ภาคที่ 4 บทที่ 138 ลูกมือ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 138 ลูกมือ

ด้วยวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ เป้าหมายของกองทัพกำลังสวรรค์ก็ได้เปลี่ยนไป ในตอนนี้พวกเขาได้มุ่งเน้นไปที่การล่าอสูรร้ายกับอสูรกายเป็นหลัก

การล่าสัตว์อสูรไม่ใช่เพียงแค่เพื่อนำมาเป็นเสบียงอาหารเพิ่มเติม แต่ยังช่วยลดระยะเวลาที่พวกเขาต้องใช้ในการทะลวงผ่านด่านได้อีก

ดังนั้นเหล่าทหารของกองทัพกำลังสวรรค์จึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามีความสุขทั้งที่อยู่ในแนวหลังของศัตรู

นับตั้งแต่ที่ได้เข้าสู่อาณาเขตของเผ่าคนเถื่อนพวกเขาก็ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง ในเวลานั้นเหล่าทหารรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจภายใต้แรงกดดันมหาศาล ไม่มีการเสียชีวิตในสนามรบ แต่เพราะแรงกดดันที่มากเกินจะรับมือสำหรับทหารบางนาย ทำให้พวกเขาเลือกที่จะฆ่าตัวตายจริง ๆ

หลี่ฉงซานและคนอื่น ๆ ได้ใช้สมองพยายามหาวิธีลดแรงกดดันของทหาร

ทว่าพวกเขาทั้งต้องขวนขวายหาเสบียง หลบเลี่ยงการไล่ล่า และยังต้องค่อยพยายามลดแรงกดดันอีก สถานะของกองพันจึงค่อนข้างโทรมและสิ้นหวัง

การมาถึงของซูเฉินราวกับแสงอาทิตย์ที่ทะลุผ่านเมฆดำที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของทุกคน ส่องลงมายังหัวใจของพวกเขาให้เริ่มอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความหวังอีกครั้ง

ความหวัง !

นั่นคือที่มาของพลังและแรงขับเคลื่อนทางใจ

หัวใจที่ไร้ซึ่งความหวังไม่อาจที่จะก้าวต่อไปอย่างกล้าหาญ

แม้แต่ฉือไคฮวงเองก็ไม่คิดว่าลูกศิษย์ของตนจะโดดเด่นได้ขนาดนี้ เขาไม่เพียงช่วยกองพันให้พ้นจากอันตรายร้ายแรงและนำเสบียงอาหารมา แต่ยังมอบวิธีการบ่มเพาะอันทรงพลังที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมของกองพันได้ให้อีกด้วย

“ยังมีอะไรอย่างอื่นอีกไหม ? เจ้ามีวิธีอื่นที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของทุกคนได้อีกหรือไม่ ?” ฉือไคฮวงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

“อืม…” ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ก็มีอยู่ แต่มันออกจะยากเกินกว่าจะเอามาใช้”

“ตราบเท่าที่เจ้ามีวิธีก็เพียงแค่บอกกล่าวออกมา จะทำได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่พวกเราจะตัดสินใจด้วยตัวเราเอง !” ฉือไคฮวงกล่าว

“อันที่จริงท่านก็เคยได้เคยเห็นมาทั้งคู่แล้ว อย่างแรกคือภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดของข้า อย่างไรก็ตามยาต้นกำเนิดสายเลือดนั้นมีราคาสูงมากยิ่งกว่าโทเทมโลหิตสลาย ย้อนกลับไปตอนนั้นข้าใช้เลือดของเจียงซีสุ่ยเป็นส่วนประกอบหลักในการปรุงยา มันเป็นสายเลือดเทพอสูร ดังนั้นหากพวกท่านต้องการใช้วิธีนี้ อย่างน้อยก็ต้องหาสายเลือดจักรพรรดิอสูรมาให้ได้ และยังต้องหามาเป็นจำนวนมากด้วย” ซูเฉินตอบ

ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก

หลี่ฉงซานกล่าวปัด “ช่างมันเถอะ มีอะไรอีกไหม ?”

“อีกอย่างหนึ่งคืออาวุธวิญญาณ” ซูเฉินกล่าวต่อ

“พวกท่านทุกคนเคยเห็นมาก่อนแล้วว่าอาวุธวิญญาณแข็งแกร่งแค่ไหน ด้วยสิ่งนี้แม้แต่ผู้ใช้เวทย์ทั่วไปก็สามารถสู้กับผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณได้ และผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณก็สามารถสู้กับผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตได้ หากกองทัพกำลังสวรรค์ใช้อาวุธวิญญาณเหล่านี้ กลุ่มทหารธรรมดา ๆ ก็น่าจะสามารถสู้กับผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ หรือประมาณทหารเผ่าคนเถื่อนที่มีโทเทมระดับสูงได้”

“เงื่อนไขในการสร้างอาวุธวิญญาณมีอะไรบ้าง ?”

ซูเฉินชูสองนิ้วขึ้น “เงื่อนไขแรกคือวิญญาณ ไม่จำเป็นต้องมีสติแม้แต่วิญญาณของเผ่าสัตว์อสูรก็ใช้ได้ เงื่อนไขที่สองคือพลังจิตที่เพียงพอ อย่างน้อยก็ต้องสูงกว่า 200 หน่วย หากมีพลังจิตไม่เพียงพอมันเป็นไปไม่ได้ที่จะนำวิญญาณอสูรมาทำอาวุธ และถึงแม้จะทำสำเร็จ มันก็ช่วยต่อสู้ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น อย่างมากที่สุดมันก็เป็นได้เพียงลูกมือให้พวกท่านเท่านั้น”

วิญญาณอสูรนั้นเป็นเงื่อนไขที่ง่าย เพราะในตอนนี้ทุกคนก็กำลังมองหาสัตว์อสูรเพื่อล่าอยู่แล้ว ดังนั้นส่วนนี้จึงไม่ใช่ปัญหา

ทว่าระดับของพลังงานจิตนั้น ค่อนข้างเป็นปัญหาที่แก้ยากอยู่สักเล็กน้อย

พลังจิต 200 หน่วยดูเหมือนจะไม่มากนัก แต่นั่นเฉพาะกรณีของซูเฉินเท่านั้น สำหรับมนุษย์ทั่วไปแล้วจำนวนขนาดนี้นับว่ามากเกินไป

ในบรรดาคนของกองทัพกำลังสวรรค์ที่มีพลังจิตมากกว่า 200 หน่วยในตอนนี้มีเพียงแค่หลี่ฉงซานเท่านั้น ด่านสู่พิสดารอีก 6 คนที่เหลือ ฉู่อิงหว่านกับกัวเหวินฉางผ่านข้อกำหนดพลังจิต 200 หน่วย เพราะพวกเขาฝึกฝนวิชาจิตบางอย่าง ฉือไคฮวงมักจะใช้พลังงานจิตในการคำนวณอยู่ตลอดและใช้โอสถปลุกวิญญาณเป็นบางครั้ง ดังนั้นเขาจึงมีพลังจิตเพียงพอต่อเงื่อนไข อีกสามคนที่เหลือแม้จะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาแต่ก็ไม่ได้ต่างกันมาก ตราบใดที่พวกเขาเต็มใจที่จะฝึกฝนก็คงใช้เวลาไม่นานนัก

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินว่าจำนวนพลังงานจิตที่จำเป็นสูงมากขนาดนั้น ทุกคนก็แทบไม่อยากจะเชื่อ

หลินเฉ่าเซวียนรู้สึกไม่ค่อยพอใจเป็นพิเศษ “เจ้ากำลังจะกล่าวว่าพลังจิตของเจ้าเหนือกว่าพวกเราอีกงั้นหรือ ?”

