ภาคที่ 4 บทที่ 141 ความก้าวหน้าครั้งสำคัญ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 141 ความก้าวหน้าครั้งสำคัญ (1)

ช่องเขาไม้โรย

ในตอนที่กังเหยียนคิดหัวแทบแตกว่าจะโน้มน้าวเผ่าหินผาที่หุบเขาพายุคลั่งอย่างไร กองทัพกำลังสวรรค์ก็มุ่งหน้ามาถึงช่องเขาไม้โรยแล้ว

สถานที่แห่งนี้อยู่ติดกับแนวตะวันตกของอาณาจักรเหล็กเลือด เพราะพวกเขาจำเป็นต้องล่าอสูรกายจำนวนมาก กองทัพกำลังสวรรค์จึงได้อ้อมมาทางนี้เพราะเป็นอาณาเขตของเผ่าสัตว์อสูร หมายความว่าแถบนี้มีอสูรกายอยู่มาก

มนุษย์รู้จักทำให้อสูรกายเชื่อง แต่เผ่าคนเถื่อนทำเช่นนั้นไม่เป็น ดังนั้นพวกอสูรจึงไร้ใครบังคับสั่ง ทุกปีรุกเข้ามาในถิ่นเป็นจำนวนมาก

เทียบกับแดนมนุษย์แล้วต่างอีกเรื่องคือ แทนที่มันจะเป็นปราการธรรมชาติได้ แต่แนวตะวันตกแห่งนี้กลับเป็นพื้นที่เปิดโดยสมบูรณ์ กระทั่งสัตว์อสูรที่อ่อนแอที่สุดยังข้ามมาได้ เป็นอีกเหตุผลที่อสูรกายจำนวนมากมักปรากฏตัวที่นี่

และด้วยเหตุนั้น เผ่าคนเถื่อนจึงไม่ได้มีพรมแดนทางทิศตะวันตกจริง ๆ ที่นี่เป็นสถานที่สำหรับสัตว์อสูรและเผ่าคนเถื่อนอยู่ร่วมกันเท่านั้น

ในที่เช่นนี้ ไร้กฎไร้เกณฑ์ ถูกปกครองโดยกฎที่เรียบง่ายที่สุด คือกฎปฐมเริ่มแรก การฆ่าสังหาร ผู้แข็งแกร่งอยู่รอด ผู้อ่อนแอถูกสังหาร

นี่เป็นเส้นทางตามทฤษฎีที่สามที่พวกเขาสามารถไปได้ จากตรงนี้ สามารถผ่านแดนเผ่าสัตว์อสูรแล้วเข้าแดนมนุษย์จากอีกด้านได้ หากแต่เส้นทางนี้แท้จริงไม่นับเป็นเส้นทาง กองทัพกำลังสวรรค์ยอมผ่านช่องแคบพายุยังดีกว่าข้ามแดนเผ่าสัตว์อสูร เข้าไปเพียงนิดไม่นับเป็นอะไร แต่หากฝ่าเข้าไปโดยตรงก็นับว่าฆ่าตัวตายแล้ว

ดังนั้น เส้นทางที่ตรงที่สุดจึงกลายเป็นเส้นทางที่ไม่อาจไปได้ เพราะรู้เช่นนี้ เผ่าคนเถื่อนจึงไม่ได้วางกองกำลังไว้ที่นี่มากมาย และถึงมีมาก ก็คงไร้ผลลัพธ์ดีอะไร เพราะดินแดนแห่งนี้กว้างขวางเกินไปนั่นเอง

ช่องเขาไม้โรยเป็นช่องเขาขนาดเล็ก ตั้งอยู่ในความวุ่นวาย เป็นส่วนที่มีพื้นที่เว้าแห่งเดียวทั่วทั้งพื้นที่รกร้าง และไม่นับเป็นช่องเขาจริง ๆ เสียเท่าไหร่ เป็นเพียงร่องบุ๋มคั่นกลางระหว่างเนินเขาสองฟากเท่านั้น กระนั้นหลุมเล็กนี่ ตอนนี้ก็ช่วยซ่อนเร้นมนุษย์ไว้ได้จนเผ่าคนเถื่อนไล่ตามมากว่าครึ่งปีแล้ว

ในตอนนี้ กลุ่มมนุษย์กำลังมุ่งหน้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

หลังกลุ่มมนุษย์คือซากสัตว์อสูรตัวใหญ่มหึมา ตัวหนึ่งคือกอริลลาสองหัว สูงราวร้อยจั้ง ศีรษะแยกออก อีกตัวคือแรดดาบสามเขา ตัวหลังแข็งแกร่งมาก หนามแหลมบนหลังของมันสูงชูฟ้า เกล็ดบนร่างถูกลอกออก เขาทั้งสามก็หักไม่เหลือชิ้นดี

ด้านบนช่องเขาไม้โรยไม้คนสองคนยืนอยู่ คือหลี่ฉงซานและฉือไคฮวง

เมื่อมาถึงช่องเขา หัวหน้าคนหนึ่งของกองทหารก็เหินขึ้นมาบนยอดช่องเขาไม้โรย คำนับให้หลี่ฉงซานและฉือไคฮวง “ท่านแม่ทัพ พวกเรากลับมาแล้ว ไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ล่ากอริลลาภูเขาดำหนึ่งตัวและแรดดาบสามเขาหนึ่งตัวกลับมาได้”

“ข้าเห็นแล้ว ดีมาก” หลี่ฉงซานเอ่ยเสียงเบา

ฉือไคฮวงถาม “เจ็บเท่าไหร่ ?”

หัวหน้าตอบ “ตายหนึ่ง เจ็บสาหัสสี่ขอรับ”

ฉือไคฮวงมุ่นคิ้ว “เจ้าเป็นหัวหน้า นี่แค่การล่าปกติธรรมดาเท่านั้น แต่กลับมีคนเจ็บคนตาย ตอนนี้การสูญเสียเพียงหนึ่งก็นับว่าร้ายแรง ไม่อาจใช้คืนได้ เป็นความผิดเจ้าที่ไร้ความสามารถนำกองทหารให้ดี กลับไปรับโทษโบยสิบครั้งเสีย”

“ขอรับ” หัวหน้าผู้นั้นโค้งศีรษะรับ

หลี่ฉงซานไม่ชอบลงโทษ แต่ฉือไคฮวงขึ้นชื่อเรื่องเป็นแม่ทัพเข้มงวด ดังนั้นทหารชั้นเลวหลายคนจึงกลัวฉือไคฮวงมากกว่าหลี่ฉงซานเสียอีก

ในตอนนี้ หลี่ฉงซานอดถามฉือไคฮวงไม้ได้ “กอริลลาภูเขาดำกับแรดดาบสามเขานับว่าแกร่งในหมู่อสูรกายระดับสูง เพราะคลั่งได้ทุกเวลา ล่าได้ยากเย็น ตายเพียงหนึ่งคนเท่านั้น นับว่าตู้เชียนทำได้ดี เหตุใดต้องลงโทษเขาเล่า ?”

ฉือไคฮวงตอบ “อสูรกายสองตัวนี้แกร่งก็จริง แต่ทหารพวกนี้ก็เป็นหัวกะทิในหมู่มนุษย์ โดยเฉพาะตอนนี้ที่ฝึกวิชาทั้งวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์และโทเทมโลหิตสลาย กำลังเพิ่มขึ้นรวดเร็ว หากสู้ให้ดีก็ไม่ควรมีคนบาดเจ็บหรือตาย ดังนั้นที่ตายไปจึงหมายความว่ามั่นใจเกินควร ข้าจึงลงโทษเขา เตือนให้เขารู้ว่าให้วางตนเหมือนทหารธรรมดาคนอื่น หากแกร่งกว่า ย่อมต้องรับผิดชอบมากขึ้น”

หลี่ฉงซานส่ายหน้าหัวเราะขื่น “ก็ยังเข้มไป ทหารพวกนี้ทำงานหนัก ควรปลอบใจสักหน่อย”

ฉือไคฮวงกล่าว “เจ้าจะปลอบจะปลุกใจพวกเขาก็เอาเลย ข้าเต็มใจเป็นตัวร้ายมากกว่า เจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ ทุกคนควรมองเจ้าสูงส่ง ให้เขากลัวข้าจะดีกว่า”

หลี่ฉงซานส่ายหน้าไปมา “เจ้านี่รั้นจริง”

แม้จะพูดเช่นนั้น หลี่ฉงซานก็รู้ว่าฉือไคฮวงทำเพื่อกองทัพกำลังสวรรค์และทำเพื่อเขา

หลี่ฉงซานกับฉือไคฮวงเป็นผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการของทัพใหญ่ คนหนึ่งเมตตาอารี อีกคนเข้มงวด ฝึกทหารเช่นนี้นัยว่าถูกและควรแล้ว ในเมื่อหลี่ฉงซานเป็นแม่ทัพใหญ่ จะให้ล่วงเกินใครคงไม่เหมาะ ดังนั้นบท ‘ผู้ร้าย’ จึงยกให้ฉือไคฮวงไปแทน

แม้หลี่ฉงซานจะเคยรับบทบาทฉือไคฮวงได้ แต่ตอนนี้เขากลับคิดต่าง จึงไม่อยากให้ฉือไคฮวงทำเช่นนี้อีก

ฉือไคฮวงรู้เหตุผลดีจึงเอ่ยขึ้น “ซูเฉินคือซูเฉิน ข้าก็คือข้า เขาทำหลายอย่างให้กองทัพกำลังสวรรค์ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องข้านักก็ได้ หากซาบซึ้งเรื่องเขา ก็ควรไปตอบแทนเขาโดยตรง อย่ามาทำอะไรพิลึกกับข้า ข้าชอบตำแหน่งรองผู้บัญชาการนี่ดี พอใจกับสิ่งที่ทำอยู่ หากมีใครไม่เชื่อฟัง ข้าก็จะจัดการ แสร้งทำเป็นร้ายตอนสั่งสอนบทเรียนให้คนอื่นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”

“เจ้า…” หลี่ฉงซานหัวเราะขื่น

เขารู้นิสัยฉือไคฮวงดี ได้ยินเช่นนั้นแล้วจึงรู้ว่าไม่ควรพูดต่อให้มากความ

ทันใดนั้นเขาพลันนึกบางอย่างขึ้นได้ “สองวันนี้ซูเฉินทำอะไรอยู่งั้นหรือ ?”

“ก็ยังทำวิจัยทำทดลอง เหมือนจะได้แรงบันดาลเรื่องวิธีทะลวงด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดมา”

“หากสำเร็จ ก็นับว่าสร้างบุญคุณใหญ่หลวงให้ทั้งเผ่ามนุษย์เชียว” หลี่ฉงซานถอนใจ

ด่านสู่พิสดารเป็นประตูสำคัญของผู้เชี่ยวชาญพลังทีเดียว หากคนโดยไร้สายเลือดสามารถทะลวงถึงขั้นนั้นได้จริง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เผ่ามนุษย์อย่างแท้จริง

โทเทมโลหิตสลายและอาวุธวิญญาณนั้น หากเทียบกันก็ด้อยกว่านัก

“นั่นล่ะความใฝ่ฝัน” ฉือไคฮวงว่า “ข้าหวังกับซูเฉินไว้มาก เด็กคนนี้สร้างปาฏิหาริย์มาตั้งแต่ลืมตาดูโลก แม้ข้าจะเป็นคนวางพื้นฐานให้วิธีทะลวงด่านกลั่นโลหิตและด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือด แต่ไร้เขาข้าก็ไม่อาจทำสำเร็จได้ เขาจะต้องรุ่งเรืองจากการสร้างวิชาทะลวงด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือด และข้าเชื่อว่าวันนั้นจะต้องมาถึงแน่นอน !”

“ข้าก็เชื่อเช่นนั้น” หลี่ฉงซานเห็นด้วย “เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสำเร็จเท่านั้น”

“ไม่นานหรอก” ฉือไคฮวงตอบ

ซูเฉินในตอนี้นั่งอยู่ในถ้ำ กำลังนั่งขัดสมาธิตั้งจิตอยู่

คนส่วนมากหลับตายามทำสมาธิ แต่ซูเฉินกลับเบิกตากว้าง เขากำลังตรวจสอบร่างกายตนเองอย่างใกล้ชิดอยู่

แม้ว่าวิชาการมองเห็นทะลุทะลวงนี่จะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของพลังต้นกำเนิดได้ แต่ยังขาดการสังเกตความเป็นจริง ทว่าซูเฉินใช้เนตรมองจุลภาคใช้มองหาความลับนั่นได้ ไม่สนใจอุปสรรคทางกายภาพ ใช้มันจ้องมองร่างกายตนโดยตรง

นัยน์ตาเขาส่องแสงเรืองแล้วจดจำทุกแห่งหนในร่างกายตนให้มั่น