ภาคที่ 4 บทที่ 142 ความก้าวหน้าครั้งสำคัญ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 142 ความก้าวหน้าครั้งสำคัญ (2)

“แท่นบงกชสร้างขึ้นสมบูรณ์แล้ว ข้าทำสำเร็จ” ซูเฉินพึมพำ

ภายในทะเลปราณในร่างของเขา แท่นบงกชอันมั่นคงได้ปรากฏขึ้นแล้ว มันส่องแสงสว่างจ้างามจับตา

นี่ก็คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทะลวงสู่ด่านสู่พิสดาร การสร้างแท่นบงกช

แท่นบงกชแท้จริงคือตัวแสดงการใช้พลังต้นกำเนิดขั้นสุดของผู้เชี่ยวชาญพลัง ในจุดนี้ พลังต้นกำเนิดภายในร่างจะกลั่นและเปลี่ยนรูปได้ กลายเป็นแท่นบงกช สะท้อนกับร่างกายจริงของผู้เชี่ยวชาญพลัง หลังการเปลี่ยนรูปขั้นแรกแล้ว ก็จะกลายเป็นเส้นทางสำคัญในการคุมพลังต้นกำเนิด

เมื่อผู้เชี่ยวชาญพลังสร้างแท่นบงกชขึ้นสำเร็จแล้ว ความสามารถในการใช้พลังต้นกำเนิดจะมากขึ้นอย่างจับต้องได้ กระทั่งเปลี่ยนแก่นสำคัญได้เลย

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความหนาแน่นของพลังต้นกำเนิด

ก่อนจะสร้างแท่นบงกชขึ้นได้ ผู้เชี่ยวชาญจะปล่อยลูกไฟออกมาในระยะชั่วลมหายใจ แต่หลังจากสร้างขึ้นได้แล้ว ก็จะสามารถปล่อยลูกไฟร้อยลูกได้ในระยะเวลาเท่ากัน

เป็นเหตุที่เมื่อทะลวงสู่ด่านสู่พิสดาร ผู้เชี่ยวชาญจึงสามารถบินได้โดยไม่ต้องใช้วิชา กำลังเพิ่มขึ้นแบบจับต้องได้ และทำให้เรื่องง่ายอย่างการหายใจเข้าออกสามารถปลดปล่อยพลังเทียบเท่าวิชาต้นกำเนิดได้

แน่นอนว่าซูเฉินยังไม่อาจสร้างแท่นบงกชขึ้นได้อย่างสมบูรณ์

แท่นบงกชของเขาเพิ่งจะก่อร่างในขั้นต้น อยู่ได้ไม่นานก็สลายไปแล้ว

หาแต่นั่นก็ชี้ให้เห็นว่าซูเฉินได้ก้าวย่างสำคัญไปแล้ว นั่นคือความสามารถในการกลั่นพลังต้นกำเนิดในร่างของเขาเพิ่มสูงขึ้นแล้ว

การแข็งตัวของพลังต้นกำเนิดเป็นของสำคัญในการสร้างแท่นบงกช

หากพลังต้นกำเนิดเหมือนลมที่มองไม่เห็น เช่นนั้นแท่นบงกชก็เหมือนหินที่สามารถจับต้องได้

การกลั่นให้อากาศเข้มข้นได้จนมันแข็งราวกับหินจะต้องใช้แรงอัดเพื่อบีบให้ขึ้นรูปอย่างมหาศาล

ในอดีต มนุษย์พึ่งพาสายเลือดเพื่อทำเช่นนี้ ใช้สายเลือดดึงพลังจากภายนอกเพื่อบีบอัดพลังต้นกำเนิด จนเกิดเป็นแท่นบงกช แล้วสร้างสะพานขึ้นมา

แผนการสร้างวิชาทะลวงด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดยังมีปัญหาเรื่องขาดพลังจากภายนอก

หากไร้พลังบีบจากภายนอกแล้ว ซูเฉินจึงเหลือแค่สองวิธีในการสร้างแท่นบงกชขึ้นมา

หนึ่งคือสร้างแรงบีบภายนอกที่แตกต่างออกมา สองคือเพิ่มความสามารถในการกลั่นให้พลังต้นกำเนิด

ทั้งสองเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างแท่นบงกช และเขาจำเป็นต้องมีสักอย่างหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ ซูเฉินไม่ได้มุ่งไปทางใดเป็นพิเศษ หลายอย่างฟังดูง่าย แต่ลงมือทำจริงกลับยาก

จนกระทั่งไม่นานมานี้ที่ซูเฉินหาวิธีเพิ่มพลังในการกลั่นและบีบตัวของพลังต้นกำเนิดขึ้นมาได้

