“…ขอบคุณ”ระหว่างทานอยู่ในที่สุดไป๋ซู่เย่ก็ชิงเอ่ยทำลายความเงียบนี้ก่อน

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ผมไม่ได้ทำเพราะความหวังดี” เย่เซียวเชยตามองเธอแวบหนึ่ง “อย่าคิดว่าป่วยแล้วผมจะปล่อยคุณไป”

เธอยิ้ม “ฉันก็รู้ว่าคุณไม่ได้หวังดีแต่ก็ต้องขอบคุณ ไม่ว่ายังไงฉันดีขึ้นได้เพราะคุณให้ยาลดไข้”

“ยาพวกนั้นในกล่องยา…” เย่เซียวกล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดมือที่ทานข้าวอยู่ มองเธอด้วยสีหน้าประชดน้อยๆ “ทำไม เรื่องสิบปีก่อนสร้างแผลในใจให้ท่านรัฐมนตรีไป๋อย่างนั้นเหรอ? ทำเรื่องแบบนั้นไปก็กลัวผีมาเคาะประตูกลางดึกเลยนอนไม่หลับ ซึมเศร้า มีปัญหาทางจิต?”

เขาไม่อยากยอมรับว่าน้ำเสียงของตนนั้นแฝงการลองเชิงปนคาดหวังอยู่บางส่วน

ปีที่แยกจากกันสำหรับเธอแล้วมีผลกระทบมากแค่ไหน? หรือว่าคนที่เจ็บปวดมาตลอดมีเพียงคนเดียว

แค่เขาคนเดียว?

ไป๋ซู่เย่ลมหายใจขาดห้วง

เธอไม่คิดว่าจะถูกเขาเห็นยาลับๆ เหล่านั้นของตัวเองเข้า เธอเป็นคนรักในศักดิ์ศรี ด้านที่อ่อนแอของตนหรือมุมที่ย่ำแย่ ไม่อยากให้คนอื่นรู้ โดยเฉพาะเขาไม่ได้เด็ดขาด

“ถึงฉันจะใจเหี้ยมแต่สิบปีก่อนก็มีคนตาย บางครั้งตอนนึกถึงเลยอดรู้สึกแย่ไม่ได้ แต่ไม่ถึงขั้นที่คุณคิดหรอก ยาพวกนั้นเป็นยาที่สายลับอย่างเราต้องพกติดตัว คุณไม่ต้องคิดมาก” ไป๋ซู่เย่จงใจแสดงท่าทีสบายๆ ตักโจ๊กข้าวปากหนึ่งคำก่อนจะกล่าวต่ออย่างไม่รีบร้อนอะไร “ตอนนั้นฉันแค่ปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของเบื้องบน ด้านหนึ่งฉันไม่ได้ทำผิดต่อรัฐ อีกด้านก็ทำตามหน้าที่ให้สมกับเงินภาษีของประชาชน ฉันจะต้องกลัวอะไรล่ะ?”

ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเธอต้องมีปฏิกิริยานี้…ไร้ความปรานี สุขุมและโหดเหี้ยม แต่ขณะที่คำพูดเหล่านั้นกลั่นออกมาจากปากเธอนั้นยังคงทิ่มแทงโสตประสาทการรับรู้ของเขาอยู่ดี

“คุณไม่ได้ทำผิดต่อรัฐและประชาชน ถ้างั้น ไป๋ซู่เย่ คุณทำผิดต่อผมไหม?” จู่ๆ เขาคิดว่าการที่มาดูแลเธอที่นี่มันช่างเป็นการหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ! “ผิดต่อลูกน้องที่ตายไปทั้งหมดของผมไหม?”

ทุกถ้อยคำคล้ายเล็ดลอดออกจากไรฟัน ใบหน้าฉายแววคุกรุ่นเต็มที ปลายนิ้วบีบปลายคางเธออย่างแรง

ไป๋ซู่เย่ในตอนนี้อ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพอถูกเขาบีบเข้าสีหน้ากลับแย่ลงกว่าเดิมแต่ไม่ได้ขัดขืน แค่ใช้มือจับข้อมือเขาเบาๆ สายตาแน่วแน่สบตาเขานิ่ง “เรื่องความภักดีกับคุณธรรมมันอยู่คู่กันไม่ได้มาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว ต่อหน้าผลประโยชน์ของประเทศชาติ ความสัมพันธ์พี่น้อง พ่อแม่ลูก คุณคิดว่า…เทียบกันได้ไหม?”

