ภาคที่ 4 บทที่ 139 เผ่าหินผาพายุคลั่ง (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 139 เผ่าหินผาพายุคลั่ง (1)

ภายในหุบเขาพายุคลั่ง

จุดนี้คือบริเวณที่แตกแขนงออกมาของเทือกเขาหินปูน ใกล้กับแดนคนเถื่อนและแดนมนุษย์ ทั้งยังทับซ้อนกับปล่องภูเขามรณภัยและรอยแยกพลังงานสูญในพื้นที่ด้วย

และเพราะเป็นสถานที่ที่เกิดพายุบ่อย จึงมีพืชขึ้นน้อย มีซากหักพังมาก ไกลสุดลูกหูลูกตานั้นไร้สิ่งใด มีก้อนหินปูนกระจายตัวอยู่บ้างเท่านั้น เป็นเหตุที่เทือกเขาหินปูนถูกเรียกเช่นนั้น และหุบเขาพายุคลั่งถูกตั้งชื่อตามภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนั่นเอง

สภาพอากาศเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะให้สิ่งใดอาศัยอยู่ เป็นที่ไร้ผู้อาศัยอีกที่ ไม่มีใครในระยะพันลี้อาศัยอยู่เลย

ทั้งมนุษย์และคนเถื่อน ไม่มีใครอยากอาศัยอยู่ที่นี่ แต่ก็มีเผ่าหนึ่งที่หยัดยืนอาศัยอยู่ที่นี่ได้

นั่นคือเผ่าหินผา

ในฐานะข้ารับใช้เผ่ามนุษย์ เผ่าหินผาไม่ได้ทรงพลัง แต่มีกำลังพอจะทานทนความยากลำบาก ความสามารถในการปรับตัวค่อนข้างสูง เมื่อรวมกับการที่ในกายมีความสัมพันธ์กับพลังต้นกำเนิดประเภทดินแล้ว จึงเข้าใจได้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงใช้ชีวิตในหุบเขาพายุคลั่งได้

และเพราะสภาพแวดล้อมในหุบเขาพายุคลั่งโหดร้ายนัก กระทั่งเผ่าหินผาจึงไม่อาจรวมกลุ่มใหญ่อาศัยอยู่ได้ มันไม่ใช่สถานที่ที่เผ่าหินผาจะก่อตั้งเป็นที่ของตน หากแต่จะมาที่นี่เพื่อหลบหนีศัตรูเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เผ่าหินผาที่อาศัยอยู่ที่นี่ พวกที่หนีมาจากแดนมนุษย์ จึงมีกันอยู่ไม่มากนัก เพียงพันกว่าเท่านั้น ด้วยทรัพยากรที่นี่ไม่อาจหล่อเลี้ยงจำนวนมากกว่านั้นได้

กระนั้นที่นี่ก็มีเผ่าหินผาอยู่หนาแน่นที่สุดในทวีปต้นกำเนิด

พวกเขาหนีมาที่นี่เพราะไม่อยากเป็นทาสเผ่ามนุษย์ มาใช้ชีวิตในสถานที่ที่เหมือนเป็นสวรรค์บนดิน แม้สวรรค์บนดินนี้จะต้อยต่ำเหลือเกินก็ตามที

กระนั้นนี่ก็คือความเป็นจริง

มีแต่ที่เช่นนี้ ที่พวกอ่อนแอจะสามารถอยู่ได้โดยไร้กังวลว่าจะถูกชิงพื้นที่

กังเหยียนมองสภาพแวดล้อมตรงหน้าแล้วก็ให้หนักใจ

เผ่าเขาคนอื่น ๆ ใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้งั้นหรือ ?

เขาไม่ได้เจอคนเผ่าเดียวกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ ?

กังเหยียนไม่รู้

ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เขารับใช้เจ้านายคนแล้วคนเล่า ถูกขายไปมา จนกระทั่งมาเจอซูเฉินเข้า

ในตอนนั้น เขาเองก็เห็นเผ่าหินผาคนอื่น ๆ บ้าง แม้จะได้เห็นจากที่ไกลก็ตามที

นี่คือสภาพของเผ่าหินผา ไม่มีดินแดนของตน ไร้ศักดิ์ศรีใด ทำได้แต่ตามเจ้านายตนไปอย่างไร้ข้อกังขาเท่านั้น

หากแต่วันนี้ กังเหยียนมาที่นี่ด้วยคำขอของซูเฉิน

หรือก็คือ นี่คือภารกิจที่แท้จริงของเขา

จุดประสงค์หลักในการเรียกสหายของซูเฉินมารวมตัวกัน ก็คือเพื่อรวมทรัพยากร คอยช่วยเสนอความคิดในบางครั้ง หากแต่ หุบเขาพายุคลั่งนับเป็นก้าวสำคัญของแผนการ ซึ่งต้องพึ่งกังเหยียนเป็นหลัก เพราะมีแต่เขาที่จะทำมันได้

ลมพัดกระทบหน้ากังเหยียนโดยแรง เขาเดินก้าวไปด้านหน้าเรื่อย ๆ พยายามฝืนต้านลมแรง

กระทั่งคนมีกำลังอย่างเขา ยังต้องพยายามหยัดยืนไม่ให้ถูกลมพัดปลิวไป

ลมพัดแรงดั่งมีดกรีด ซัดมาแต่ละครารู้สึกเจ็บปวดนัก ลืมตายังทำได้ยาก

ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มจึงถึงทางเข้าหุบเขา

หุบเขานั้นมีรูปร่างเหมือนน้ำเต้าปากกว้าง จากจุดที่กังเหยียนยืนอยู่ เหมือนกับรอยแยกรูปน้ำเต้าปากกว้างที่กำลังหัวเราะเยาะอยู่ก็มิปาน

เขาเห็นเผ่าหินผาหนุ่มคนหนึ่งกำลังหาบางอย่างอยู่ใกล้ทางเข้าหุบเขา

ที่กังเหยียนเดาว่าเป็นคนหนุ่ม เพราะอีกฝ่ายสูงราวมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น มือเท้ายังเล็ก แต่รอยย่นบนหน้าทำให้ดูมีอายุมากเกินจริง

กังเหยียนรู้ว่าอย่างไรต้องเป็นคนหนุ่มแน่ รอยย่นเหล่านั้นคงเพราะถูกลมโกรกเช่นนี้มายาวนาน

ไม่นานเผ่าหินผาหนุ่มก็เจอแมลงตัวขาวดิ้นอยู่กับพื้น รีบคว้ามันเข้าปากทันใด เคี้ยวไม่กี่ครั้งแล้วกลืน สีหน้าพลันพึงพอใจ แมลงนั่นคือแมลงหินผา อาศัยอยู่ตามโขดหินและพื้นดิน เนื้อหยาบ ผิวสัมผัสไม่น่าอภิรมย์ เพราะลำตัวเต็มไปด้วยทราย แต่พวกมันก็เป็นแหล่งอาหารสำคัญของเผ่าหินผาในหุบเขาพายุคลั่ง มีแต่พวกเขาที่มีลำไส้ดั่งเหล็กและความใกล้ชิดกับผืนดินเท่านั้นที่จะกินพวกมันได้

กินเสร็จแล้ว เผ่าหินผาหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น แล้วเห็นกังเหยียน

สายตาพลันตื่นตกใจ

ตอนแรกก็กลัวแล้วถอยไปหลายก้าว แต่ไม่นานก็สนใจรูปร่างดูหยาบโลนของกังเหยียน

หลังจ้องกังเหยียนอยู่นาน จึงหันไปแล้วเดินเข้าไปในหุบเขา

กังเหยียนไม่เอ่ยคำ ยังคงยืนรออยู่ที่ทางเข้าหุบเขา

ไม่นาน ก็เห็นว่าเกิดเรื่องเอะอะในหุบเขาขึ้นมา

กังเหยียนมองเผ่าหินผากลุ่มใหญ่ปรากฏขึ้นแล้วมุ่งหน้ามาทางเขา บ้างถือดาบและขวานที่ทำจากหิน

เผ่าหินผาด้านหน้าทั้งร่างใหญ่ตัวสูง สูงใหญ่กว่ากังเหยียนหนึ่งช่วงศีรษะ กล้ามเนื้อของเหมือนถูกแกะสลัก เช่นเดียวกับเส้นบนใบหน้าของเขา

เขาเป็นคนเดียวที่ถือเครื่องมือต้นกำเนิดชิ้นเดียวในหุบเขา ค้อนเขี้ยวหมาป่า

กังเหยียนเดาว่าคงเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 7 ดูจากแสงเรืองที่ส่องออกมา

“เพื่อร่วมเผ่ามาถึงหุบเขาพายุคลั่งงั้นหรือ ? ยินดีต้อนรับนะเจ้าหนุ่ม ข้าเป็นหัวหน้าที่นี่ ชื่อว่าฮาเต๋อเล่อ” เผ่าหินผาร่างสูงเบื้องหน้าเอ่ย

“ข้ายินดีที่ได้พบพวกท่านมาก เพื่อร่วมเผ่าของข้า ข้ามีนามว่ากังเหยียน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเผ่าหินผามากมายเช่นนี้” กังเหยียนตอบ

“เจ้าคงไม่ได้ผ่านมาเฉย ๆ กระมัง ? หุบเขาพายุคลั่งไม่ใช่สถานที่ที่แค่เดินเตร่ก็มาถึงได้” ฮาเต๋อเล่อว่า

“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น ข้ามาที่นี่เพราะมีเหตุผลหนึ่ง” กังเหยียนตอบคำ

“เช่นนั้นก็บอกมา” ฮาเต๋อเล่อถามตามตรง กังเหยียนเองก็ไม่ชอบอ้อมค้อม จึงตอบไปตรง ๆ เช่นกัน

“ข้ามาในนามของนายท่านเพื่อผูกมิตรกับพวกท่าน” กังเหยียนเอ่ย

“แต่จุดประสงค์เบื้องหลังการผูกมิตรเล่า ? มีแรงจูงใจอะไรกัน ?” ฮาเต๋อเล่อไม่สับสน เผ่าหินผาเกือบทั้งหมดในโลกภายนอกล้วนแต่มีเจ้านาย ดังนั้นจึงเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ผูกมิตร’ ดี

หัวหน้าผู้นี้หลอกไม่ง่ายเลย

ลังเลเล็กน้อยแล้ว กังเหยียนจึงเอ่ย “เจ้านายข้าตอนนี้อยู่ในแดนคนเถื่อน จำต้องขอความช่วยเหลือเพื่อออกไป…… ผ่านทางเทือกเขาหินปูน”

ฮาเต๋อเล่อส่ายหน้า “เป็นเช่นนี้เอง ผูกมิตรหรือ ? ก็แค่ข้ออ้าง มนุษย์เห็นเราเป็นเพื่อนยามต้องการ แต่พอหมดประโยชน์ก็ทิ้งขว้างไร้เยื่อใย”

กังเหยียนรีบตะโกนบอก “นายท่านของข้าไม่เหมือนกัน”

“ต้องเหมือนอยู่แล้ว” ฮาเต๋อเล่อขัด “มนุษย์ก็เหมือนกันหมด ต้องการก็เป็นดั่งมิตร ไม่ต้องการเมื่อไหร่ เจ้าจะรอดชีวิตหรือไม่เขาก็ไม่สน กังเหยียน เผ่าหินผาที่นี่เกือบทุกคนเคยอยู่กับมนุษย์มาก่อน ถูกพวกเขาทำร้ายมา จึงไม่ถูกหลอกโดยง่ายอีก ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้า แต่น่าเสียดาย เราไม่มีทางยอมรับคำเจ้าแน่ แต่ในเมื่อเจ้าก็เผ่าหินผาเหมือนกัน จะอยู่ที่นี่ก็ได้ ในเมื่อนายเจ้าเข้าแดนคนเถื่อนไปแล้วก็คงไม่ได้ออกมาอีก หากเจ้ากลับแดนมนุษย์ไปก็เหมือนสุนัขข้างทางที่ไร้เจ้านาย หากไม่อยากใช้ชีวิตเช่นนั้นก็อยู่ที่หุบเขาพายุคลั่งกับเราได้…… หากปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของที่นี่ได้ละก็นะ”

กังเหยียนว่า “ข้าไม่คิดเปลี่ยนเจ้านาย”

“เรื่องนั้นเจ้าตัดสินใจเองไม่ได้” ฮาเต๋อเล่อกล่าว