ซูเฉินหัวเราะเบา ๆ แต่ก็ไม่ตอบโต้อะไร

หลี่ฉงซานยิ้ม “ทำไม ? คุณชายซูทำเพื่อพวกเรามามากแล้ว แต่เจ้ายังไม่ค่อยเชื่อในตัวเขาอยู่อีกหรือเฉ่าเซวียน ?”

หลินเฉ่าเซวียนตอบกลับ “คุณชายซูทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อกองทัพกำลังสวรรค์ จะกล่าวว่าคุณชายนั้นเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองก็มิผิด ข้า หลินเฉ่าเซวียน รู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งและหากเขาต้องการแม้แต่ชีวิตของข้า ข้าก็มอบให้ได้ ทว่าเรื่องนั้นกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน ถ้าคุณชายตั้งใจจะบอกว่าพลังจิตของเขาสูงกว่าพวกเรา และสูงกว่าท่านผู้บัญชาการ ข้าก็ต้องสงสัยเป็นธรรมดา”

เฉิงเถียนไห่พยักหน้า “ถูกต้อง ! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น เราเป็นทหาร เราก็แค่พูดไปตามจริง หวังว่าคุณชายซูจะไม่โกรธเคือง ทุกคนยอมรับว่าคุณชายเป็นคนพิเศษ เราย่อมไม่มีทางจะไปตามทิศตะวันตกหากท่านบอกให้เราไปทางตะวันออก แต่ถ้าคุณชายตั้งใจจะบอกว่าพลังจิตของท่านแข็งแกร่งยิ่งกว่าเรา คุณชายซูก็ควรจะแสดงหลักฐานออกมาให้ชัดเจน”

ซูเฉินหัวเราะ “ข้าจะกล้าอ้างว่ามีพลังจิตมากกว่าพวกท่านได้อย่างไร ? มันก็เป็นเพียงแค่กลใต้แขนเสื้อเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร ตอนนี้ข้ามีเครื่องมือต้นกำเนิดกับวิญญาณอยู่ในมือพอดี ท่านแม่ทัพเฉิงอยากจะลองใส่วิญญาณอสูรลงในเครื่องมือต้นกำเนิดดูหรือไม่ ? ใครจะไปรู้ ท่านอาจจะประสบความสำเร็จจริง ๆ ก็ได้”

เขากล่าวพลางหยิบยื่นเครื่องมือต้นกำเนิดกับวิญญาณให้แก่อีกฝ่าย

เฉิงเถียนไห่รับของมาพร้อมเสียงหัวเราะ “แน่นอน แค่บอกข้ามาว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ?”

ซูเฉินคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการใส่วิญญาณอสูรเข้าไปในเครื่องมืออยู่ด้านข้าง

เฉิงเถียนไห่ทำตามคำแนะนำที่เขาได้ฟัง จากนั้นไม่นานเขาก็ใส่วิญญาณอสูรลงในเครื่องมือต้นกำเนิดได้สำเร็จ เครื่องมือต้นกำเนิดเริ่มลอยขึ้นไปในอากาศและบินไปมารอบ ๆ ตามคำสั่งของเฉิงเถียนไห่ มันบินวนเป็นวงกลมก่อนที่จะกลับมาหยุดที่มือของเขา เฉิงเถียนไห่หัวเราะอย่างมีชัย “เป็นไง ? ข้าบอกแล้วว่าไม่มีปัญหา มันก็เป็นเพียงแค่การหลอมรวมวิญญาณอสูร จะมีเงื่อนไขมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร ? ฮ่า ๆๆๆ!”

ทว่าคำพูดของเขากลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากคนรอบข้าง จนเฉิงเถียนไห่ต้องเหลือบมองไปรอบ ๆ อย่างแปลกใจ ก่อนจะพบว่าทุกคนจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาแปลก ๆ เล็กน้อย

แม้แต่หลินเฉ่าเซวียนเองก็ยังมองมาด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ

เฉิงเถียนไห่สับสน “อะไร ? มีอะไรเกิดขึ้นงั้นรึ ?”

