผู้คนได้!
“เมื่อครู่ข้าพูดจาเหลวไหลเท่านั้นเอง…”
ตี้อู่เฉินยิ่งพูดเสียงของเขาก็ยิ่งเบาลงๆ จนสุดท้ายก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก
“สิ่งที่เจ้าพูดมาจะจริงหรือเท็จ เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน!”
ซย่าโหวฉิงเทียนยื่นมือไปวางบนศีรษะของตี้อู่เฉิน พลันแสงสีม่วงก็ครอบเขาเอาไว้ทั้งร่าง เสียงกรีดร้องโหยหวนของตี้อู่เฉินดังระงม ในขณะที่เขาพยายามตะเกียกตะกายเพื่อให้หลุดพ้นจากการควบคุมของซย่าโหวฉิงเทียน เวลาผ่านไปไม่นาน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ลดมือลง
ตี้อู่เฉินแข็งขาอ่อนเปลี้ยหมดเรี่ยวแรงทรุดลงบนพื้น เขายังไม่ได้สติ ยังคงจมอยู่ในความเจ็บปวดเมื่อครู่มิเสื่อมคลาย
ความทรงจำที่ดึงออกมาได้ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับตกตะลึง
ตี้อู่เฉินมิได้โกหก เขาคิดว่าอวี้เฟยเยียนคือเทพธิดาแห่งตันขวาจริงๆ
เห็นทีว่า ตันขวาจะต้องมีความลับอะไรที่บอกให้คนนอกรับรู้ไม่ได้เป็นแน่…
ถึงแม้ในช่วงเวลาสั้นๆ ซย่าโหวฉิงเทียนจะยังคาดเดาไม่ออกว่ามันคือความลับอะไรกันแน่ แต่สัญชาตญาณกำลังบอกเขาว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา!
มองดูใบหน้าดวงน้อยของอวี้เฟยเยียน ฉับพลันซย่าโหวฉิงเทียนจึงคาดการณ์ไปล่วงหน้าว่า บางทีอาจต้องรอให้ประมุขแห่งสกุลอวี้กลับมา เพราะไม่แน่ว่าเขาจะสามารถคลายความสงสัยในใจนี้ของตนได้
“ได้เบาะแสอะไรไหม”
เมื่อเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนไม่ตอบคำถาม อวี้เฟยเยียนก็ขมวดคิ้วพร้อมกับเดินไปตรงหน้าเขา
“หรือว่า…มีอะไรไม่ชอบมาพากล”
“ไม่มีอะไร” ซย่าโหวฉิงเทียนส่ายศีรษะเบาๆ
“กลับไปแล้วค่อยว่ากันเถอะ!”
“ได้!” อวี้เฟยเยียนเพิ่งจะกล่าวจบ
“จี๊ด จี๊ด”
หนูตัวหนึ่งวิ่งเข้ามา แล้ววิ่งหายเข้าไปในแขนเสื้อของตี้อู่เฉิน
เมื่อมองเห็นหนู ฉับพลันอวี้เฟยเยียนก็คิดขึ้นมาได้
ในเมื่อตี้อู่เฉินคือผู้ที่สร้างหนูพาหะนำโรคนี้ขึ้นมา เช่นนั้นแล้วหนูที่มีเชื้อโรคจะต้องคุ้นเคยกับกลิ่นของตี้อู่เฉินเป็นอย่างดี
หากจะทำลายแหล่งกำเนิดของโรค ก็สามารถใช้ตี้อู่เฉินเป็นเหยื่อล่อได้นี่นา!
ดังนั้นในเวลาต่อมา อวี้เฟยเยียนจึงสั่งการให้คนลากตี้อู่เฉินไปมัดเอาไว้ที่ลานกลางเมือง โดยที่ด้านล่างสุมฟืนจำนวนมากเอาไว้
หมอเทวดาฮั่วพูดถึงเรื่องการลงทัณฑ์ด้วยไฟ ทำให้อวี้เฟยเยียนจุดประกาย
จะกำจัดหนูพาหะนำโรคนี้ จะต้องใช้ไฟเท่านั้น
“ทีนี้ก็เหลือเพียงแต่ว่าจะล่อหนูออกมาอย่างไรเท่านั้นเอง”
ในขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังครุ่นคิดถึงปัญหานี้อยู่นั้น ตี้อู่เฉินที่เป็นลมหมดสติไปก็ร้องตะโกนขึ้น
หนูตัวเมื่อครู่กัดเข้าที่บาดแผลของตี้อู่เฉิน ทั้งยังเคี้ยวเศษเนื้อของเขาอีกด้วย นั่นทำให้ตี้อู่เฉินร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด
ส่วนบาดแผลนั้นก็คือตำแหน่งที่ตี้อู่เฉินเคยเปิดให้ตรวจก่อนหน้านี้นั่นเอง
เพื่อที่จะแฝงตัวเข้ามาในหอคืนชีพ เขาลงทุนลงแรงไปไม่น้อยทีเดียว
“ข้าคิดออกแล้ว!”
อวี้เฟยเยียนตบพื้นด้วยความดีใจ
“ฉิงเทียน กรีดบนผิวของเขา ใช้เลือดของเขาล่อให้หนูพวกนั้นมากินเลือด!”
ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้าแล้วสั่งการให้คนไปหยิบดาบมาเล่มหนึ่ง เขาตวัดดาบกรีดลงไปบนร่างของตี้อู่เฉินโดยทั่ว
เลือดๆ ค่อยๆ ซึมออกมาทีละหยดๆ เพียงไม่นาน ตี้อู่เฉินก็กลายเป็นมนุษย์เลือดไปทันที
ซย่าโหวฉิงเทียนหยุดมือแล้วถอยออกไปยืนด้านข้างพร้อมกับอวี้เฟยเยียน
“จี๊ด จี๊ด”
เสียงหนูกลุ่มใหญ่ดังแว่วเข้ามา
โอ้ว น่าตกใจยิ่งนัก!
หมอเทวดาฮั่วที่ได้รับแจ้งข่าวจึงได้ตามมาดู เมื่อเห็นกองทัพหนูกลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามา ก็รีบจัดการโปรยยากำจัดหนูลงไปโดยรอบ ล้อมกรอบเป็นวงกลมทันที
หนูเหล่านั้นวิ่งอ้อมพวกเขาทั้งสามคนแล้วตรงดิ่งเข้าไปหาตี้อู่เฉิน
ตี้อู่เฉินที่เดิมทีเป็นมนุษย์เลือดก็ถูกหนูรุมกัดจนกลมเป็นลูกหนัง
หนูนับพันนับหมื่นตัวรุมทึ้งตี้อู่เฉินจนเขากลายเป็นลูกหนังโดยมีร่างของเขาอยู่ตรงกลาง
“อ๊าก ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย…”