TQF:บทที่ 655 อัดคนอีกครั้ง (5)

หยูเฮงน้อยจำอะไรไม่ได้นอกจากขนมแสนอร่อยได้ ทุกคนอดยิ้มไม่ได้

“เจ้าชอบกินขนมเหรอ รอสักครู่”

หวงฝู่เส้าจวินพูดกับหยูเฮงน้อยจบก็หันไปสั่งคนข้างๆไปห่อขนมมาให้เร็วที่สุด ให้หยูเฮงน้อยเอากลับไปกิน

การกระทำนี้ของเขาซื้อใจนักกินอย่างหยูเฮงน้อยได้ทันที ความรู้สึกดีที่มีต่อหนอนหนังสือเพิ่มขึ้นไปอีก รอยยิ้มบนใบหน้าเล็กๆไม่ได้ลดน้อยลงในขณะที่เฝ้ารอขนมอย่างมีความ

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่าทุกคนอยู่เงียบๆกันอย่างนี้จึงก้าวออกไปข้างหน้าและยกพู่กันบนโต๊ะขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงเบา “เพื่อตอบแทนการต้อนรับของพระโอรส พวกเรา 2 พี่น้องไม่มีอะไรจะให้นอกจากเขียนบทกวีสักบทให้พระโอรส”

ทุกคนเห็นว่านางจะเขียนบทกวีจึงพากันเดินออกมาข้างหน้า และก็ได้เห็นนางเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่ลงบนกระดาษ : ทำนองเพลงสายน้ำ

“จันทร์กระจ่างฟ้าจักมีในยามใด ยกจอกสุราขึ้นถามต่อฟ้า ไม่อาจรู้ว่าวิมานสรวงสวรรค์ตอนนี้เป็นปีที่เท่าไร”

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเขียนประโยคนึง หวงฝู่เส้าจวินก็อ่านตามประโยคนึง เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ไม่เพียงแต่เขาที่มีสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก แม้แต่คนอื่นๆก็มองคนที่เขียนอยู่ด้วยความทึ่ง

หวงฝู่หวั่นหรงอ่านต่อ “ข้าใคร่โดยสารวายุกลับไป แต่กลัวว่าวิมานงดงามจะเป็นแค่การหยอกล้อ ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว ร่ายรำเพื่อสร้างเพียงเงาเสมือน ไหนเลยเทียบได้กับโลกมนุษย์”

“แต่งกวีได้วิเศษมาก….”

“สุดยอด….”

“งานชิ้นเอก นี่เป็นงานชิ้นเอก…..”

“ดี เขียนได้ดี….”

เหล่าชายหนุ่มมีความรู้ที่ห้อมล้อมกันอยู่เอ่ยส่งเสียงชื่นชมไม่ได้ นัยน์ตาพวกเขาเป็นประกาย สายตาที่มองเฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ่งแตกต่างไปจากเดิม

“เดือนเคลื่อนไหวสาดแสงแดงชาดจนผู้คนมิอาจหลับใหล ไม่ควรมีความเกลียดชังไม่ว่าเรื่องใด เมื่อห่างหันไกลต่างคลี่คลาย” หวงฝู่ซู่ซินกระซิบเสียงเบา

จากนั้นหวงฝู่หยีมู่ก็เอ่ยปากตามตัวอักษรที่จรดลงด้วยปลายพู่กัน “อันมนุษย์ล้วนมีความเศร้าความสุขและการพลัดพราก ดั่งดวงจันทร์ที่มีข้างขึ้นข้างแรม เต็มดวงและเป็นเสี้ยว เป็นเช่นนี้มาเนิ่นนาน เพียงหวังว่าคนห่างไกลจะมีชีวิตยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ก็ได้ชมพระจันทร์ดวงเดียวกัน”

“เยี่ยม….”

“แปะๆๆๆๆ”

เมื่อเฉิงเสี่ยวเสี่ยววางพู่กันลง ทุกคนต่างปรบมือให้กับนาง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่คิดว่าทุกคนจะตื่นเต้นกันขนาดนี้ นางพยักหน้าให้ทุกคน แม้จะเป็นการลอกเลียนแบบ แต่ช่วยไม่ได้ที่โลกนี้ไม่มีผลงานชิ้นเอกของนักปราชญ์ซู นางจึงได้ประโยชน์เต็มๆ ถือซะว่ายืมบารมีของคนโบราณก็แล้วกัน

หวงฝู่เส้าจวินเก็บทำนองเพลงสายน้ำที่นางเขียนไว้ และอาสาออกไปส่งพวกนางด้วยตัวเอง พลางบอกให้พวกนางกลับมาเที่ยวเล่นที่ตำหนักองค์ชาย 3 อีก

ปฏิเสธไม่ได้จึงได้แต่รับปาก ส่วนจะมาหรือไม่และจะมาเมื่อไหร่ไม่ได้บอกไว้

เมื่อรถลากสัตว์วิญญาณของพวกนางออกไปแล้ว หวงฝู่หยีมู่ไม่ได้ตามลูกพี่ลูกน้องของตัวเองเข้าไป เขาเรียกม้าสวรรค์ออกมาทันทีและไล่ตามไปที่รถลากสัตว์วิญญาณของเฉิงเสี่ยวเสี่ยว

“แม่นางเฉิง แม่นางหยูเฮง….”

เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างหูเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อย 2 สาวที่นั่งอยู่ในรถลากสัตว์วิญญาณหันมามองหน้ากัน แม่ทัพอ๋องอายุน้อยผู้นี้ต้องการอะไร ทำไมถึงไล่ตามมาล่ะ

“คนตัวโต มีเรื่องอะไรเหรอ” เสียงเล็กๆของหยูเฮงน้อยดังขึ้นข้างหูของหวงฝู่หยีมู่ เขาชะงักไปนิดหน่อยและได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว “ข้าอยากเลี้ยงอาหารพวกท่าน และมีเรื่องจะขอร้องด้วย หวังว่าแม่นางทั้ง 2 จะไม่ปฏิเสธ”

“หืม เจ้ามีเรื่องอะไรล่ะถึงพูดตอนนี้ไม่ได้”

หยูเฮงน้อยมองคนข้างๆและอยากให้นางแนะนำ

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังไม่อยากตอบตกลงว่าจะพบเขาในเวลานี้คิดไปคิดมาจึงให้หยูเฮงน้อยส่งข้อความไป

หยูเฮงน้อยส่งข้อความไปหาหวงฝู่หยีมู่อย่างรวดเร็ว และหลังจากได้ยินประโยคนี้เขาก็ไม่ได้ติดตามรถลากสัตว์วิญญาณของพวกนางอีก กลับพุ่งไปอีกทางด้วยความไว

เมื่อกลับมาถึงตระกูลฟาง หลังจากที่ออกไปข้างนอกเป็นเวลานาน คุณหนูทั้งหลายก็พบว่าย้ายที่กันซะแล้ว

เหตุผลก็เพราะพวกตาแก่ตระกูลฟางเรียกร้องอย่างหนักแน่นว่าบ้านใหญ่ตระกูลฟางจะต้องเปลี่ยนที่อยู่ ไม่อย่างนั้นก็ถือเป็นการไม่เกียรติผู้เฒ่าอย่างพวกเขา ฟางเต๋อหยวนจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากย้ายที่อยู่อย่างไม่มีทางเลือก

ตระกูลฟางไม่ค่อยมีอะไรมากนักนอกจากคน บ้านใหญ่จึงใช้เวลาเพียง 1 ชั่วยามเท่านั้นในการย้ายที่อยู่

บ้านใหม่นี้ดีกว่าบ้านเดิมที่ทรุดโทรมหลายเท่า หรูหราและอลังการ เครื่องใช้ในบ้านทั้งหมดถูกจัดเตรียมขึ้นมาใหม่ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งก้าวเข้าไปในห้องรับแขกใหม่ก็เห็นมีคนเป็นกลุ่มเฝ้าอยู่ที่นี่

การปรากฏตัวของพวกนางส่งผลให้ทุกคนมองมาทันทีราวกับจะพบบางสิ่งบางอย่างบนใบหน้าของพวกนาง

“ทำไมต้องมองพวกเราแบบนี้ด้วย หรือว่าบนหน้าพวกเรายังมีเศษขนมติดอยู่”

—————————–