บทที่ 140 เผ่าหินผาพายุคลั่ง (2)
สุดท้ายกังเหยียนก็พักอยู่ที่หุบเขาพายุคลั่ง หากทำภารกิจของซูเฉินไม่สำเร็จเขาก็จะไม่จากไป
ฮาเต๋อเล่อยังคงมีทีท่าเป็นมิตรที่หาได้ยากต่อกังเหยียนด้วย จริง ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรมากมายนัก เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดในหุบเขาพายุคลั่งก็คือเผ่าหินผานั่นเอง
เผ่าหินผาที่นี่ขุดถ้ำไว้ทั่วหุบเขา ส่วนมากก็จะอาศัยอยู่ภายในนั้น
ด้วยมีถ้ำอยู่มากมาย ดังนั้นจึงไม่ขาดที่พักอาศัย
กังเหยียนเลือกถ้ำที่อยู่ลึกสุดไว้พักชั่วคราว หลังจากถูกลมมาเกือบทั้งวันแล้ว กังเหยียนจึงถอนใจโล่งอกเมื่อได้เข้าถ้ำ
เขากำลังจะเอนหลัง ก็มีเด็กเผ่าหินผาตัวเล็กหลายคนมาปรากฏอยู่หน้าถ้ำของเขา
เด็ก ๆ มองรอบถ้ำด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับกำลังหาเรื่องน่าสนใจอยู่
กังเหยียนเห็นแล้วก็ส่งยิ้มให้ กวักมือเรียกพวกเด็กๆ ให้เข้ามา
เด็กกลุ่มนั้นจึงเข้ามาใกล้
เด็กชายคนหนึ่งถามขึ้น “ท่านมาจากข้างนอกหรือ ?”
“อืม” กังเหยียนตอบ
“ข้างนอกกว้างใหญ่ไหม ?” เด็กอีกคนถาม
“ใหญ่แน่นอน”
“ลมข้างนอกพัดแรงเช่นนี้ไหม ?”
“ข้างนอกอันตรายหรือไม่ ?”
“มนุษย์หน้าตาเป็นอย่างไร ?”
“ได้ยินว่านิสัยไม่ดีมาก”
“ทำไมท่านต้องทำตามคำสั่งมนุษย์ล่ะ ?”
เด็ก ๆ ถามไม่หยุดจนกระทั่งเสียงซ้อนทับกันไปหมด
กังเหยียนรู้ว่าพวกเด็กๆ เกิดในหุบเขาพายุคลั่ง ไม่เคยเห็นภายนอกมาก่อน ย่อมไม่เคยเห็นมนุษย์มาก่อน
รู้จักโลกภายนอกได้ผ่านปากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่เท่านั้น
เพราะเหตุนี้ จึงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อโลกภายนอก
กังเหยียนหัวเราะ “ลมข้างนอกไม่แรง คนอื่น ๆ ไม่ได้อยู่ในถ้ำ แต่อยู่ในบ้านที่สร้างจากไม้และหินมากกว่า มนุษย์เตี้ยกว่าเราเล็กน้อย ไม่ได้มีกล้ามเนื้อมากเท่าเรา แต่สามารถบังคับพลังต้นกำเนิดได้ดีกว่า มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า พวกเขาเป็นเจ้าของแดนนี้ เพราะงั้นหากไม่ฟังพวกเขา เราก็จะเอาชีวิตรอดได้ยาก”
“เช่นนั้นท่านอยู่ที่นี่ก็ได้” เด็กหญิงตัวน้อยเผ่าหินผาว่า
กังเหยียนคิดเล็กน้อยไม่ว่าคำ แต่หยิบของกินออกมาจากแหวนพลัง
อาหารนี่มาจากแดนมนุษย์
จากนั้นก็วางมันลงบนพื้น
เด็ก ๆ เผ่าหินผามองเขาแล้วเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
เด็กน้อยสูดจมูกฟุดฟิด “กินได้หรือไม่ ?”
“ได้สิ” กังเหยียนพยักหน้า
เขาบิเค้กชิ้นหนึ่งส่งให้เด็กชายที่จ้องมันเขม็ง
เด็กหญิงคนหนึ่งคว้ามือเขาไว้ “ป๊าบอกว่าอย่ากินของของคนอื่นนะ”
กังเหยียนตอบกลับ “ไม่เป็นไร ข้าให้พวกเจ้าเอง ลองกินเถอะ”
เป็นน้ำเสียงที่น่าทำตามอย่างเหลือเชื่อ
เด็กชายกลืนน้ำลายลงคอ พยายามดับความอยาก เชื่อฟังคำสอนของผู้ใหญ่เต็มที่ แต่ความเย้ายวนจากโลกภายนอกนั้นเป็นสิ่งที่เด็กตัวเล็กไม่อาจต่อต้านได้
สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เอื้อมมือไปคว้ามากินทันที
แค่ชิ้นหนึ่งก็ทำเอาเขาเกือบร้องไห้ได้แล้ว
มันเป็นความรู้สึกยากจะอธิบาย รู้สึกราวกับหลอมละลายไปกับความสุขก็มิปาน
เด็กน้อยจ้องเขาด้วยสายตาเหลือเชื่อ ก่อนลืมสิ้นทุกอย่าง แย่งขนมจากในมือกังเหยียนแล้วยัดเข้าปากตนเองโดยเร็ว
เขาไม่เคยสัมผัสความมหัศจรรย์ของแดนมนุษย์มาก่อน แต่ตอนนี้ประสาทสัมผัสกลับรู้สึกกำลังถูกโจมตีโดยแรง รู้สึกราวกับคนเป็นคนธรรมดาตาดำ ๆ ที่ต้องต่อต้านขุมพลังที่ทำลายล้างได้ทั้งทวีป แล้วมีหรือเขาจะต่อต้านมันได้ ?
ย่อมต้องล้มคะมำในทันทีน่ะสิ !
ถึงตอนนี้ แม้ใครจะบอกว่าเค้กนี่อาบพิษเขาก็หยุดกินไม่ได้แล้ว
เด็กคนอื่น ๆ เห็นเด็กชายเขมือบเค้กลงไปเช่นนั้นก็ได้แต่อึ้ง
กังเหยียนยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยชวน “เจ้าก็กินสักหน่อยสิ อร่อยมากนะ”
เด็กหญิงเอื้อมมือมาบาง เอานิ้วจิ้มลงไปบนหน้าเค้กแล้วลองเลียนิ้วดู
พอลิ้มรสนัยน์ตาก็แดงก่ำ ราวกับถูกพิษร้าย นางยืนมือไปหยิบขนมทั้งหมดจากมือกังเหยียนทันที
อาการที่ดูสิ้นคิดของเพื่อน ๆ กลับไม่ทำให้เด็กคนอื่น ๆ อยากลิ้มลอง แต่กลับทำให้พวกเขาถอยไปหลายก้าวด้วยความหวาดกลัว
ทั้งหมดเหลือบมองกัน จากนั้นมองเพื่อนที่กำลังเขมือบขนม สุดท้ายทั้งหมดก็วิ่งร้องตะโกนจากไป
“เอาเถอะ ดูท่าข้าต้องเตรียมอาหารมามากกว่านี้แล้ว” กังเหยียนเอ่ยพร้อมยิ้มน้อย ๆ
เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
และแน่นอนว่าเรื่องเกิดขึ้นรวดเร็วนัก
เผ่าหินผากลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
คนที่นำหน้ามายังคงเป็นฮาเต๋อเล่อ
เมื่อเห็นเด็กชายกับเด็กหญิงกำลังกินเค้กที่กังเหยียนนำมา ฮาเต๋อเล่อก็เข้าใจทันที
“เค้ก… นับเป็นอาหารรสเลิศจริง” นัยน์ตาชวนคิดถึงวาบหนึ่งวาดผ่าน “ตอนพวกเด็ก ๆ บอกว่า เก๋อหลู่กับเป้ยเอ่อร์ถูกพิษ ข้าก็คิดอยู่ว่ามันพิษอะไรกัน… ของกินดี ๆ นี่ได้ผลมากจริงนะ กังเหยียน”
กังเหยียนส่ายหน้า “ข้าไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรมาตั้งแต่ต้นแล้ว หัวหน้าฮาเต๋อเล่อ”
“นี่ไม่ได้เรียกเล่ห์กลหรอก เจ้าหลอกล่อพวกเขาอย่างเปิดเผยเลยต่างหาก” ฮาเต๋อเล่อเดินเข้ามาแบมือ “มีอีกหรือไม่ ?”
“ย่อมมี” กังเหยียนรีบนำเค้กและอาหารอื่น ๆ ออกมา
ฮาเต๋อเล่อส่งเค้กให้กับเด็ก ๆ ด้านหลัง “กินเสียเถอะ พวกเจ้าต้องชอบมันแน่”
ในเมื่อหัวหน้าบอกให้กิน พวกเด็ก ๆ จึงกินแต่โดยดี
หลังจากนั้น… พวกเขาก็บ้าคลั่งขึ้นมาเช่นกัน
พวกผู้ใหญ่ไม่สนใจท่าทางเด็ก ๆ ได้แต่มองกังเหยียนเงียบ ๆ
กังเหยียนยักไหล่ “ข้ามีอาหารอีกเช่นกัน สัญญาว่าอร่อยกว่าที่เคยให้ไปแล้วแน่นอน พวกเจ้าทั้งหมดจะลิ้มลองก็ได้”
“ขอบใจ แต่ไม่จำเป็น หากไม่ใช่เพราะเก๋อหลู่กับเป้ยเอ่อร์กินอาหารของเจ้าไปบ้างแล้ว ข้าก็คงไม่ยอมให้เด็กคนอื่น ๆ ได้ลองหรอก… เจ้าก็รู้ว่าทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้พวกเขาโหยหาโลกภายนอกมากขึ้น”
กังเหยียนพยักหน้า “ท่านหยุดพวกเขาไปตลอดไม่ได้หรอก วันหนึ่งพวกเขาย่อมต้องไป”
“แต่ก็ต้องกลับมา” ฮาเต๋อเล่อถอนใจ “โลกภายนอกมีเสน่ห์และน่าดึงดูดมาก แต่ก็อันตรายมากเช่นกัน แม้จะอยู่ที่นี่ลำบาก แต่อย่างน้อยก็มั่นใจเรื่องความปลอดภัยได้”
“พวกเขาอาจไม่ต้องการเช่นนั้น แต่เป็นท่านที่ต้องการต่างหาก”
ฮาเต๋อเล่อจ้องเขานิ่ง “ก็อาจใช่ แต่อย่างไรเล่า ? เราก็แค่กลุ่มที่ถูกกำราบ เอาชีวิตรอดอยู่ภายนอกไม่ได้ ใช้ชีวิตที่นี่ให้สงบสุขยังยาก หากเจ้าอยากอยู่ เราก็ยินดี แต่หากมาเพื่อให้เราทิ้งชีวิตเพื่อนายเจ้า เช่นนั้นก็ลืมไปเสียเถอะ”
พูดแล้วเขาก็หันหลังเดินจากไป
ระหว่างนั้นยังเอ่ยขึ้นว่า “อย่าใช้วิธีนี้ล่อพวกเด็ก ๆ อีกเล่า ไม่เช่นนั้นข้าจะไล่เจ้าออกไป”
“หัวหน้าฮาเต๋อเล่อ ท่านจะหัวแข็งไปไม่ได้ พวกเขามีสิทธิ์ได้ไล่ตามความสุขของตนเอง !” กังเหยียนตะโกน
“อย่างน้อย สิ่งที่ข้าทำก็ทำให้ทุกคนอยู่รอด ส่วนนายเจ้าเพียงแต่อยากให้เราตายเท่านั้น… เจ้าก็รู้ว่าเทือกเขาหินปูนอันตรายเพียงไหน ใช่ไหมเล่า ?” ฮาเต๋อเล่อถามเสียงเย็น
กังเหยียนพูดไม่ออกชั่วขณะ
เขาจ้องเผ่าหินผาคนอื่น ๆ แล้วพลันเอ่ยเสียงดังขึ้น “พวกเจ้าก็คิดเช่นนั้นหรือ ?”
เผ่าหินผาคนอื่น ๆ จ้องเขาด้วยความตกใจ
กังเหยียนยังตะโกนต่อ “พวกเจ้าอยากอุดอู้อยู่ในนี้เหมือนพวกคนขลาดเขลา แล้วดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตไปทิ้งหรือ ? ถึงจะมีโอกาสเปลี่ยนชะตา แต่ก็กลัวเกินกว่าจะเสี่ยงงั้นหรือ ?”
เผ่าหินผาทั้งหมดไม่ตอบคำ
พวกเขาแค่ยืนมองเงียบ ๆ ด้วยสายตาเย็นชาเท่านั้น
ฮาเต๋อเล่อเผยแววโกรธในดวงตา เขาจ้องกังเหยียนด้วยความโกรธ “นี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย อย่ากล่าววาจาว่าร้ายเช่นนั้นอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะไล่เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ !”