ตอนที่ 641 กลับสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง (1)

อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก!

ตอนที่ 641 กลับสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง (1) โดย Ink Stone_Romance

“คุณไป๋” ช่วงจังหวะที่เธอหันหลังมีเสียงหญิงสาวที่คุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลังกะทันหัน เธอนิ่งชะงักไป อวิ๋นช่วนก้มถาม “รู้จักเหรอ?”

“ไม่ได้สนิทกันมาก”

“จะทักทายไหม?” อวิ๋นช่วนเคารพการตัดสินใจของเธอร้อยเปอร์เซ็นต์

เธอพยักหน้าแล้วค่อยๆ หันหลังกลับไป

คืนนี้เย่เซียวอยู่ในชุดสูทสีเข้มเป็นทางการ น่าหลันที่อยู่ข้างๆ สวมชุดราตรีสีขาวล้วนขับให้ดูสะอาดสดใสอย่างมาก ควงแขนเขายืนอยู่เคียงข้างก็ยิ่งทำให้ดูตัวเล็กเข้าไปกันใหญ่ แม้ทั้งคู่จะอายุห่างกันไปสิบกว่าปี ก็ได้แต่บอกตามตรงว่านอกจากจะดูไม่ออกว่าอายุห่างกัน กลับดูเหมาะสมกันเสียมากกว่า

หยูอันยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา

สายตาที่มองประเมินของไป๋ซู่เย่ในวินาทีสุดท้ายก่อนถอนกลับไป ได้ประสานสายตาที่เย็นชาของเย่เซียว ใจเธอกระตุกวูบก่อนเบี่ยงสายตาหลบ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ มักรู้สึกว่าสายตาของเย่เซียวราวกับกำลังจดจ้องแขนที่กำลังควงอวิ๋นช่วนของเธออยู่ไม่ห่าง

ก่อนหน้าเขาต้องการให้เธอซื่อสัตย์ต่อเขา ตอนนี้ทั้งคู่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมานานขนาดนี้ คงไม่ต้องแล้วใช่ไหม?

“คุณไป๋ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ” คนที่ชิงพูดขึ้นก่อนยังคงเป็นน่าหลัน เธออมยิ้มเล็กน้อยคล้ายไม่รู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัดในขณะนี้สักนิด

“นานจริงๆ”

น่าหลันเพ่งความสนใจไปที่อวิ๋นช่วนในพริบตา “นี่คือว่าที่แฟนที่คุณบอกไว้คราวก่อนสินะ? หรือว่าเพราะตอนนี้เป็นแฟนของคุณไปแล้วคุณเลยไม่มาอีก?”

ว่าที่แฟน…

อวิ๋นช่วนยิ้ม “เธอบอกคุณอย่างนี้จริงๆ หรือครับ?”

“อื้ม ใช่ค่ะ”น่าหลันพยักหน้ารับพลางหันไปมองเย่เซียวข้างๆ “ตอนนั้นคุณเองก็ได้ยินนี่นา ใช่ไหม?”

เย่เซียวสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ และไม่ตอบคำถามของน่าหลัน

เล็งสายตาเย็นชาไปทางอวิ๋นช่วนจนสายตาของผู้ชายสองคนปะทะกลางอากาศ อวิ๋นช่วนสะดุ้งตกใจกับดวงตาคมของเขา

คนคนนี้…สัญชาตญาณนักล่ารุนแรงเกินไป น่ากลัวจริงๆ

หรือว่าตัวเขาไปทำความผิดกับเขาเข้าอย่างนั้นหรือ?

แต่นี่เพิ่งเจอกันครั้งแรกชัดๆ

“ควรไปได้แล้ว”เย่เซียวแค่เปล่งเสียงพูดขึ้นอย่างเย็นชาสั้นๆ ไม่ได้อึกทึก ไม่ได้ทักทายราวกับไม่อยากเสียเวลาปรายตามองพวกเขาแม้แต่แวบเดียว ย่างกรายเข้าไปข้างในด้วยท่วงท่าราวกับราชาในยุคสมัยก่อน

เขาเดินนำเข้าไปล่วงหน้า ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจยาวแต่สายตาหม่นลงแล้วหม่นลงอีกยามที่มองแผ่นหลังที่เดินควงคู่กันนั้น

“ผู้ชายคนนั้นก็เพื่อนคุณเหมือนกันเหรอ?”

ไป๋ซู่เย่ส่ายหัว “ไม่ใช่เพื่อนฉันสักคน เราเองก็เข้าไปกันเถอะ”

อวิ๋นช่วนได้แต่สงสัยเพราะฟังจากคำพูดของหญิงสาวเมื่อสักครู่ รู้ถึงการมีตัวตนของเขาได้มันไม่ใช่เพื่อนธรรมดาเลย แต่คำเรียกขานว่า ‘คุณไป๋’กลับห่างเหินอย่างว่าจริงๆ

ถึงอย่างนั้นอวิ๋นช่วนก็ไม่ถามให้มากความ แค่เดินเข้าไปพร้อมไป๋ซู่เย่

…………………………

มีคนมาร่วมงานมากมาย

ชายชายหญิงหญิงสลับซับซ้อนกันไปมา หากปล่อยให้ยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวเกรงว่าแค่ชั่วพริบตาก็คงหาไม่เจอแม้แต่เงา

แต่ไม่ใช่กับเย่เซียว…

ต่อให้มีคนมากแค่ไหน งานคึกคักอีกเท่าไร เขายังคงเป็นจุดรวมสายตาผู้คนอยู่วันยังค่ำ แค่เธอหันหน้าเพียงนิดก็สามารถเห็นเขาจากที่ไกลๆ ได้ ถูกผู้คนห้อมล้อมอยู่ตรงกลาง ชนแก้วกับแขกเป็นบางครั้ง เย็นชาแต่ไม่เสียมารยาท

ตลอดงานไม่รู้ว่าดึงดูดสายตาของหญิงสาวมากขนาดไหน ทุกคนต่างช้อนตามองด้วยความชื่นชม กระซิบพูดคุยว่าน่าเสียดาย

เนื่องจากคืนนี้น่าหลันคอยติดตามข้างเขาไม่ห่างราวกับกำลังประกาศให้ผู้หญิงทั้งโลกรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นของเธอ ห้ามใครแอบคิดเกินเลย เห็นได้ชัดว่าเย่เซียวเองก็ให้หน้าเธอเต็มที่ มือใหญ่โอบเอวเธอแทบไม่วางมือ

ไป๋ซู่เย่เลื่อนสายตาหนี กรอกเหล้าเข้าปากสองแก้วในครั้งเดียว แอลกอฮอล์ร้อนผ่าวไหลผ่านลำคอสู่กระเพาะ ความเย็นภายในถึงได้หายไปบ้าง

“น่าเบื่อเกินไปใช่ไหม?” อวิ๋นช่วนที่กลับจากพูดคุยกับคนอื่นเห็นแก้วเหล้าว่างเปล่าที่เธอวางลง

“เปล่า ยืนมองเฉยๆ แบบนี้ก็ดี” คนที่มาค่ำคืนนี้เป็นคนในวงการธุรกิจ คนในวงการธุรกิจเธอรู้จักไม่มาก แบบนี้กลับสบายเสียอีก ไม่จำเป็นต้องชนแก้วเยอะเกินไป

“เดี๋ยวเราเต้นรำไม่กี่เพลงก็ออกไปจากที่นี่กัน แค่มาก็พอแล้ว”

“ได้”

ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับ ดนตรีเชื่องช้าภายในงานค่อยๆ ดังขึ้น

การเต้นรำเปิดงานย่อมสำคัญ เดิมทีต้องเป็นการเต้นรำระหว่างประธานจัดงานกับคุณนาย แต่ประธานกลับเชื้อเชิญเย่เซียวกับน่าหลันอย่างเต็มที่ ความจริงเมื่อก่อนเย่เซียวไม่ชอบงานแบบนี้ เดิมทีไป๋ซู่เย่คิดว่าเขาคงปฏิเสธอย่างไม่ลังเล แต่ครั้งนี้เขาเปล่า กลับก้มหน้าถามความเห็นของน่าหลันที่อยู่ข้างกายก่อน

น่าหลันพยักหน้า เขาจึงจูงมือเธอค่อยๆ เดินเข้าสู่บริเวณฟลอร์เต้นรำ

แผ่นหลังของทั้งคู่โยกย้ายไปมาภายใต้สายตาอิจฉาและอึ้งทึ่ง สิบปีผ่านไป ท่วงท่าการเต้นรำของเย่เซียวยังดูดีไม่เปลี่ยน

“พวกเขาเหมาะสมกันจริงๆ เลยนะ”

“ผู้หญิงคนนั้นน่าจะอายุน้อยอยู่สินะ ดูท่าทางก็ประมาณยี่สิบ แต่เย่เซียวสามสิบสองแล้ว”

“ผู้ชายตอนนี้น่ะนะ ก็ต้องชอบคนอายุน้อยๆ สิ เธอดูคนเขาอายุสิบแปดหน้าใสขนาดไหน หน้าเล็กๆ ฉ่ำจนน่าจะบีบน้ำออกมาได้”

เสียงกระซิบของคนข้างๆ แว่วเข้าหูไป๋ซู่เย่ เธอมองภาพที่ดูมีความสุขตรงหน้าจากไกลๆ ขอบตาร้อนผ่าวและเริ่มรื้นด้วยม่านใสบางๆ อย่างไม่รู้ตัว

เขามีความสุขก็พอ…

“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” อวิ๋นช่วนรู้สึกถึงความผิดปกติของเธอจึงแอบเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร”ไป๋ซู่เย่ส่ายหัว “แค่เห็นภาพสามีภรรยาแต่ละคู่แล้วเศร้าใจน่ะ โสดนานเกินไปบางทีก็แอบเสียใจหน่อยๆ”

“คุณเป็นคนขี้อ่อนไหวขนาดนี้เลยเหรอ? ไม่เหมือนเลยจริงๆ”

“ฉันดูเป็นคนแยกแยะมีเหตุผลเกินไปเหรอ?”

อวิ๋นช่วนพยักหน้าหนักแน่น “มาก”

เธอหัวเราะแล้วพูดตรงไปตรงมา “ฉะนั้นเมื่อกี้ที่ฉันพูดน่ะโกหกคุณหรอก ตอนนี้การเต้นรำเปิดงานจบแล้ว เราก็น่าจะเข้าไปเต้นรำได้แล้วใช่ไหม?”

“แน่นอนอยู่แล้ว เป็นเกียรติของผมเลย!” อวิ๋นช่วนโค้งตัวคำนับหน่อยๆ ยื่นมือให้เธออย่างสุภาพบุรุษ เธอยิ้มก่อนวางมือซ้อนมือเขา ไม่มองคู่ที่อยู่อีกทางหนึ่งอีกแม้แต่แวบเดียว

…………………………

น่าหลันจับสังเกตความผิดปกติของเย่เซียวได้ตั้งนานแล้ว

เขาไม่ใช่คนชอบเต้นรำ หากเป็นปกติงานแบบนี้คงชิ่งหนีไปนานแล้ว แต่คืนนี้ไม่ใช่แค่เต้นรำกับเธอเป็นการเปิดงาน ตอนนี้เพลงที่สอง เพลงที่สาม เขาไม่มีท่าทีจะจบสักนิด

บางครั้งพวกเขาจะเต้นรำสวนไหล่กับไป๋ซู่เย่และอวิ๋นช่วน ไป๋ซู่เย่ยังคงรอยยิ้มบนใบหน้าคุยกับอวิ๋นช่วน เสียงพวกเขาเบามากและหน้าใกล้อย่างมาก ทำให้ดูจากท่วงท่าแล้วบรรยากาศคลุมเครือเล็กน้อย น่าหลันสังเกตว่าทุกครั้งที่พวกเธอผ่านพวกเขาไปสีหน้าเย่เซียวจะเย็นชามากขึ้นทีละนิดๆ สุดท้ายทั้งตัวเหมือนปกคลุมด้วยน้ำแข็งก็ไม่ปาน ทำให้น่าหลันไม่กล้าจะหายใจเสียงดังด้วยซ้ำ เป็นผลให้เต้นผิดจังหวะอีกต่างหาก

ขณะที่ทุกคนต่างจมอยู่กับความคิดตัวเอง กลับได้ยินเสียงดัง “พรึบ” ไฟภายในงานดับกะทันหัน

ดนตรีก็หยุดทันที

……………………………………..