เทียบกันได้ไหม?! หมายความว่าในสายตาเธอ ความรักที่เขามอบให้ ล้วนเป็นแค่อาวุธที่เธอใช้ทำลายเขา!

“ฉะนั้น หากย้อนเวลากลับไปได้ คุณก็จะเลือกทางเดิม? ใช่ไหม?” ลมหายใจเขาหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ

ขนตาเธอกะพริบสั่น สุดท้ายคำที่เปล่งเสียงออกมาจากระหว่างปากคือ “…ใช่”

หากเลือกใหม่ได้เธอจะเลือกอย่างไร? สิบปีมานี้ไป๋ซู่เย่เคยถามตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน สัจจะกับหน้าที่ สุดท้ายคงอนุญาตให้เธอเลือกหน้าที่สินะ…

เย่เซียวกระชับแรงที่มือจนเส้นเลือดตรงหน้าผากปูดโปน ดวงตาแดงก่ำทำให้เขาดูโกรธเกรี้ยวและป่าเถื่อน เขาอยากจะบีบเธอให้ตายทั้งอย่างนี้เสียจริง!

แต่ท้ายที่สุดก่อนที่อารมณ์จะอยู่เหนือการควบคุม เขาสะบัดมือปล่อยเธอก่อนจากไปด้วยความเย็นชา

ประตูกระแทกปิดรุนแรง ไป๋ซู่เย่นั่งอยู่ตรงนั้นและหายใจเข้าออกแรงๆ หลายทีลมหายใจถึงกลับมาลื่นไหลเหมือนเดิม แต่หน้าอกเหมือนยังมีก้อนหินมหึมากดทับไว้อยู่

ความจริงการที่ทั้งสองคนไม่เข้ากันเหมือนไฟกับน้ำแบบนี้ก็ดี ไม่อย่างนั้นอีกยี่สิบสองวันที่เหลืออยู่จะให้เธอปล่อยวางความสัมพันธ์นี้ได้อย่างไร แล้วจะโล่งอกได้อย่างไร?

เธอไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด…

ไม่รู้ว่านั่งอยู่นานเท่าไรจวบจนโจ๊กบนโต๊ะเย็นหมดแล้ว โทรศัพท์เธอดังขึ้นเพียงครู่ หยิบมาดูเห็นว่าเป็นข้อความสั้นๆ

ช่วงนี้อย่าโผล่มาให้ผมเห็นหน้า ไม่อย่างนั้นรับผิดชอบผลเอง!

แม้อยู่ตรงหน้าจอโทรศัพท์ยังสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองในน้ำเสียงเขาได้ ไป๋ซู่เย่วางโทรศัพท์ลงเงียบๆ

ดูเหมือนว่าสามสิบวันแสนสั้นนี้ เธอจะได้เปรียบเสียแล้ว…

………………………………

หนึ่งสัปดาห์ต่อมาเย่เซียวไม่เคยเรียกหาเธออีกเลย แน่นอนว่าเธอก็ไม่เคยติดต่อเย่เซียวก่อน เริ่มแรกอาการนอนไม่หลับเธอกำเริบอีกแล้วแต่สองวันนี้ปรับตัวได้ นอนเต็มอิ่มดี

บางทีเย่เซียวน่าจะจบสัญญาสามสิบวันนี้ล่วงหน้าแล้วล่ะ

เพียงแต่เธอคิดไม่ถึงว่า…

หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง…

วันจันทร์ เมื่อเธอก้มหน้าจัดเอกสารภารกิจใหม่ในห้องทำงาน อวิ๋นช่วนโทรมา

“ซู่ซู่ คืนนี้ว่างไหม?”

“ทำไมเหรอ?”

“คืนนี้มีงานเลี้ยงโชว์สินค้าที่สำคัญงานหนึ่ง ผมขาดคู่ควง ตอนนี้คนที่นึกได้คนเดียวก็เหลือแค่คุณแล้ว”

ไป๋ซู่เย่ดูเวลาแวบหนึ่ง “ได้ กี่โมงล่ะ? ฉันเลิกงานแล้วไป ทันไหม?”

“ทันอยู่แล้ว งานเลี้ยงเริ่มสองทุ่ม”

“ฉันต้องใส่ชุดราตรีสีอะไร?”

“สีม่วงก็พอ เนกไทของผมวันนี้คือสีม่วง”

“โอเค ถึงตอนนั้นฉันขับรถไปเอง คุณส่งตำแหน่งสถานที่จัดงานเลี้ยงมาให้ฉันก็พอ”

ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ปฏิเสธอวิ๋นช่วน ไม่มีเหตุผลอื่นแค่เธอคิดได้แล้ว

ตลอดชีวิตของเธออีกยาวไกล ไม่ว่าจะทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อให้ผู้ใหญ่ที่บ้านสบายใจ เธอไม่มีทางครองโสดไปตลอดชีวิต

อวิ๋นช่วนเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง เธอไม่ได้คิดจะคบกับเขาในทันที แต่ตอนนี้ลองทำความรู้จักกันไปก่อน เธอคิดว่าตัวเองไม่มีความจำเป็นที่ต้องต่อต้าน

ความจริงอวิ๋นช่วนคิดเช่นเดียวกับเธอ ปัจจุบันเป็นสังคมนิยมอาหารฟาสฟู้ด ‘พบหน้ากันแค่ครั้งเดียวก็คบ สองครั้งก็ขึ้นเตียง’ อะไรแบบนี้ไม่เข้ากับพวกเขา เป็นเพื่อนกันไปก่อนก็ไม่แย่

ทั้งสองคนจะได้ไม่รู้สึกกดดันเกินไป

ไป๋ซู่เย่เลิกงาน ตกแต่งตัวเองเป็นพิเศษเพื่อเป็นการให้ความร่วมมือเขา เสร็จถึงรีบไปยังงานเลี้ยง

เมื่อเธอไปถึง อวิ๋นช่วนก็ยืนรอเธอที่ข้างนอกด้วยชุดเป็นระเบียบ

“รอนานแล้วเหรอ?”ไป๋ซู่เย่พูดขึ้นด้วยความรู้สึกผิด “ระหว่างทางรถติดนิดหน่อยน่ะเลยมาช้าไปหน่อย”

“ไม่เป็นไร ผมก็เพิ่งถึง” อวิ๋นช่วนยกแขนขึ้นน้อยๆ ไป๋ซู่เย่ควงแขนเขาอย่างรู้หน้าที่

ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะเข้าไปเห็นเพียงขบวนรถที่ขับเคลื่อนเข้ามาใกล้ แสงไฟหน้ารถแสบตาอย่างมาก สาดส่องให้ค่ำคืนที่มืดมิดสว่างโร่เหมือนกลางวัน ไป๋ซู่เย่เผลอหันข้างไปมองโดยไม่รู้ตัว แค่แวบเดียวก็เห็นรถและทะเบียนแสนคุ้นตาในขบวนรถ…

“งานเลี้ยงคืนนี้เป็นงานอะไรเหรอ?” ไป๋ซู่เย่ถามอวิ๋นช่วน

“จัดโดยสมาคมการค้าน่ะ คนที่มาเป็นคนในวงการธุรกิจกันทั้งนั้น”

เย่เซียวเป็นบุคคลที่คาบเกี่ยวทั้งการทหาร การเมือง ธุรกิจ เขาปรากฏตัวที่นี่ได้คงไม่แปลกหรอก

ไป๋ซู่เย่นึกถึงคำเตือนแสนใจร้ายในวันที่เย่เซียวกลับไปวันนั้นเธอก็ดึงสติกลับมา “เราเข้าไปกันเถอะ”

…………………………………….