บทที่ 139 เผ่าหินผาพายุคลั่ง (1)
ภายในหุบเขาพายุคลั่ง
จุดนี้คือบริเวณที่แตกแขนงออกมาของเทือกเขาหินปูน ใกล้กับแดนคนเถื่อนและแดนมนุษย์ ทั้งยังทับซ้อนกับปล่องภูเขามรณภัยและรอยแยกพลังงานสูญในพื้นที่ด้วย
และเพราะเป็นสถานที่ที่เกิดพายุบ่อย จึงมีพืชขึ้นน้อย มีซากหักพังมาก ไกลสุดลูกหูลูกตานั้นไร้สิ่งใด มีก้อนหินปูนกระจายตัวอยู่บ้างเท่านั้น เป็นเหตุที่เทือกเขาหินปูนถูกเรียกเช่นนั้น และหุบเขาพายุคลั่งถูกตั้งชื่อตามภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนั่นเอง
สภาพอากาศเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะให้สิ่งใดอาศัยอยู่ เป็นที่ไร้ผู้อาศัยอีกที่ ไม่มีใครในระยะพันลี้อาศัยอยู่เลย
ทั้งมนุษย์และคนเถื่อน ไม่มีใครอยากอาศัยอยู่ที่นี่ แต่ก็มีเผ่าหนึ่งที่หยัดยืนอาศัยอยู่ที่นี่ได้
นั่นคือเผ่าหินผา
ในฐานะข้ารับใช้เผ่ามนุษย์ เผ่าหินผาไม่ได้ทรงพลัง แต่มีกำลังพอจะทานทนความยากลำบาก ความสามารถในการปรับตัวค่อนข้างสูง เมื่อรวมกับการที่ในกายมีความสัมพันธ์กับพลังต้นกำเนิดประเภทดินแล้ว จึงเข้าใจได้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงใช้ชีวิตในหุบเขาพายุคลั่งได้
และเพราะสภาพแวดล้อมในหุบเขาพายุคลั่งโหดร้ายนัก กระทั่งเผ่าหินผาจึงไม่อาจรวมกลุ่มใหญ่อาศัยอยู่ได้ มันไม่ใช่สถานที่ที่เผ่าหินผาจะก่อตั้งเป็นที่ของตน หากแต่จะมาที่นี่เพื่อหลบหนีศัตรูเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ เผ่าหินผาที่อาศัยอยู่ที่นี่ พวกที่หนีมาจากแดนมนุษย์ จึงมีกันอยู่ไม่มากนัก เพียงพันกว่าเท่านั้น ด้วยทรัพยากรที่นี่ไม่อาจหล่อเลี้ยงจำนวนมากกว่านั้นได้
กระนั้นที่นี่ก็มีเผ่าหินผาอยู่หนาแน่นที่สุดในทวีปต้นกำเนิด
พวกเขาหนีมาที่นี่เพราะไม่อยากเป็นทาสเผ่ามนุษย์ มาใช้ชีวิตในสถานที่ที่เหมือนเป็นสวรรค์บนดิน แม้สวรรค์บนดินนี้จะต้อยต่ำเหลือเกินก็ตามที
กระนั้นนี่ก็คือความเป็นจริง
มีแต่ที่เช่นนี้ ที่พวกอ่อนแอจะสามารถอยู่ได้โดยไร้กังวลว่าจะถูกชิงพื้นที่
กังเหยียนมองสภาพแวดล้อมตรงหน้าแล้วก็ให้หนักใจ
เผ่าเขาคนอื่น ๆ ใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้งั้นหรือ ?
เขาไม่ได้เจอคนเผ่าเดียวกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ ?
กังเหยียนไม่รู้
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เขารับใช้เจ้านายคนแล้วคนเล่า ถูกขายไปมา จนกระทั่งมาเจอซูเฉินเข้า
ในตอนนั้น เขาเองก็เห็นเผ่าหินผาคนอื่น ๆ บ้าง แม้จะได้เห็นจากที่ไกลก็ตามที
นี่คือสภาพของเผ่าหินผา ไม่มีดินแดนของตน ไร้ศักดิ์ศรีใด ทำได้แต่ตามเจ้านายตนไปอย่างไร้ข้อกังขาเท่านั้น
หากแต่วันนี้ กังเหยียนมาที่นี่ด้วยคำขอของซูเฉิน
หรือก็คือ นี่คือภารกิจที่แท้จริงของเขา
จุดประสงค์หลักในการเรียกสหายของซูเฉินมารวมตัวกัน ก็คือเพื่อรวมทรัพยากร คอยช่วยเสนอความคิดในบางครั้ง หากแต่ หุบเขาพายุคลั่งนับเป็นก้าวสำคัญของแผนการ ซึ่งต้องพึ่งกังเหยียนเป็นหลัก เพราะมีแต่เขาที่จะทำมันได้
ลมพัดกระทบหน้ากังเหยียนโดยแรง เขาเดินก้าวไปด้านหน้าเรื่อย ๆ พยายามฝืนต้านลมแรง
กระทั่งคนมีกำลังอย่างเขา ยังต้องพยายามหยัดยืนไม่ให้ถูกลมพัดปลิวไป
ลมพัดแรงดั่งมีดกรีด ซัดมาแต่ละครารู้สึกเจ็บปวดนัก ลืมตายังทำได้ยาก
ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มจึงถึงทางเข้าหุบเขา
หุบเขานั้นมีรูปร่างเหมือนน้ำเต้าปากกว้าง จากจุดที่กังเหยียนยืนอยู่ เหมือนกับรอยแยกรูปน้ำเต้าปากกว้างที่กำลังหัวเราะเยาะอยู่ก็มิปาน
เขาเห็นเผ่าหินผาหนุ่มคนหนึ่งกำลังหาบางอย่างอยู่ใกล้ทางเข้าหุบเขา
ที่กังเหยียนเดาว่าเป็นคนหนุ่ม เพราะอีกฝ่ายสูงราวมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น มือเท้ายังเล็ก แต่รอยย่นบนหน้าทำให้ดูมีอายุมากเกินจริง
กังเหยียนรู้ว่าอย่างไรต้องเป็นคนหนุ่มแน่ รอยย่นเหล่านั้นคงเพราะถูกลมโกรกเช่นนี้มายาวนาน
ไม่นานเผ่าหินผาหนุ่มก็เจอแมลงตัวขาวดิ้นอยู่กับพื้น รีบคว้ามันเข้าปากทันใด เคี้ยวไม่กี่ครั้งแล้วกลืน สีหน้าพลันพึงพอใจ แมลงนั่นคือแมลงหินผา อาศัยอยู่ตามโขดหินและพื้นดิน เนื้อหยาบ ผิวสัมผัสไม่น่าอภิรมย์ เพราะลำตัวเต็มไปด้วยทราย แต่พวกมันก็เป็นแหล่งอาหารสำคัญของเผ่าหินผาในหุบเขาพายุคลั่ง มีแต่พวกเขาที่มีลำไส้ดั่งเหล็กและความใกล้ชิดกับผืนดินเท่านั้นที่จะกินพวกมันได้
กินเสร็จแล้ว เผ่าหินผาหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น แล้วเห็นกังเหยียน
สายตาพลันตื่นตกใจ
ตอนแรกก็กลัวแล้วถอยไปหลายก้าว แต่ไม่นานก็สนใจรูปร่างดูหยาบโลนของกังเหยียน
หลังจ้องกังเหยียนอยู่นาน จึงหันไปแล้วเดินเข้าไปในหุบเขา
กังเหยียนไม่เอ่ยคำ ยังคงยืนรออยู่ที่ทางเข้าหุบเขา
ไม่นาน ก็เห็นว่าเกิดเรื่องเอะอะในหุบเขาขึ้นมา
กังเหยียนมองเผ่าหินผากลุ่มใหญ่ปรากฏขึ้นแล้วมุ่งหน้ามาทางเขา บ้างถือดาบและขวานที่ทำจากหิน
เผ่าหินผาด้านหน้าทั้งร่างใหญ่ตัวสูง สูงใหญ่กว่ากังเหยียนหนึ่งช่วงศีรษะ กล้ามเนื้อของเหมือนถูกแกะสลัก เช่นเดียวกับเส้นบนใบหน้าของเขา
เขาเป็นคนเดียวที่ถือเครื่องมือต้นกำเนิดชิ้นเดียวในหุบเขา ค้อนเขี้ยวหมาป่า
กังเหยียนเดาว่าคงเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 7 ดูจากแสงเรืองที่ส่องออกมา
“เพื่อร่วมเผ่ามาถึงหุบเขาพายุคลั่งงั้นหรือ ? ยินดีต้อนรับนะเจ้าหนุ่ม ข้าเป็นหัวหน้าที่นี่ ชื่อว่าฮาเต๋อเล่อ” เผ่าหินผาร่างสูงเบื้องหน้าเอ่ย
“ข้ายินดีที่ได้พบพวกท่านมาก เพื่อร่วมเผ่าของข้า ข้ามีนามว่ากังเหยียน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเผ่าหินผามากมายเช่นนี้” กังเหยียนตอบ
“เจ้าคงไม่ได้ผ่านมาเฉย ๆ กระมัง ? หุบเขาพายุคลั่งไม่ใช่สถานที่ที่แค่เดินเตร่ก็มาถึงได้” ฮาเต๋อเล่อว่า
“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น ข้ามาที่นี่เพราะมีเหตุผลหนึ่ง” กังเหยียนตอบคำ
“เช่นนั้นก็บอกมา” ฮาเต๋อเล่อถามตามตรง กังเหยียนเองก็ไม่ชอบอ้อมค้อม จึงตอบไปตรง ๆ เช่นกัน
“ข้ามาในนามของนายท่านเพื่อผูกมิตรกับพวกท่าน” กังเหยียนเอ่ย
“แต่จุดประสงค์เบื้องหลังการผูกมิตรเล่า ? มีแรงจูงใจอะไรกัน ?” ฮาเต๋อเล่อไม่สับสน เผ่าหินผาเกือบทั้งหมดในโลกภายนอกล้วนแต่มีเจ้านาย ดังนั้นจึงเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ผูกมิตร’ ดี
หัวหน้าผู้นี้หลอกไม่ง่ายเลย
ลังเลเล็กน้อยแล้ว กังเหยียนจึงเอ่ย “เจ้านายข้าตอนนี้อยู่ในแดนคนเถื่อน จำต้องขอความช่วยเหลือเพื่อออกไป…… ผ่านทางเทือกเขาหินปูน”
ฮาเต๋อเล่อส่ายหน้า “เป็นเช่นนี้เอง ผูกมิตรหรือ ? ก็แค่ข้ออ้าง มนุษย์เห็นเราเป็นเพื่อนยามต้องการ แต่พอหมดประโยชน์ก็ทิ้งขว้างไร้เยื่อใย”
กังเหยียนรีบตะโกนบอก “นายท่านของข้าไม่เหมือนกัน”
“ต้องเหมือนอยู่แล้ว” ฮาเต๋อเล่อขัด “มนุษย์ก็เหมือนกันหมด ต้องการก็เป็นดั่งมิตร ไม่ต้องการเมื่อไหร่ เจ้าจะรอดชีวิตหรือไม่เขาก็ไม่สน กังเหยียน เผ่าหินผาที่นี่เกือบทุกคนเคยอยู่กับมนุษย์มาก่อน ถูกพวกเขาทำร้ายมา จึงไม่ถูกหลอกโดยง่ายอีก ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้า แต่น่าเสียดาย เราไม่มีทางยอมรับคำเจ้าแน่ แต่ในเมื่อเจ้าก็เผ่าหินผาเหมือนกัน จะอยู่ที่นี่ก็ได้ ในเมื่อนายเจ้าเข้าแดนคนเถื่อนไปแล้วก็คงไม่ได้ออกมาอีก หากเจ้ากลับแดนมนุษย์ไปก็เหมือนสุนัขข้างทางที่ไร้เจ้านาย หากไม่อยากใช้ชีวิตเช่นนั้นก็อยู่ที่หุบเขาพายุคลั่งกับเราได้…… หากปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของที่นี่ได้ละก็นะ”
กังเหยียนว่า “ข้าไม่คิดเปลี่ยนเจ้านาย”
“เรื่องนั้นเจ้าตัดสินใจเองไม่ได้” ฮาเต๋อเล่อกล่าว