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการกลั่นนั้นก็คือวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์นั่นเอง

ตอนซูเฉินสร้างวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ขึ้นมาคราแรก เป้าหมายคือเพิ่มอัตราการดูดซับพลังต้นกำเนิดจากภายนอกให้ได้มากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่ให้เผ่าหินผา มีสมองปราดเปรื่องเช่นเขาแล้ว เขาพัฒนาให้มันเพิ่มอัตราได้เร็วขึ้นมากกว่านี้ก็ยังได้

จะพูดว่าวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์เป็นสิ่งที่ซูเฉินบังเอิญสร้างขึ้นมาก็ว่าได้ และซูเฉินก็ไม่ได้หวังอะไรกับมันมากมาย

หากแต่มันก็เป็นวิชาที่เป็นแรงบันดาลให้เขารู้แนวทางการทำวิจัยเรื่องการทะลวงด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือด

เหตุผลหลักเป็นเพราะการกลั่นพลังต้นกำเนิดผ่านวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์นั้นง่ายกว่าใช้วิชาอื่นมาก

นี่เป็นสิ่งที่ซูเฉินค้นพบระหว่างที่ทำการทดลองกับพวกทหาร เป็นเพราะพวกเขาพึ่งพาการบ่มเพาะพลังมากกว่าซูเฉิน จึงค้นพบว่าการกลั่นรูปพลังต้นกำเนิดด้วยวิชานี้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ มากกว่าได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดรูปแบบพลังต้นกำเนิดได้ง่ายกว่า และใช้วิชาต้นกำเนิดได้ง่ายกว่าอีกด้วย

ว่าโดยง่าย เมื่อใช้วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ พลังของวิชาต้นกำเนิดอาจเพิ่มขึ้นสักสิบห้าในร้อยส่วน แต่ระยะเวลาที่ต้องรอยามปล่อยพลังออกไปคราหนึ่งจะลดลงราวยี่สิบในร้อยส่วน

เมื่อพบผลลัพธ์นี้ ในคราแรกเขาก็ตะลึงมาก

ความสามารถในการกลั่นพลังต้นกำเนิดที่เขาค้นหามานานกลับอยู่ตรงหน้า ทว่าคนสร้างมันขึ้นมากลับไม่รับรู้ ทำเอาเขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

กระนั้นการทำวิจัยก็เช่นนี้ สิ่งประดิษฐ์ล้ำหน้าต่าง ๆ มักเกิดจากเรื่องบังเอิญทั้งหลายที่มอบแวบแรกอาจไม่สลักสำคัญนัก

การค้นพบโดยบังเอิญได้กลายเป็นเรื่องสำคัญที่ตัดสินเส้นทางในอนาคตของเขา นี่คือเสน่ห์ของการทดลอง

ใช่แล้ว ซูเฉินเป็นนักทดลองที่มุ่งศึกษาโลกแห่งพลังต้นกำเนิด ความทุ่มเททั้งหลายของเขานับเป็นการกรุยทางให้กับอนาคตของเผ่ามนุษย์

หลังค้นพบมันแล้ว สายตาซูเฉินก็กว้างไกลขึ้นอีก วิธีคิดเองก็เปิดกว้างขึ้น ระยะทางสู่ความสำเร็จสั้นลงมาก

วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ได้ถูกปรับแต่งเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถเพิ่มความสามารถในการบีบอัดพลังต้นกำเนิด ในตอนนี้ ซูเฉินไม่สนอัตราการบ่มเพาะแล้ว แต่สนเรื่องอัตราการบีบอัดพลังต้นกำเนิดมากกว่า

วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ในตอนนี้มีความสามารถในการบีบอัดพลังต้นกำเนิดมากขึ้นเป็นสองเท่าตัว แต่ก็ยังไม่มากพอสำหรับเขา

ตามแผนของซูเฉิน วิชาบ่มเพาะใหม่จะต้องมีความสามารถในการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นราวห้าถึงสิบเท่า ดังนั้นก่อนจะสามารถหาวิธีขยายแรงบีบจากภายนอกได้ ซูเฉินจำเป็นต้องเพิ่มความสามารถในการบีบอัดตัวให้มากที่สุดก่อน

ดังนั้น ซูเฉินยังต้องปรับปรุงวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ต่อไป

ไม่แน่คงถึงเวลาหาแรงบันดาลจากวิชาทะลวงด่านกลั่นโลหิตจากด่านก่อเกิดลมปราณเสียแล้ว ซูเฉินคิด

หอสูงสร้างขึ้นจากพื้นต่ำ การพัฒนาต้องค่อยเป็นค่อยไป วิชาบ่มเพาะที่สมบูรณ์แบบต้องพัฒนามาจากรากฐานเริ่มต้น หากเขาพัฒนาให้มันไปถึงด่านทะลวงลมปราณ ใครจะรู้ว่ามันจะไปจบที่ตรงไหน ?

ซูเฉินเริ่มลงมือกับความคิดเสี่ยงโชคนั่นทันที เริ่มร่างทฤษฎีต่อไปให้วิชาบ่มเพาะของตนเอง หัวสมองคิดคำนวณเริ่มทำงาน ไม่มีเรื่องใดจะเหมาะกับสมองเช่นนี้ไปมากกว่านี้อีกแล้ว

เพียงวันเดียว วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ของเขาก็ก้าวขึ้นมาในขั้นที่สอง

วิชาในขั้นที่สองนี้ อัตราที่ทหารด่านก่อเกิดลมปราณไปถึงด่านกลั่นโลหิตสามารถบ่มเพาะพลังได้เพิ่มขึ้นสูงพร้อมกับความสามารถในการบีบอัดพลังต้นกำเนิดในวิชาต้นกำเนิดของผู้ใช้ และระยะเวลาการปล่องพลังเองก็ลดลงด้วย แต่เพราะทุกคนเพิ่งเคยใช้วิชาบ่มเพาะนี้จึงไม่อาจแสดงศักยภาพเต็มที่ให้เห็นได้ หากแต่เมื่อเริ่มเชี่ยวชาญแล้ว เหล่าทหารก็พลันสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ทันที

กองทัพกำลังสวรรค์จึงพัฒนาขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นเป็นประวัติการณ์

สองวันต่อมา ซูเฉินก็พัฒนามันจากด่านกลั่นโลหิตไปเป็นด่านทะลวงลมปราณ ทั้งยังสร้างรุ่นสำหรับด่านทะลวงลมปราณขั้นสามหรือสี่ ไปจนถึงด่านทะลวงลมปราณขั้นสุดขึ้นมา

และเพราะมันเป็นวิชาที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา หัวสมองคิดคำนวณของเขาจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นพิเศษ อัตราการคำนวณของซูเฉินนั้นอยู่เหนือกว่าคนปกติเกือบพันเท่า

ดังนั้น สิ่งที่เขาสามารถทำได้ในวันหนึ่ง ปกติแล้วคนอื่นอาจต้องใช้เวลา 3 ปี

กระทั่งตัวเขาเองยังทึ่งกับความเร็วเช่นนี้

หลังวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ก้าวถึงขั้นสี่ ซูเฉินก็สามารถปรับปรุงความสามารถในการบีบอัดพลังต้นกำเนิดของมันขึ้นอีกสี่ร้อยส่วน

หมายความว่าคนด่านทะลวงลมปราณจะมีพลังต้นกำเนิดหนาแน่นกว่าคนที่ฝึกวิชาบ่มเพาะปกติถึงห้าเท่า กำลังก็จะมากกว่าคนระดับเดียวกันราวสองเท่า หรือก็คือแม้ซูเฉินจะใช้วิชาเดียวกับคนอื่น แต่วิชาของเขาจะแรงกว่าเป็นสองเท่า ยิ่งเป็นวิชาหลักก็จะยิ่งน่ากลัวทีเดียว

ทะเลปราณของซูเฉินเอง ถึงตอนนี้กลายเป็นทะเลจริงไปแล้ว พลังต้นกำเนิดของเขาเริ่มกลายเป็นของเหลว พลังต้นกำเนิดจำนวนมากในตอนนี้ถูกเก็บอยู่ในรูปหยดน้ำเหลว ทุดหยดมีพลังต้นกำเนิดหนาแน่นอยู่ภายใน

หากแต่สำหรับซูเฉิน นั่นยังไม่มากพอ

เพราะพวกมันยังไม่กลายเป็นของเหลวเสียทีเดียว

วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ยังพัฒนาได้อีก

ซูเฉินต้องการให้วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์สามารถบีบอัดพลังต้นกำเนิดได้เจ็ดเท่า ให้กลายเป็นของเหลวทั้งหมด ทำเช่นนี้แล้ว ก็จะยิ่งเป็นฐานชั้นยอดในการสร้างแท่นบงกชในอนาคต

ดังนั้นการทดลองครั้งใหม่จึงเริ่มต้นขึ้นแล้ว

สองวันถัดมา วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ก็ก้าวถึงขั้นห้า

สี่วันต่อมา ถึงขั้นหก

ความหนาแน่นของพลังต้นกำเนิดมากขึ้นกว่าเก่าเจ็ดเท่า ในเวลาเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ว่าตอนนี้ วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์นั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว มันมาถึงขั้นที่เขาไม่อาจปรับปรุงใด ๆ ได้อีกแล้ว