ตอนที่ 972 - ผนึกวิชาบ่มเพาะ

The Divine Nine Dragon Cauldron

ซือหยูตากระตุก
  “เจ้าทำได้จริงรึ?”
  “ศิษย์น้องซือไม่ต้องสงสัยข้าเลยข้าคิดว่าเจ้าคงเจอกับสมบัติที่เป็นยันต์มาก่อนแล้ว…”
  ปิงหวูชิงกล่าว
  ซือหยูได้เจอกับยันต์ที่ใช้พลังได้มาก่อนยันต์ค่ายกลทลายค้อนของผู้เฒ่าจิงเคยไปอยู่ในมือของตระกูลเฉามาก่อน เมื่อมันใช้ มันจะสามารถปล่อยพลังของค่ายกลทลายค้อนมาได้ มันเหมือนกับพลังค่ายกลทลายค้อนของจริง แต่มันใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
  และยันต์ก็หายากเพราะการสร้างนั้นจะทำให้สมบัติต้นแบบเสียหายอย่างหนักถ้าหากสร้างยันต์มากเกินไป สมบัติต้นแบบจะถูกทำลายได้
  สมบัติวิเศษที่ใช้ทำยันต์จึงมักจะเป็นของที่ใช้ไม่ได้หากไม่มีเจ้าของและการขายสมบัติไปเฉย ๆ ก็น่าเสียดาย ดังนั้นเจ้าของสมบัติจึงตัดสินใจใช้มันสร้างยันต์ขึ้นมา
  “ข้าเคยเห็น”
  ซือหยูพยักหน้าอย่างใจเย็น
  ปิงหวูชิงพูด
  “ถ้าเช่นนั้นก็ง่ายถ้าเจ้าเชื่อใจข้า ข้าจะช่วยเจ้าทำยันต์ฝ่ามือเทพดับสวรรค์ และเจ้าจะใช้มันได้หลายครั้ง”
  “วิชาบ่มเพาะมันไม่ต่างกับสมบัติวิเศษรึ?”
  ซือหยูถามสมบัติวิเศษใช้สร้างยันต์ได้ก็จริง แต่วิชาบ่มเพาะก็ทำได้หรือ?
  “เป็นไปได้สิแต่เจ้าต้องใช้วิธีพิเศษ มีแค่ข้าที่ทำได้…”
  ปิงหวูชิงกล่าว
  “เจ้าต้องการอะไรตอบแทนจากข้า?”
  ซือหยูตกลงที่จะช่วยนางในการต่อสู้สุดท้ายที่แดนมณีแล้วแล้วนางจะต้องการอะไรอีก? นางอยากจะขวางปิงหวูชิงอีกคนอีกครั้งหรือ?
  “เจ้าไม่ต้องกังวลนักก็แค่คำของ่าย ๆ”
  ปิงหวูชิงยิ้มสดใส
  “ตราบเท่าที่เป็นคำขอที่ยอมรับได้ข้าก็เต็มใจทำ แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องสร้างยันต์มาก่อนสามชิ้น”
  ปิงหวูชิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มนางหยิบชิ้นกระดาษสีทองเก่า ๆ สามแผ่นขึ้นมา มีรูปกระบี่วาดอยู่บนกระดาษ มันให้ความรู้สึกแสบร้อนเหมือนกับกระบี่เพลิง
  “นี่คือยันต์สามแผ่นที่ข้าเคยใช้มันเสียหายไปบ้าง มันเสียพลังไปแล้ว ตราบเท่าที่เจ้าผนึกพลังของเจ้าเอาไว้ในยันต์ เจ้าจะใช้ยันต์นี้ปล่อยพลังได้ ถึงจะมีคนรู้ว่าเจ้าใช้ฝ่ามือเทพดับสวรรค์ เจ้าก็แค่พูดว่าเจ้าซื้อยันต์มาจากตลาดมืด ยันต์วิชานี้มีขายในตลาดมืดอยู่แล้ว มันไม่ใช่ความลับ ถึงจะหาซื้อยาก็เถอะ”   ซือหยูพยักหน้า
  “มาโจมตีใส่ข้า…”
  ซือหยูลังเลแต่เขาก็สบายใจขึ้นเมื่อคิดถึงฐานพลังของนาง แม้ว่านางจะไม่เผยรังสีพลังออกมาเลย ซือหยูที่เคยเห็นจ้าวเทวะมามากมายก็บอกได้ว่านางคือจ้าวเทวะระดับเก้า นางมีพลังในจุดสูงสุดของขอบเขตจ้าวเทวะแล้ว
  “ย่อมได้แต่ระวังด้วย”
  ซือหยูเริ่มใช้ฝ่ามือเทพสุริยาแสงตะวันก่อรวมที่มือขวา ตะวันกระจ่างลอยขึ้น มันเปล่งแสงรายล้อมพื้นที่โดยรอบและพุ่งไปยังปิงหวูชิงอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งทุกอย่างในรัศมีตะวันหลอมละลายไป พวกมันถูกลบหายไปจากโลก
  เมื่อแสงตะวันเข้าใกล้ปิงหวูชิงนางไม่ได้พยายามจะป้องกันตัว นางเพียงแค่ยื่นดัชนีเดียวไปสัมผัสแสงสุริยา จากนั้นภาพอันน่าตกตะลึงจึงบังเกิด แสงสุริยาที่โอบล้อมทั้งนภาหยุดนิ่งลง มันถูกม่านพลังสีครามบาง ๆ ห่อหุ้มมเอาไว้
  ซือหยูที่เป็นผู้ใช้พลังเองก็ถูกมันขวางไว้เช่นกันแสงตะวันเริ่มเข้าไปยังยันต์ในมือปิงหวูชิง ยันต์เริ่มเต็มไปด้วยพลังมหาศาล
  ซือหยูตากระตุก
  “เจ้าผนึกวิชาได้ด้วยรึ?”
  นี่คือความสามารถที่ปิงหวูชิงคนนี้ผู้เดียวเท่านั้นที่ทำได้คำอธิบายเดียวก็คือนางครอบครองสายโลหิตกระบี่สวรรค์ ปิงหวูชองมีสายโลหิตที่มีพลังผนึกวิชาบ่มเพาะ
  ปิงหวูชิงเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ตอบนางกำลังบอกให้ซือหยูใช้พลังต่อไป ไม่นานพลังของซือหยูก็ถูกผนึกอยู่ในยันต์ทั้งสาม novel-lucky
  ปิงหวูชิงก้าวเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้ม นางยื่นยันต์ทั้งสามใส่มือซือหยู
  “ข้าทำยันต์เสร็จแล้วทีนี้ ถึงตาเจ้าที่ต้องทำตามคำขอเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้า”
  ซือหยูตอบกลับ
  “ข้าจะปฏิเสธหากเป็นอันตราย”   “ศิษย์น้องซือนี่ก็แค่คำขอเล็กน้อย เจ้าไม่ต้องกังวลนัก…”
  ปิงหวูชิงพูดด้วยรอยยิ้ม
  “หลับตาสิ”
  ซือหยูขมวดคิ้วเขาหลับตาหลังจากลังเล
  ปิงหวูชิงยื่นดัชนีที่เหมือนกับหยกของนางแตะหน้าผากซือหยูสัมผัสนั้นนุ่มนวลอบอุ่น มันเหมือนกับหยกอุ่นที่นุ่มลื่น
  “เจ้าลืมตาได้แล้ว”
  ปิงหวูชิงพูด
  ซือหยูลืมตาด้วยความสงสัยแม้เขาจะหลับตา เขาก็เพ่งความสนใจไปที่ทุกการเคลื่อนไหวของนาง มันเรียบง่ายเช่นนี้เชียวรึ? ซือหยูสับสน แต่ปิงหวูชิงก็ไม่ได้ทำอันตรายกับเขา
  “เอาล่ะ!ศิษย์น้องซือ เจ้าออกไปได้แล้ว เจ้าเหลือเวลาอีกไม่มาก…”
  ปิงหวูชิงพูดอย่างมีเลศนัย  เขาเหลือเวลาไม่มากรึ?ซือหยูผงะ หรือว่าแดนมณีกำลังจะเปิดแล้ว?
  “ลาก่อน!”
  ซือหยูประสานหมัดก่อนจะเดินออกไปทางประตู
  ปิงหวูชองมองซือหยูพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัยที่มุมปากการที่นางแตะหน้าผากเขานั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
  หลังซือหยูออกจากตำหนักในเขารีบเดินทางกลับตำหนักนอก มีป่ากว้างอยู่ระหว่างตำหนัก มีสัตว์อสูรอยู่มากมาย มีสัตว์อสูรภูติระดับเก้าหลายตัว และเขามักจะเจอกับสัตว์อสูรจ้าวเทวะด้วย แต่พวกมันก็ไม่ได้เป็นภัยต่อเขา
  ไม่นานหลังจากซือหยูออกจากตำหนักในสายลมเย็นพัดเข้าใส่เขา เขารู้สึกว่ามีคนกำลังขวางทาง
  เขาหันไปมองและพบจ้าวเทวะระดับเจ็ดคนหนึ่งตามเขามาติดๆ เขาอายุราวยี่สิบห้าปีมีผิวดำและสายตาดุร้าย ทั้งร่างเปล่งรังสีราวกับสัตว์ป่า เขาเหมือนกับสัตว์ป่าดุร้ายที่กำลังตามล่าคน
  “ศิษย์พี่ตามข้ามาทำไมรึ?ต้องการสิ่งใดหรือไม่?”
  ซือหยูมองดูชุดของเขาและพบว่าเขาคือศิษย์ใน
  ชายหนุ่มผมคล้ำบินต่อไปจนอยู่ห่างจากซือหยูสักสามร้อยศอกเขาไม่ได้ปิดบังพลังที่แข็งแกร่งทั้งหมดในตัว และพลังนั้นก็โอบล้อมซือหยูมาแล้ว
  หากซือหยูเป็นภูติระดับเก้าทั่วไปก็คงยากที่จะหายใจเมื่อถูกพลังเช่นนี้ปกคลุมไม่ต้องพูดถึงการเผชิญหน้ากับชายหนุ่มคนนี้เลย
  แต่ซือหยูเคยต่อสู้กับอสูรเนรมิตรมาแล้วหลายครั้งเขาจะกลัวพลังของคนผู้นี้หรือ?
  “เจ้าคือซือหยูเซี่ยนใช่ไหม?”
  ชายผิวคล้ำถามเผยให้เห็นฟันขาวราวมุกมันตรงกันข้ามกับผิวดำคล้ำของเขาอย่างสิ้นเชิง
  น้ำเสียงของเขาไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อยซือหยูพูดอย่างเย็นชา
  “เจ้าเป็นใคร?”
  ชายผิวคล้ำมองดูซือหยูเป็นเรื่องยากที่ภูติจะพูดตอบเมื่อถูกพลังของเขาโอบล้อม แต่ซือหยูกลับไม่ได้รับผลกระทบเลย เขาถึงกับถามย้อนกลับมา
  “ข้าจะเป็นใครไม่สำคัญแต่เรื่องที่สำคัญคือถ้าเจ้าไม่อยากตาย เจ้าต้องบอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับศิษย์น้องปิงในตอนที่เจ้าอยู่เรือนนาง…”
  ชายผิวคล้ำถาม
  ซือหยูจ้องกลับ
  “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
  “หึหึไอ้แก่ เจ้ามันอวดดีนัก เจ้าคิดจริง ๆ รึว่าเจ้าจะดูถูกใครก็ได้แค่เพราะว่าเจ้ารู้ภาษาไม้และมีกายาวิญญาณ?”   ชายผิวคล้ำแสยะยิ้ม
  “เจ้าอวดดีต่อหน้าศิษย์ทั่วๆ ไปได้ แต่เจ้ามันไม่ใช่ใครที่ไหนหากเทียบกับศิษย์พี่เทียนหยู”
  ซือหยูผงะเขาคิดว่าชายผิวคล้ำตามเขามาด้วยความหึงหวง แต่เขาถูกตามมาเพราะคำสั่งของเทียนหยู
  และที่ซือหยูยิ่งงุนงงกว่าก็คือเทียนหยูนางคือสตรีฝ่ายสำนักขวา นางเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานในลำดับที่สองของทั้งตำหนัก นางอายุยังน้อยแต่ก็เป็นจ้าวเทวะระดับเก้าแล้ว นางเหนือกว่ายอดฝีมือนับไม่ถ้วน
  จ้าวเทวะระดับเก้านั้นคือระดับที่ยอดฝีมือมากมายในจิวโจวไม่เคยมาถึงแม้จะใช้เวลาทั้งชีวิตแต่นางกลับทำได้ จากฐานพลังของนางอย่างเดียวก็บอกได้ว่านางไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าปิงหวูชิงอีกคน
  ถ้าหากชื่อเสียงของปิงหวูชิงมิได้มีชื่อเสียงโด่งดังและตระการตาเหนือกว่าใครเช่นนี้นามเทียนหยูคงจะได้มาแทนที่  คนนอกเพียงแค่รู้ว่าตำหนักโลหิตมียอดสตรีคนเดียวซึ่งก็คือปิงหวูชิงพวกเขาไม่รู้เลยว่ามีเทียนหยูที่ทรงพลังอยู่ด้วย
  และเป็นไปไม่ได้ที่ซือหยูจะไม่รู้จักชื่อนางและนี่คือเหตุผลที่เขางุนงง เขาถามชายผิวเข้มด้วยความสงสัย
  “นางขอให้เจ้ามาหรือ?หรือว่าเจ้าแค่เอาชื่อเทียนหยูมาอ้าง?”