ฉู่อิงหว่านถอนหายใจ “เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ หากข้าบอกว่าเจ้าไม่คู่ควรกับการสู้ตัวต่อตัวกับคุณชายซูเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้ที่อยู่ในด่านสู่พิสดารก็ตาม ?”

เฉิงเถียนไห่เบิกตากว้างอย่างไม่เข้าใจ “เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน ?”

หลินเฉ่าเซวียนกล่าวเสริม “พลังจิตของคุณชายซูช่างทรงพลังยิ่งนัก ! ข้าตาบอดและประเมินคุณชายต่ำไปจริง ๆ”

หลี่ฉงซานตบบ่าของเฉิงเถียนไห่และชี้ไปที่อาวุธวิญญาณที่เขาถืออยู่ “ลองมองดูมันอีกที”

เขามองไปตามทางที่นิ้วของหลี่ฉงซานชี้ไป และพบว่าอาวุธวิญญาณเปล่งแสงขึ้นมาครั้งหนึ่งก่อนที่จะหายไป สิ่งที่เหลืออยู่บนมือของเขามีเพียงแค่ก้อนหินเท่านั้น

“หิน ?” เฉิงเถียนไห่อุทาน

ในตอนนั้นเองเขาก็ตระหนักว่าสิ่งที่ซูเฉินมอบให้ตนตั้งแต่แรก ไม่ใช่เครื่องมือต้นกำเนิดกับวิญญาณอสูรแต่เป็นเพียงหินก้อนหนึ่ง เขาปาอากาศเปล่า ๆ ใส่ก้อนหินมาตลอดโดยไม่ทันได้สังเกตเลยแม้แต่น้อย ความหมายของเรื่องนี้ชัดเจนมาก

ใบหน้าของเฉิงเถียนไห่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “เจ้าน่าจะบอกข้าให้เร็วกว่านี้”

ฉู่อิงหว่านยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และดึงแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดออกมา “เหตุใดต้องบอก ? อันที่จริง ไม่เพียงแค่ไม่ได้บอกเจ้า แต่ข้ายังบันทึกทั้งหมดเอาไว้ด้วย ! แม่ทัพเฉิงของเราต้องการเปลี่ยนหินให้เป็นอาวุธวิญญาณ ! ไม่คิดว่าคนอื่นก็ควรมีโอกาสได้เห็นอะไรแบบนี้บ้างหรือ ?”

“อะไรนะ ? เอามันมาให้ข้า !” เฉิงเถียนไห่รีบพุ่งตรงไปและพยายามคว้าแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดมา แต่ฉู่อิงหว่านกลับหัวเราะคิกคักและหลบไปด้านข้างได้อย่างง่ายดาย

ทั้งสองเริ่มสู้กันเอง ขณะที่หลี่ฉงซานกล่าวขึ้นอย่างสบาย ๆ “ดูเหมือนว่าหากเราต้องการเสริมความแข็งแกร่งของกองทัพ เราคงจะต้องลงไปลูกมือของคุณชายเสียแล้ว”

ซูเฉินรู้สึกอายเล็กน้อย “ข้าถึงได้บอกไงว่าให้ลืมมันไปเสียเถิด”

“ได้อย่างไรกัน ? คุณชายซูเมตตาต่อกองทัพกำลังสวรรค์ของข้าอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องให้ไปเป็นลูกมือ แม้กระทั่งข้ารับใช้หรือหินรองเท้าพวกข้าก็ยืนดีทั้งนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปกองทัพกำลังสวรรค์ทุกคนจะอยู่ภายใต้บัญชาของคุณชายซู !”

หลี่ฉงซานได้ตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยประโยคเดียว