ความบ้าคลั่งในไนต์คลับดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงตีสอง
จนกระทั่งเฉิงอี้หรานออกไปจากเวทีแล้ว บรรยากาศในนี้ก็ยังไม่อาจสงบลงได้
ควรจะพูดยังไงดี
สามารถอธิบายได้เพียงคำเดียวว่า…นั่นเป็นงานคอนเสิร์ตครั้งใหญ่งานหนึ่ง ที่ทำให้ผู้ชมได้ระเบิดอารมณ์ไปกับมันจนถึงวินาทีสุดท้าย เป็นการแสดงที่ป่าเถือนและรุนแรงที่สุด สามารถกระตุ้นฮอร์โมนอะดรีนาลีนของผู้คนได้!
เฉิงอี้หรานลงจากเวทีแล้ว แต่ผู้ชมยังคงเร่าร้อนเหมือนเหล็กถูกไฟรน
“เอาอีก เอาอีก เอาอีก เอาอีก!”
แม้ไม่มีเครื่องเสียงก็ยังได้ยินเสียงร้องเรียกของผู้ชมดังเข้าไปในห้องพักผ่อนหลังเวที…คนเพียงแค่ร้อยคน แต่ให้ความรู้สึกเหมือนมีคนนับหมื่นคนกำลังตะโกนเรียก
เฉิงอี้หรานนั่งอยู่ที่นี่เพียงลำพัง เขาปล่อยสองแขนให้ตกลงไปข้างเก้าอี้ เงยหน้ามองแสงไฟบนเพดานห้องอย่างเหม่อลอย
ส่วนกีตาร์ไฟฟ้าของเขาก็ยังวางอยู่บนขาของเขาอย่างสงบนิ่ง
เหมือนกับภาพมายาวาบผ่านหน้าเขาไปเป็นฉากๆ ความคลั่งไคล้ของผู้ชมเหมือนกลายเป็นอากาศที่ถูกดูดเข้าไปในร่างกายของเขา ผสานเข้ากับเลือดของเขา เพิ่มความร้อนให้เลือดสีแดงสดๆ ไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขา
เขาไม่เคยมีประสบการณ์อันหอมหวานแบบนี้มาก่อน เหมือนว่าทั้งร่างกายกำลังลุกไหม้…ไม่เคยรู้สึกใกล้เคียงกับความคาดหวังในใจของตนเองเช่นนี้มาก่อน
ทุกอย่างนี้…ทุกอย่างนี้เป็นเพราะมัน
เฉิงอี้หรานก้มลงไป ใช้สองมือยกกีตาร์ไฟฟ้าบนขาของเขาขึ้นมาอย่างระมัดระวัง…ทุกอย่างนี้เป็นเพราะกีตาร์ไฟฟ้าตัวนี้ของเขา
พ่อค้าลึกลับคนนั้นพูดว่ามันส่งเสียงที่คนชอบออกมาได้
หลังจากมันฟื้นคืนชีพก็ได้รับพลังวิเศษอันน่าตกตะลึงมาด้วย เป็นพลังวิเศษจากพ่อค้าลึกลับคนนั้น!
ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็รู้สึกอยากแบ่งปันความสุขร่วมกับคนอื่น เขารีบล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมา
แต่เขากลับมองเห็นข้อความหนึ่ง
“แยกกันด้วยดี…” ความรู้สึกที่อยากแบ่งปันความสุขของเฉิงอี้หรานเหมือนถูกน้ำเย็นราดผ่าน นิ้วมือวางอยู่ที่รายชื่อแรกบนโทรศัพท์แต่ก็ลังเลไม่กดลงไปจริงๆ สักที
ก๊อกๆ ก๊อกๆ ก๊อกๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
เฉิงอี้หรานขมวดคิ้ว คล้องกีตาร์ไว้บนตัวใหม่อีกครั้งแล้วถึงเดินไปหน้าประตู เขาไม่ได้เปิดประตูในทันที เพียงแต่ถามอย่างเย็นชาว่า “ใคร”
“ฉันเอง ผู้จัดการไต้!”
แอ้ด
เมื่อเฉิงอี้หรานมองเห็นผู้จัดการไนต์คลับที่ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้กับตนเองแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้น “หลังผมเก็บของเสร็จแล้วก็จะไป คุณวางใจได้ ไม่ทำให้ของของคุณเสียหายแน่นอน”
เขาเคยเซ็นสัญญาร้องเพลงครั้งเดียวกับผู้จัดการไต้…เฉิงอี้หรานจึงรู้จักผู้ชายคนนี้ดี
“เฮ้ พูดอะไรกัน ฉันไม่ได้จะไล่นายไปไหนสักหน่อย”
ผู้จัดการไต้ผลักประตูที่เปิดไว้แค่ครึ่งเดียวออกและเดินเข้าไปในห้อง ยิ้มพูดว่า “เสี่ยวเฉิง คืนนี้สุดยอดจริงๆ ฉันพอใจมาก นายสนใจเซ็นสัญญาระยะยาวกับพวกเราไหม”
“ระยะยาว?” เฉิงอี้หรานขมวดคิ้ว
ผู้จัดการไต้พูดว่า “ใช่น่ะสิ เมื่อกี้มีลูกค้าหลายคนบอกว่าเยี่ยมยอดมาก! ใช้ยาก็ยังไม่สดชื่นแบบนี้! ครั้งหน้าก็อยากฟังอีก!”
ผู้จัดการไต้พูดไปก็ใช้มือดึงแขนของเฉิงอี้หราน ให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนใกล้ชิดเข้ามาหน่อย “มีหลายคนพูดว่าหากไม่ได้ฟังนายร้องเพลงก็จะไม่มาอีก”
“จริงเหรอ” เฉิงอี้หรานขมวดคิ้ว
“จริง! จะไม่จริงได้ยังไง!” ผู้จัดการไต้ตบหน้าอกพูดออกมา “ฉันไม่เคยพูดโกหก! หรือนายไม่ได้ยิน? คนในห้องโถงด้านนอกยังไม่แยกย้าย! นายฟังสิ! ยังมีเสียงเรียกให้เอาอีกๆ อยู่เลย!”
มีกลุ่มคนรอตนเองแสดงอยู่ ปฏิกิริยาแรกของเฉิงอี้หรานคือแอบดีใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตกใจว่าทำไมพลังวิเศษในกีตาร์ถึงได้น่ากลัวแบบนี้
เขาใจลอยไปชั่วขณะ
“เสี่ยวเฉิง เสี่ยวเฉิง? เสี่ยวเฉิง?” ผู้จัดการไต้เขย่าแขนของเฉิงอี้หรานเบาๆ
เฉิงอี้หรานได้สติขึ้นมาก็พูดว่า “ผู้จัดการไต้ สัญญาระยะยาวที่คุณพูดถึงนั้น ผมขอคิดดูก่อน”
ผู้จัดการไต้พบเห็นสถานการณ์แบบนี้มาเยอะ คงเป็นเพราะเขาไม่เคยไว้หน้าคนคนนี้เลย มาตอนนี้เขาถึงไม่ไว้หน้าเขาบ้าง และก็พยายามเพิ่มค่าตัว
เดิมทีการรับมือกับชายหนุ่มเช่นนี้นั้นง่ายมาก คนที่สามารถเปิดไนต์คลับอยู่ที่นี่ได้ เถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังก็ต้องเป็นคนที่มีความอดทนสูงแน่นอนอยู่แล้ว
ผู้จัดการไต้ทำงานอยู่ที่นี่มาตั้งหลายปี แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใคร…แต่ครั้งนี้ เขากลับไม่อยากใช้อำนาจบังคับ อย่างน้อยก่อนที่จะฉีกหน้าเขาก็ขอใช้ไม้อ่อนก่อน
ให้ตายสิ…เด็กคนนี้เก่งจริงๆ! ขนาดฉันไม่เข้าใจดนตรียังชอบเลย!
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คิดให้ดีก่อน”
ผู้จัดการไต้หัวเราะฮ่าๆ “แต่ทางที่ดีก็อย่าคิดนานละ นายก็รู้ว่าที่นี่โด่งดังมาก มีหลายคนแย่งกันมาขึ้นเวทีของที่นี่ ถึงแม้ที่นี่จะขาดสัญญาระยะยาว…และถึงคนด้านล่างจะต่อคิวเยอะแค่ไหน ก็ยังต้องเอาคนคุ้นเคยกันก่อน…ฉันข่มเอาไว้แล้ว แต่ฉันก็ไม่สามารถทำลายเวทีแสดงนี้และไล่ลูกค้าไปได้ ต้องหาอะไรที่เหมาะสม ใช่ไหมละ? แต่ก็ถ่วงเวลาได้ไม่นานหรอกนะ!”
“ผมจะให้คำตอบคุณโดยเร็ว” เฉิงอี้หรานพยักหน้า ผลักผู้จัดการไต้ออกไปจากประตู “ผมเหนื่อยนิดหน่อย เดี๋ยวสักพักผมจะออกไปทางประตูหลัง”
“นายอย่าลืมให้คำตอบฉันด้วยละ ตกลงแล้วนะ!”
ถึงจะปิดประตูแล้ว เฉิงอี้หรานก็ยังได้ยินเสียงผู้จัดการไต้ไล่หลังมา
เวลานี้เขายืนพิงไปกับประตูห้องแล้วถึงรู้สึกสงบลง ตอนที่เขาออกจากประตูหลังของไนต์คลับไป ลมเย็นในเมืองยามตีสามพัดปะทะใบหน้าของเขา แต่เฉิงอี้หรานก็ยังรู้สึกเหมือนไม่เป็นความจริงอยู่ดี
บางทีอาจจะเป็นความฝัน…หลังจากตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้ ทุกอย่างอาจจะกลับคืนเป็นเหมือนเดิม
เมื่อเฉิงอี้หรานเดินไปถึงหน้าร้านรถเข็นร้านหนึ่งแล้ว เขาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
“เก็บร้านแล้ว ไม่มีอะไรกินแล้ว” เถ้าแก่ร้านรถเข็นโบกไม้โบกมือพูด “นายเดินไปดูที่ร้านสะดวกซื้อสิ ที่นั่นเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
“ไม่ใช่…” เฉิงอี้หรานขมวดคิ้ว เดินไปข้างหน้าและชี้ไปยังของที่วางอยู่บนเก้าอี้ของร้านรถเข็น พูดเสียงเข้มว่า “คุณได้ของสิ่งนี้มาจากไหน”
“อันนี้เหรอ” เถ้าแก่ถาม จากนั้นก็ยักไหล่พูดว่า “เมื่อกี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งให้ฉันมา ทำไม นายชอบงั้นหรือ ฉันขายให้ห้าร้อย ฉันเพิ่งดูเมื่อกี้ ของยังใหม่น่าจะมีราคาอยู่บ้าง”
“เขาให้คุณ?” เฉิงอี้หรานก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ใช้สองมือจับคอเสื้อของอีกฝ่าย พูดเหมือนตะเบ็งเสียงว่า “เขาให้คุณ? ทำไมเขาถึงให้! เขาให้คุณได้ยังไง!”
“เฮ้ย! ใช้กำลังงั้นเหรอ” เถ้าแก่ร้านรถเข็นคว้าแขนของเฉิงอี้หรานในทันที แล้วออกแรงบิดแขนของเขาอย่างง่ายดาย “บอกแกไว้นะ ฉันอวี๋ต้านเฉียงไม่ได้อยู่ที่นี่เปล่าๆ! ครั้งที่ฉันออกมาเถลไถลอยู่ด้านนอก แกยังใส่ผ้าอ้อมอยู่เลย!”
“ปล่อย ปล่อยนะ!” เฉิงอี้หรานพูดด้วยความเจ็บปวด
อวี๋ต้านเฉียงปล่อยและผลักเขาออกเล็กน้อย ขมวดคิ้วพูดว่า “ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อน ฉันหักแขนแกไปแล้ว!”
เฉิงอี้หรานกัดฟัน ไม่กล้าเข้าใกล้ เมื่อสงบลงแล้วจึงถามอย่างลังเลว่า “เขา…คนที่มอบของให้คุณคนนั้นยังพูดอะไรอีกไหม”
“ลืมแล้ว…เด็กหนุ่ม เรื่องแค่เล็กน้อยทำอย่างกับแม่ตาย” อวี๋ต้านเฉียงหาว ส่ายหน้าและเก็บร้านต่อ พูดขึ้นว่า “ของนี้เป็นของฉัน ถ้าแกต้องการก็เอามาห้าร้อย ไม่ต้องการก็ไปซะ”
เฉิงอี้หรานก้มหน้าลง ถอนหายใจ ไม่พูดอะไร เพียงแต่มองถุงที่วางอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ถอนหายใจอีกแล้วก็จากไป
อีกด้านหนึ่ง…อีกด้านหนึ่งต่างจากที่หงก้วนจากไป
…
“เฮ้ย…ไปจริงๆ งั้นหรือ”
อวี๋ต้านเฉียงหันกลับไปอย่างตกใจ ยื่นมือออกไปพูดว่า “สามร้อยเอาไหม? สามร้อยเอง…สองร้อย! หนึ่งร้อยห้า…เฮ้ย หนึ่งร้อยสอง น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ! ยอม…ของสิ่งนี้ไม่มีค่าจริงๆ!”
อวี๋ต้านเฉียงส่ายหน้าเก็บร้านต่อ
“หนึ่งร้อยสองจริงๆ เหรอ? งั้นผมตกลง”
ทันใดนั้นอวี๋ต้านเฉียงก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง เขาหันกลับไปดูก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่รู้ว่ามาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
มีสาวสวยเป็นเพื่อนด้วย…คงจะเป็นพวกคนรวยออกมาหาความสนุก
ท่าทางสุขุมแบบนี้
“หนึ่งร้อยสองเป็นราคาเมื่อกี้ ตอนนี้เป็นสามร้อย…ไม่ ห้าร้อย!” อวี๋ต้านเฉียงเลิกคิ้ว
“พูดราคามาหมายถึงตัดสินใจ ห้ามเพิ่มราคาอีก” คนหนุ่มหัวเราะเบาๆ ถามว่า “คุณคิดว่าจะเอาราคานี้ใช่ไหม”
อวี๋ต้านเฉียงชะงัก ลอบคิดว่า ‘เจ้านี่ หากไม่โดนคนเอาเปรียบก็จะไม่สบายใจใช่ไหม’
ใช่แล้ว…เจ้านี่คงคิดจะอวยรวยต่อหน้าสาวสวยคนนี้ละสิ? ชิ ช่า พวกคนรวย
“ถ้ายังไม่แพงไปก็เอามาหนึ่งพัน!”
สาวสวยข้างชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาวางเงินลง หยิบของนั้นขึ้นมา สุดท้ายถึงได้พูดว่า “เก็บให้ดี”
อวี๋ต้านเฉียงตัวสั่นขึ้นมาฉับพลัน…เขาเพิ่งเห็นชัดว่าดวงตาของผู้หญิงคนนี้เป็นสีฟ้า!
อืม…คอนแทคเลนส์? สาวต่างชาติ?